จากข่าวเมื่อวันก่อน รถยนต์ไร้คนขับของ Uber ชนคนเดินเท้าเสียชีวิตรายแรก ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้เสียชีวิตในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับอย่างเต็มตัว
วันนี้ทางตำรวจของเมือง Tempe ในรัฐแอซิโซนาซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ ได้เผยแพร่วิดีโอจากกล้องที่ติดอยู่หน้ารถและในรถต่อสาธาณะ
คลิปวิดีโอแสดงให้เห็นจังหวะที่รถชนกับคนข้ามถนน และปฏิกิริยาของคนขับที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ซึ่งก่อนเกิดเหตุไม่ได้มองไปยังด้านหน้ารถ แต่ตำรวจยังไม่เผยรายละเอียดอื่นๆ ของคดีนี้ รวมถึงเหตุผลว่าทำไมระบบความปลอดภัยของรถยนต์จึงไม่สามารถตรวจจับผู้ข้ามถนนได้
ที่มา - Recode
Comments
เต็มๆเลย เศร้า RIP ครับ
ยากอยู่นะ แม้จะเป็นคนขับก็ตาม อยู่ๆ โผล่มาจากความมืดแบบนี้ จะเบรคทันไหม
ปล. ข้ามถนนแบบนี้อันตราย ใส่เสื้อดำ ไม่สังเกตุรถ ไม่รีบ และไม่ใช่ทางม้าลาย ประมาทเต็มๆ
ปกติกล้องของรถพวกนี้ ไม่มี IR หรอครับ แบบนี้มืดๆ ก็ไม่ต่างกับคนเท่าไร มองไม่เห็นเหมือนกัน
มืดแบบนี้ อันนี้ก็สุดวิสัยจริง เซตความเร็วในที่มืดเท่าไหรเนี่ย
{$user} was not an Imposter
ไม่แน่ใจว่าสภาพแสงของจริงเป็นอย่างไร (ในส่วนที่มืดอาจจะสว่างกว่าในวีดีโอ)
แต่ถ้าตามวีดีโอ ต่อให้คนควบคุมก็ไม่น่าจะเบรคทันเพราะกระชั้นชิดมาก
ปล. RIP ครับ
อยากรู้ว่ามันมี sensor อื่นมั้ยที่ไม่ใช้กล้องปกติ เช่น Lidar พวกนี้ เพราะถ้าใช้กล้องธรรมดาอย่างเดียว ถ้ามืดมากก็มองไม่เห็นอยู่ดี
ตามข้อมูลจาก Techcrunch คือมีกล้อง 7 ตัว + LIDAR 1 ตัว + RADAR รอบคันครับ
ตามนี้คือ Uber ทุเรศมาก เอาภาพกล้องหน้ารถห่วยๆ มาเพื่อเบี่ยงเบนคดีชัดๆ
อาจจะมี fov แคบนะครับ
uber เป็น taxi ก็คงคิดเรื่องต้นทุนมากกว่าฝั่ง Google / Tesla
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
LIDAR นี่แล้วแต่รุ่นไหน แต่ปกติเท่าที่รู้ ระยะมัน 10-20 เมตรเองนะครับ ถ้าขับด้วยความเร็วสูงๆ นี่กว่าจะรู้ก็ไม่ถึงวินาทีแล้ว
lewcpe.com, @wasonliw
มุมมืดแบบนี้ ถ้าเป็นมนุษย์ขับก็ไม่น่ารอดเหมือนกัน - -'
ถ้าความสว่างจากการมองเห็นด้วยตาเหมือนในกล้อง ต่อให้คนขับชนก็ไม่แปลกครับ โผล่มาทีหน้ารถแล้ว
ถนนจริงน่าจะไม่มืดขนาดในคลิป แต่คนข้ามถนนไม่ฉลาดเลือกที่จะข้ามตรงที่มีไฟส่องสว่างและยังกะระยะไม่ถูกเสริมเข้าไปอีก ถนนที่ติดไฟแบบนี้ผมเองก็ไม่ชอบขับยากถ้าจะสว่างก็สว่างไปทั้งเส้นหรือมืดไปทั้งเส้นเลยจะดีกว่า
ประเด็นตอนนี้ไม่น่าอยู่ที่มืดแล้วคนขับยังไม่เห็น แต่อยู่ที่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่มีเซนเซอร์ดีกว่าตามนุษย์หลายพันเท่ากลางคืนไม่ใช่ปัญหาเลยทำไมตรวจจับไม่ได้
เห็นด้วยครับ
อย่าเอารถออโต้ไพรอท ที่มีกล้อง 7 ตัวพร้อมเซนเซอร์ ไปเทียบกับคนสิ
เรื่องระบบเฟลก็เรื่องนึงครับกรณีนี้มีคนควบคุมอยู่ด้วยผู้ตัดสินน่าจะถือว่าเป็นรถที่มีคนควบคุมอยู่ครับ ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เหนือการควบคุมดูแลของผู้ควบคุมจริงๆ ก็ต้องถือเป็นอุบัติเหตุและเป็นการทำให้เสียชีวิตโดยไม่เจตนาครับ
แต่จากกล้อง ผู้ควบคุมไม่ได้มองไปยังหน้ารถ ถ้าคิดยังงั้น ก็ขับรถโดยประมาทล่ะครับ
งงว่า มันเป้นทดสอบระบบไม่ใช่หรือ
ทำไมคนนั่งทดสอบ เหมือนจะหลับๆตื่นๆ
มันควรจะดูทางตลอดเวลา เพื่อคอยดูการขับสิ ว่าเป็นยังไง จะได้ทำการแก้ไขต่อไป
คือผมจะบอกว่า ยังไงก็ต้องพิจารณาความผิดที่คนนั่นแหละครับ จะผิดกรณีไหนก็อีกเรื่อง
ถ้าเอากล้องหน้ารถของผม ภาพจากกล้องจะมืดกว่าที่ตาเห็น
จากคลิปเริ่มเห็นคนชัดที่วินาทีที่ 3 ดูจากระยะน่าจะประมาณ 20-30 เมตร
และชนตอนวินาทีที่ 4 คิดว่าความเร็วประมาณ 90 Km/h
ถ้าเบรคตั้งแต่วินาทีที่ 3 อาจรอดครับ
และความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าถ้าเป็นคนน่าจะเบรคตั้งแต่วินาทีนี้ครับ
เผลอๆ คนขับเองหักหลบ ตกถนน บาดเจ็บ รถพัง แทนนะครับ
ถ้าขับถนนกิ่งแก้ว-สุวรรณภูมิบ่อยๆ ก็จะมีสกิลในการหลบหลีกสิ่งมีชีวิตที่ชอบพรวดออกมาจากมุมมืดของเกาะกลางถนนครับ
เสียใจกับทุกท่านที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ด้วยครับ
เส้นนี้แปลกใจ ทำไมตายบ่อย เค้าไม่ทำไฟทางเหรอ
มีจำนวนไฟถนนเท่ากับถนนมาตรฐานทั่วไปครับ แต่โรงงาน ร้านค้า และบ้านคนมันอยู่ตลอดเส้น
และคนที่ทำงาน หรืออาศัยเท่านั้น ไม่ได้สนใจในความปลอดภัยของตัวเองเท่าที่ควร ส่วนมากนึกจะข้ามตรงไหนก็ข้าม มันเป็นช่วงจุดอับแสงสว่างก็ยังข้าม
ร้ายแรงสุดคือคนข้ามถนนเส้นนี้ ชอบเดินข้ามถนนเหมือนเดินอยู่ในห้องนอนครับ เดินเรื่อยเปื่อยๆ แล้วชุดโรงงานส่วนมากก็สีทึมๆ ไปจนถึงสีมืดๆ แล้วเส้นนี้ถนนฝั่งละ 4 เลนส์นะครับ แล้วบางช่วงเวลาถนนจะว่างมากๆ รถก็ขับกันเร็ว
แต่ตอนหลังนี่เห็นมีทำ barrier ที่เกาะกลางถนนป้องกันคนข้ามแล้วนะครับ ไม่รู้เป็นยังไงบ้าง
ถ้าดูตัวอย่างจากเส้นอื่นก็คงไม่แปลกถ้าปีนข้ามเอา
ไม่ใช่ครับ เกิดจากความไร้วิสัยทัศน์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนๆ ที่คุณเห็นว่านึกจะข้ามตรวไหนก็ข้าม อันนั้นจริงๆเขากำลังข้ามทางม้าลายกันอยู่ครับ !
โรงงานมันมีทั่วประเทศแหล่ะ แต่มีเส้นนี้รถชนบ่อยเพราะ
1ทางม้าลายไม่มีจุดบ่งบอกให้รถที่วิ่งมาทราบ เป็นที่อื่น มันต้องประกาศให้โลกรู้ว่า ตรงนี้มีทางม้าลาย นี่ไปทำแอบๆให้คนวิ่งออกมาจากพุ่มไม้บ้าง ออกมาจากแท่งบาเรียบ้าง ไฟบ่งบอกอะไรก็ไม่มีให้คนขับรถเห็นมาแต่ไกลๆ ขับกันไปผวากันไป คนข้ามด้วยกันก็ยิ่งต้องวัดใจกันเองครับ ใครจะกล้าเปิดก่อน?
2 มีทางม้าลายลับแลแบบนี้เกือบตลอดเส้น ตอนหลังเหมือนหน่วยงานเพิ่งตื่น เลยมาปิดทางข้ามมันดื้อๆแบบนั้น (แล้วจะให้คนเขาข้ามยังไง ???ถนนยาวหลายสิบกิโล)
3 งบประมาณที่มี แทนที่จะสร้างไฟทางม้าลายให้มันดี ติดไฟเขียว ไฟแดงคนข้ามหรือ ดีสุดควรจะมีสะพานลอยไปเลย (ถนนอย่างยาว แต่มีสะพานลอยอันเดียวมั้ง) นี่ดันเอาไปสร้างรูปปั้น ช้าง ม้า วัว ควาย บนเกาะกลาง เงินเหลืออีก ก็สร้างยักษ์ยืน สร้างเสาไฟกินรีที่มีไฟยังกะร้านเหล้าดองอยู่ 2 ข้างทาง (ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แถมดูแล้วออกแนวไร้รสนิยมเสียมากกว่าอีก)
แบบนี้ไม่โทษหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็ไม่รู้จะโทษใครละครับ
ไม่ใช่ทางม้าลายครับ ผมรู้จักทางม้าลายนะ ผมรู้ว่าทางม้าลายอยู่ตรงไหนในถนนกิ่งแก้วบ้างครับ
พนักงานโรงงานจำพวกนึง เค้าไม่ได้ใช้สติในการข้ามถนนครับ และวิธีคิดของเค้าไม่เหมือนคนอื่น
เค้าคิดว่า ถ้าข้ามที่สว่าง รถที่ขับมาเห็นว่ามีคนจะข้าม รถจะไม่ยอมหยุดให้ครับ
อีกพวกนี่เดินคุยโทรศัพท์
อีกพวกเอาสบาย
ลองไปดูถนนกิ่งแก้วได้ครับ ไฟตลอดทางตามมาตรฐานครับ
อยู่ๆ โผล่มากลางถนนจากมุมมืดๆ คนขับเองก็ไม่น่าจะเบรคทันแน่ๆ ซึ่งปกติคนตัดสินใจช้ากว่าเครื่องจักรอยู่แล้ว รอสอบสวนต่อไป
แสงน้อยจัง น่าจะเป็นเช่นนั้น
โผล่แบบนี้น่าจะเบรกยาก แต่ว่าทำไมคนข้ามไม่ข้ามทางม้าลาย
สงสัยว่าทำไมแสงมันดูแปลกๆ เหมือนไม่เป็นธรรมชาติยังไงไม่รู้ เพราะคนก็อยู่ไกล้แนวระนาบของไฟแต่ไม่ยักจะเห็น เหมือนตัดต่อ และ ทำให้เบลอ ยังไงไม่รู้ ระดับ uber กล้องไม่น่าเชื่อว่าภาพจะแย่ขนาดนี้เหมือนจงใจทำให้ดูเหมือนแสงไม่พอ
ถ้าเห็นแล้วเบรคทันทีก็น่าจะลดความเสียหายได้อยู่ครับ
นี่เหมือนไม่เบรค
เปิดออโตฯ เหมาะกับถนนที่ไม่มีคนข้าม เช่น ทางด่วน มอเตอร์เวย์ ดีกว่า แต่เหมาะกับกลางวันมากกว่าเพราะคอมฯ+กล้อง เห็นชัดกว่า
Uber ทำน่าเกลียดมากเอาภาพจากกล้องหน้ารถความละเอียดต่ำๆ(480p? กล้องหน้ารถผมfull HDอายุหลายปียังเห็นชัดกว่าเลยนะ) มากล่าวโทษคนข้ามถนน เพื่อที่จะอ้างว่า มันมืดสายตาคนก็แทบมองไม่เห็น(?) แทนที่จะเอาภาพจาก sensor มาให้ดูว่าทำไมจับภาพไม่ได้ อย่างกรณี tesla ที่เคยพาคนขับชนข้างทางจนตาย เขาก็ยอมรับว่า แปลผลจากsensor ผิดพลาด
อย่าบอกนะว่า ระบบขับรถอัตโนมัติของ Uber ไม่ใช้ sensor อื่นๆช่วย แต่ใช้ภาพจากกล้องหน้ารถห่วยๆ ตัดสินใจ?
ถ้าเป็นคนผมเชื่อว่า มีโอกาสไม่ชนหรือบาดเจ็บน้อยลง ดูจากกล้องวิดิโอ เห็นเงาสะท้อนหลายจุดเห็นรองเท้าขาวๆก็ควรจะกระทืบเบรคได้แล้ว ถ้าเป็นคนขับรถกลางคืนจะสะดุ้งแน่นอน ยกเว้นว่าจะหลับในหรือมัวมองอย่างอื่น นี่ระบบขับอัตโนมัติไม่เบรคเลยจนชนไปแล้ว ห่วยเกิน
ถ้าระบบห่วยแบบนี้ เอามาใช้เมืองไทย คงชนตลอดทางตั้งแต่ยังไม่ออกจากซอยแล้วล่ะครับ
พอจะเดาได้ไม่กี่อย่าง lidar ยังไม่มีประสิทธิภาพพอ, algorithm ไม่สามารถแยกแยะพฤติการณ์ของผู้ที่กำลังจะข้ามถนน, กล้องกาก ความไวแสงต่ำ(แหงอยู่แล้ว)
ขนาดภาพจากกล้องหน้ารถภาพยังห่วยกว่ากล้องเก่าๆที่ผมใช้เลย(แต่ผมว่าเขาจงใจทำภาพให้ดูมืดๆเพื่อเบี่ยงเบนคดีมากกว่า)
ผมว่ากล้องมันก็ตามขนาดเซ็นเซอร์รับ แต่ที่ทำให้ภาพมันรับแสงได้น้อยลงส่วนนึงก็ไฟหน้าโปรเจคเตอร์กับหลอด 6000K ผมว่าถ้าไม่เปลี่ยนไปใช้โคมธรรมดากับหลอดสีอำพัน ก็คงต้องเพิ่ม IR Cemera เข้าไปใน list แทน
ไม่ใช่ ผมว่าประเด็นคือเขาจงใจใช้ภาพกล้องหน้าห่วยๆ มาเพื่อชี้นำคดี ให้คนด่าคนข้ามถนนแทนไง
ซึ่งกล้องหน้ารถปัจจุบัน ภาพดีกว่านั้นเยอะครับ ผมใช้กล้องมาหลายตัว ขับกลางคืนประจำ มองเห็นก็พอรู้ เคยเอาภาพกล้องหน้ามาเร่งแสงเช็คทีหลังบ่อยๆ เวลาเจออะไรประหลาดข้างทาง
จบกัน ระบบสารพัดเซนเซอร์รอบคันดันจับไม่ได้ แบบนี้รถผิดเต็ม ๆ ส่งผลกระทบการทดสอบวิ่งจริงไปทั่วโลกแหง ๆ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
เอ้อ ผมอ่านความเห็นแล้วก็นะ เหมือนหลายๆคนจะไม่เคยขับรถ
ความเป็นจริงมองด้วยตา จะสว่างกว่านี้เยอะครับ ขนาดผมขับรถเก่าๆไฟริบหรี่ ต่อให้ไม่มีแสงถนนเลยมีแค่ไฟรถยิ่งเห็นชัดแม้ไม่ได้เปิดไฟสูง อย่างน้อยๆก็ 30 เมตรขึ้นไป ถ้าเปิดไฟสูงเห็นไกลหลายร้อยเมตรครับ ขับเร็วเป็น 100 ยังเห็นหมาวิ่งข้ามถนนแต่ไกลเลย ถ้าใครเคยขับรถกลางคืนต่างจังหวัดก็น่าจะมีประสบการณ์ต้องคอยหลบซากหมาแมวข้างทางอยู่บ้างนะ แล้วจะรู้ว่าตาคนเห็นได้ชัดกว่ากล้องเยอะ
กลับมาที่รถ Uber มั่ง นี่ระบบจะไม่มี Lidar มั่งเลยเรอะ ทั้งคนทั้งจักรยานตรวจไม่เจอซะงั้น ไม่รู้ว่าทดสอบกลางคืนแล้วรอดมาจนถึงวันที่เกิดเหตุได้ยังไง แถมคนนั่งหลังพวงมาลัยก็ก้มหน้าก้มตาเหมือนเล่นมือถือไม่ได้สนใจถนนตรงหน้าเล้ย ทั้งๆที่ก็รู้ว่าเป็นการทดสอบระบบที่ยังไม่สมบูรณ์ เห็นได้ชัดว่าขาดจิตสำนึกในความปลอดภัยบนถนนชัดเจนทั้งจากตัวพนักงานเองและก็บริษัท เห็นคนบนถนนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นแค่หนูทดลอง เห็นถนนสาธารณะเป็นห้องแลปส่วนตัวรึไง
แถมยังไม่พอ ยังมีพวกที่มาปกป้องระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติแย่ๆนี่อีกนะ ผิดเต็มๆ ยังจะมาแก้ตัวให้อีก
จริง คนขับรถเคยขับกลางคืนควรจะสะดุ้งตั้งแต่เห็นเงาสะท้อนจากรองเท้าแล้วกระทืบเบรค ทันไม่ทันอย่างน้อยก็ผ่อนหนักเป็นเบา (เรื่องทางคดีใครประมาท คนละเรื่องกับความปลอดภัยในการขับขี่)
อีกอย่าง Uber มีกล้อง7ตัว มีLaser มี Radar 360องศา แต่ดันเอาภาพจากกล้องหน้ารถที่ห่วยกว่ากล้องจีนตัวละพันกว่าบาท มาโชว์เพื่อเบี่ยงเบนคดีชัดๆ
heres-how-ubers-self-driving-cars-are-supposed-to-detect-pedestrians
ไม่ได้เป็นกันทุกคนครับ อย่างผมนี่ก็มองเห็นในที่มืดได้ดีครับ แต่แฟนผมนี่มองไม่เห็นเลย ตอนกลางคืนผมไม่ค่อยอยากให้แฟนขับเท่าไหร่ แต่อย่างไรก็ตาม ตาคนส่วนใหญ่ก็น่าจะมองเห็นได้ดีกว่ากล้องเยอะอยู่
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมทำLASIK มา มองตอนกลางคืนลำบากมากกว่าคนตาปกติ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถคงสภาพการมองเห็นในตอนกลางคืนได้ดีนะครับ
ในกรณีแบบนี้ควรเป็นความรับผิดชอบของตัวคุณเองนะครับที่จะขับรถตอนกลางคืนด้วยความระมัดระวังมากขึ้น หรือไม่ก็เลือกที่จะไม่ขับรถตอนกลางคืนในที่ที่ไม่ค่อยมีแสงไฟส่องทางไปเลย
That is the way things are.
เห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ครับ
video จากกล้องหน้ารถที่อัดมานี่เหมือนจงใจเพิ่มความมืดอย่างเห็นได้ชัด แสงจากไฟถนนดูสว่างน้อยเกินแบบแปลก ๆ
คนที่ข้ามถนนก็ประมาทมากจริง ๆ ใส่เสื้อดำไม่พอ ยังย่อตัวต่ำ แล้วเอาตัวเองซึ่งใส่เสื้อสีดำบังสีจักรยาน แถมข้ามถนนไม่ตรงทางข้ามด้วย (เข้าใจว่ายังไงมันก็ต้องบังสีจักรยานด้านใดด้านหนึ่งอยู่แล้วนะครับ) แต่ผมก็ยังเชื่อว่าถ้าเป็นกรณีนี้เป็นคนขับจริงผมว่าเบรคทันค่อนข้างชัวร์ อาจจะเจ็บบ้างแต่มีโอกาสรอดสูง
That is the way things are.
ขอแสดงความเห็นในประเด็นความเร็วรถนะครับ ซากหมาแมวนั่นคือผลที่เกิดจากการโดนชนครับ เป็นการชนวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวซึ่งหลบยากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่งๆ อย่างซากแมว การเกิดอุบัติเหตุมันมาจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน เคยดูการทดสอบการใช้ความเร็วในชุมชน ความเร็วที่ทำให้สามารถเบรคเพื่อไม่ให้ชนกับการโดนตัดหน้ากระชั้นชิดได้คือ 30 กม./ชม. หรือต่ำกว่า ซึ่งเรื่องนี้โดยประสบการณ์ส่วนตัวแม้กระทั่งการจ๊อกกิ้งช้าๆ หรือกระทั่งการเดินก็ยังสามารถเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อมีปัจจัยที่เหมาะสมมาพบกันพอดี
เรื่องกฎหมายก็ว่ากันไปเองทั้งบริษัทและคนข้ามซึ่งผมเห็นว่าผิดทั้งคู่ ก็ไปว่ากันในศาลกันเอง
ซึ่งผมคิดว่ามนุษย์เราคงไม่อยากมีระบบอะไรที่เห็นคนทำผิดกฎหมายแล้วตัวเองได้เปรียบ
แล้วไม่สนใจปล่อยให้เขาตาย ฆ่าคนอื่นได้ถ้าเขาผิดหรือ?
อีกทั้งทรัพย์สินเสียหายแล้วต้องมาซ่อมทรัพย์สินเองอีกและแน่นอนมันไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม
แล้วเป็นการเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วย (เช่นหากเพิ่มความร้ายแรงเป็นสิบล้อตัดหน้าแทนละ)
เรื่องการมองเห็น ผมขับรถกลางคืนมาพอสมควร ผมว่าเห็นว่ากล้องรถมันควรดีกว่านี้นะ ควรดีกว่าสายตามนุษย์ด้วยซ้ำแม้สายตามนุษย์จะปรับรูม่านตาได้ก็ตาม แต่รถแบบรถไร้คนขับควรเป็นรถที่เทคโนโลยีต้องสุดๆ แต่เอากล้องคุณภาพด้อยกว่าสายตามนุษย์แค่นี้มาใช้นี่นะ
แล้วจากการสังเกตุ VDO ผมเห็นว่าแสงไฟช่วงก่อนชนแรกๆ แสงไฟรถข้ามเส้นประกลางไปไกลพอสมควรแต่พอใกล้ชนจนตอนชนนั้นไฟรถข้ามเส้นประไปนิดเดียว อันนี้น่าสงสัยนะครับ
ที่อธิบายข้างบนผมต้องการชี้ให้เห็นว่า ถึงรถไร้คนขับจะเพิ่มความสะดวกสะบายก็ตาม
แต่โดยธรรมชาติมนุษย์เราต้องการความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินมากกว่าความต้องการอื่นใด ทั้งของตัวเองและผู้อื่น หากหลีกเลี่ยงได้จะหลีกเลี่ยงเต็มที่ แม้เราจะถูกก็ตาม
(มนุษย์ไม่ใช่ไม่ชอบความตื่นเต้น หรือความหวาดเสียวนะจริงๆมนุษย์ก็ชอบนะแต่ต้องอยู่ภายใต้ความปลอดภัย
เช่นเครื่องเล่น เล่นแล้วเสียวสนุกดี แต่ต้องสร้างปลอดภัยมากที่สุด ควรตรวจสอบเช็คอย่างดีไม่ทำให้เกิดอุบัติเหตุจนคนต้องตาย ขึ้น100 ก็ต้องรอด100 ไม่ใช่บอกว่าเครื่องเล่นเรา เล่นทุกๆ100 รอบมีอุบัติเหตุน้อย ตายร้อยละ5เอง แบบสุ่มเองกล้าเล่นไหมครับ)
ตามความเห็นผมระบบยังทำได้แย่เช่นนี้ ซึ่งควรจะต้องปลอดภัยกว่าคนแต่กับไม่ใช่ คงปล่อยให้เกิดไม่ได้ละครับ
เมื่อดูคนที่คอยควบคุมรถ ที่ไม่รู้ใช่วิศกรด้วยหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่ได้มีใจรักในงานหรือผลงานตัวเองเลยไม่ใส่ใจคอยควงคุมรถเท่าไหร เหมือนทำๆไปงั้น ทำแบบเบื่อๆ ไม่สนุก ไม่ตื่นเต้นไปกับงานที่จัดว่ายิ่งใหญ่ ซึ่งในอนาคตจะเปลี่ยนวิถีชีวิตคนอย่างมากเลย สะท้อนไปยังบริษัทที่ไม่ใส่ใจ ไม่เข้มงวดผลักดันจริงๆจังๆ ประมาณว่าแค่ตั้งใจทำๆไปแค่พอให้มีรถไร้คนขับเหมือนบริษัทอื่นเท่านั้น
ถ้าคนและบริษัทรักในงานคงต้องรู้ว่าต้อง Save ความเสียหายทุกอย่างให้มากที่สุด เพื่อผลักดันระบบเทคโนโลยีนี้ให้คนเห็นว่าดีกว่ามนุษย์ แล้วจึงจะทำให้รถไร้คนขับนี้เป็นที่ยอมรับได้
จากที่เห็นข่าวพัฒนารถไร้คนขับ ผมนี่ชอบนะ ในใจเชียร์ตลอด แต่ที่เห็น Uber ตอนนี้บอกได้แค่ว่าผิดหวังครับ ความรักในงาน ความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้อื่นในท้องถนนค่อยข้างน้อยครับ
(ซึ่งคนในรถอาจเจ็บหรือตายไปด้วย และรถก็ต้องเสียหายด้วย
ยกตัวอย่างคือ ถ้ารถไร้คนขับทำมาให้ชนชีวิตหรือทรัพย์สินผู้อื่นได้ได้โดยไม่ต้องเบรค save อะไรเลย เมื่อรถไร้คนขับได้ขับมาอย่างถูกกฎหมายแล้ว
ผมก็ไม่ขอนั่ง1คนละครับ)
ขออภัย reply ผิดคอมเม้นต์ แต่ขอคงไว้ตามเดิมนะครับ
เหมือนมีการถกเรื่อง Ethical Dilemma มาแล้วนะครับ เมื่อรถไร้คนขับเผชิญกับทางสองแพร่งทางจริยธรรม จะชนคนข้ามถนนหรือหลบแต่คนนั่งตาย? ที่คุณยกมา ผมว่ามันก็ไม่มีระบบใดๆ ในโลกที่จะสมบูรณ์แบบ 100% ทุกระบบสามารถมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นได้หมด แต่ขึ้นอยู่กับว่าผิดพลาดแค่ไหนถึงจะยอมรับได้
ให้ผมสรุปสั้นๆ คือ ถ้าจะแทนคนก็ต้องดีกว่าคนครับ
ไม่งั้นขับเองรับผิดชอบ รับผลเองดีกว่า
ไม่ใช่เราอยู่เฉยๆ ระบบขับชนให้เรา มีคนตาย หรือซวยเราตายไปด้วย
ผมว่าคงไม่ดีนะครับ
ถูกต้องครับ แต่ว่าผลของมันตอนนี้ไม่รู้มีใครสรุปไปแล้วหรือยังว่าโดยรวมแล้วมันดีหรือแย่กว่าคน
อธิบายจริยธรรมนะครับ รถไร้คนขับต้องออกแบบมาให้ปฏิบัติถูกกฎหมายอยู่แล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ต้องรักษาชีวิตคนในรถและตัวรถเองก่อน แต่ไม่ใช่ออกแนวฝั่งรถถูกชนแหลกครับ รถจะต้อง save ชีวิตคนอื่นและคนในรถให้มากที่สุดมากๆด้วย ดังที่ยกตัวอย่างเล่นๆ ว่าถ้าเปลี่ยนเป็นรถสิบล้อละ แต่เราถูกเหมือนเดิม
ผลดีคือชนเบาเท่าไหรหรือไม่ชนได้ยิ่งดี คนในรถก็เจ็บน้อยผลกระทบน้อยด้วยครับ
กรณีที่ถามว่าระบบนี่ดีกว่ามนุษย์หรือยัง
จากที่ไปคิดทบทวนมาแล้ว
อธิบายดังนี้นะครับ
ให้ลองนึกถึงระบบต่างๆ
ที่ทำงานเฉพาะด้านแทนคนหลายอย่างที่เห็นนะครับ
เช่น 1.เครื่องคิดเลขอย่างดี คิดได้เร็ว คิดได้พร้อมกันจากข้อมูลหลายตัวแปร ซึ่งดูแล้วผมว่าทำได้ดีกว่าคนเก่งคณิตศาสตร์ที่1แน่ๆ
2.alpha go ชนะคนเล่น โกะอันดับหนึ่ง
3.หุ่นยนต์แก้รูบิคได้ไวกว่าคนมาก
4.เครื่องจักรอุตสาหกรรมต่างๆ ก็ผลิตของได้เร็วกว่าคนทำงานไวที่สุด
จะเห็นว่าระบบที่แทนคนต่างๆ ที่ยกมาผมคิดว่าชนะที่1ในด้านนั้นๆ ทั้งหมด
รถไร้คนขับละจะแทนคนขับชนะที่1ของคนขับรถที่ปลอดภัยที่สุดยัง หรือเสมอหรือยัง
คนที่ขับปลอดภัยที่สุดนั้นเคยชนคนตายไหม
ถ้าคนนั้นไม่เคย
แล้วระบบก็ควรจะต้องทำได้ด้วย
แล้วคนที่ขับปลอดภัยที่สุดนั้น
ถ้าไม่เคยชนอะไรเลย
ถ้าระบบทำได้ดีใกล้เคียงเท่าไหรก็ยิ่งดี (สุดโต้ง)
-ในท้องถนนมันมีปัจจัยเรื่องดวง ความประมาทเลินเล่อของผู้ใช้ถนนคนอื่น มาเป็นปัจจัยไม่แน่นอนในแต่ละพื้นที่และในเวลาหนึ่ง ๆ ต่างกัน
เมื่อปัจจัยเสี่ยงน้อยต่างๆเกิดกับคนหนึ่งตลอดชีวิตก็อาจไม่ชนอะไรเลยทั้งชีวิต
แต่กับคนที่เจอปัจจัยเสี่ยงมากๆ ก็อาจไม่รอดการชนได้
กรณีเอาแบบเป็นไปได้ ผมว่าเอาแค่ระบบเห็นก่อนคนที่สายตาดีที่สุด แล้วเบรกให้ได้ก่อนคนที่สติดีที่สุด #ในทุกกรณี ก็น่าจะใช้ได้ล่ะ
ผมว่าอันนี้คงไม่เวอร์สุดโต้งไป
จะให้ไม่เกิดการชนเลย คงไม่เกิดแน่รถไร้คนขับ
ผมว่าสิ่งที่คุณว่ามาคือเป้าหมายหลักพื้นฐานของการทำระบบอัตโนมัติอยู่แล้วนะครับ ในกรณีนี้ถ้าจะให้แฟร์จริงๆ ก็ต้องมีการทดสอบสมมติฐานโดยจำลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มาอีกหลายๆ ครั้ง เพื่อนำมาหาค่าเฉลี่ยว่าระหว่างคนขับกับระบบอัตโนมัติ ว่าแบบไหนจะมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน
แต่บางอย่างมันก็ล้ำหน้าคนไปแล้วเหมือนกันนะครับ ฟีเจอร์ใหม่ของ Tesla ช่วยเตือนผู้ขับเมื่อรถข้างหน้ากำลังจะชนกัน และเลี่ยงอุบัติเหตุได้สำเร็จ
ครับ แต่ผมเห็นว่า การจะสร้างระบบอัตโนมัติจะต้องชนะคนทุกกรณี มากกว่า
คือต้องชนะคนที่ชำนาญการขับรถที่ขับได้ปลอดภัยส่วนใหญ่ทั้งหมดนะครับ( เพื่อคาดเดาหาระดับความสามารถคนขับเก่งดีที่สุดแทน เช่น สายตาดีสุด สติดีสุด เป็นต้น ) ในเหตุการณ์แบบเดียวกันทุกประการกับระบบอัตโนมัติ
ผมเห็นว่าเมื่อเป็นระบบอัตโนมัติทุกอย่าง ทำแทนมนุษย์ทุกอย่างจะให้ หาค่าเฉลี่ย แล้วมาวัดกันระหว่างคนกับระบบรถไร้คนขับคงไม่ได้นะครับ
-ระบบอัตโนมัติอื่นๆ เขาล้วนทำมาให้ชนะค่า MAX
-แต่เราจะให้สิทธิพิเศษให้ระบบรถไร้คนขับ ชนะเพียงค่า AVG เท่านั้นหรือครับ?
คือระบบรถไร้คนขับจะขับแทนเราทั้งหมด แล้วคนในรถนั่งเฉยๆ
ไม่ใช่เพียงระบบช่วยขับช่วยเตือนที่จะเก่งกว่าแค่บางอย่างพอ
ถ้าบอกตัวเองเป็นแค่ระบบช่วยขับเท่านั้นก็ว่าไปอีกอย่างครับ
ก็ไม่ขนาดนั้นนะครับ
ครับ ผมนั้นเวอร์ไปจริงๆนั้นล่ะ เหมารวมมากไป
แต่ผมขอถามสักนิดนะครับว่า กรณีรถไร้คนขับนี้สมควร ชนะค่า MAX ไหมครับ
ผมคิดว่าคงไม่ครับ
ขอถามเสริมอีกเยอะแล้วละครับ
คือแล้วเท่าใด จึงถือว่าใช้ได้จริงละครับ ต้องชนะเงื่อนไขใด
ขออภัยก่อนว่าขอชี้นำนิดหน่อยนะครับ เนื่องจากระบบนี้พิเศษอย่างหนึ่งด้วยคือผลของมันนั้นมีชีวิตเป็นเดิมพันด้วยนะครับ
โดยเฉพาะชีวิตเจ้าของรถที่นั่งมาด้วย ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเลย ต้องมาเจ็บหรือมาตายโดยใช่เหตุ จากการไม่ทำให้ระบบดีอย่างจริงจัง จริงๆ จนสามารถชนะมนุษย์ได้ ตอบเขายังไงดี
(กรณีนี้คือเปลี่ยนเป้าหมายให้รถไร้คนขับออกใช้จริงก่อนแล้วค่อยเอาชนะทุกกรณีทีหลังครับ ซึ่งคิดว่ายังไงก็ต้องทำให้ได้นะครับ)
ที่แสดงความเห็นมาทั้งหมดผมยอมรับรับว่าผมนั้นกลัวอันตรายกับเรื่องนี้มากๆ
เลยอยากให้ระบบทำออกมาให้ชนะค่า MAX น่าจะดี
ถ้าปล่อยแบบยังไม่ชนะ แล้วไม่รู้ว่าบริษัทเหล่านั้นจะอัพเกรดรถคันเดิมให้ดีขึ้นได้ไหม
แล้วเกิดปัญหาร้ายแรงกับรถทั้งหมด
ทำให้ต้องเรียกรถคืน มาแก้ปัญหาทีหลังอาจได้หรือไม่ได้
จะคุ้มกับความเสียหายทั้งชื่อเสียงหรือเงินและไม่นั้น
(ปัจจัยมันเยอะนะครับ
อีกอย่างนะครับ ข้อดีของการเอาชนะค่า MAX ในเรื่องนี้สำหรับผมคือมัน Play Save ให้ทุกฝ่าย)
ถ้าเราจะปล่อยออกมาโดยไม่ต้องชนะค่า MAX เท่าใดจึง Play Save พอ?
max ที่ว่านี่ max ขนาดไหนล่ะครับ ของคนที่ขับรถดีที่สุดในสภาพสมบูรณ์พร้อมที่สุดในช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดที่เป็น 0.00001% ของคนขับรถยนต์ที่อยู่บนท้องถนนอย่างนั้นหรือ?
ผมก็ไม่รู้ว่าค่าที่เหมาะสมมันอยู่ตรงไหน มันไม่ใช่ค่า max แต่ก็ไม่ใช่ที่ค่า avg เสียทีเดียวครับ
ใช่ครับผมก็กลัวอันตรายครับ ผมเสี่ยงมากด้วยเพราะผมปั่นจักรยานอยู่กับรถยนต์ แต่ถ้ารถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติมันมีโอกาสชนผมน้อยกว่าค่าเฉลี่ย แม้ไม่ใช่ว่าไม่มีทางชน แค่มีโอกาสน้อยกว่าค่าเฉลี่ย หมายความว่าโอกาสที่ผมจะถูกรถคันหนึ่งชนแม้จะรวมรถทุกชนิดแล้วมันก็น้อยลงกว่าค่า avg เดิมครับ เทียบกับว่ารถขับเคลื่อนอัตโนมัติไม่สามารถลงถนนได้เพราะยังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุอยู่แล้วปล่อยให้โอกาสเสี่ยงถูกชนอยู่กับค่า avg เหมือนเดิม
การรอให้สมบูรณ์มันมีค่าเสียโอกาสครับ อีกกี่ชีวิตที่จะต้องถูกชนกว่าที่เราจะสามารถลดโอกาสการชนลงได้จนมันเริ่มออกมาวิ่งจริง
ครับขอบคุณครับ
ขออธิบายอย่างนี้ครับ ผมขอตั้งตัวเลขสมมุติให้พอเห็นภาพนะครับ
1.กรณีคนเห็นดีที่สุด ในที่นี่คือเห็นแล้วแบบรู้ว่าการเห็นนี่เป็นอันตรายแล้วที่ระยะเท่าใด สังเกตุจากปฏิกริยาร่างกาย เช่นสะดุ้งที่ระยะเท่าใด เช่น ถ้าเป็นที่ระยะ 30 เมตร ระบบก็ทำมากกว่า 1 ก็ชนะแล้ว
2.กรณีคนสติดีที่สุด หากเขาตัดสินใจเหยียบเบรคที่ระยะ20เมตร ระบบก็ทำให้ได้เพิ่มอีกสัก 1 ก็ถือว่าดีกว่าแล้ว
จากตัวอย่างสมมุติ
ผมว่าค่า MAX ที่ผมพยายามสื่อมันไม่ถึงขนาดเป็นได้ยากนักนะครับ จนทำไม่ได้นะครับ
ยังไม่ตอบคำถามที่ว่า
max ที่ว่านี่ max ขนาดไหนล่ะครับ
นะครับก็ขนาดตามตัวอย่างล่ะครับ แต่เปลี่ยนเป็นค่าคาดการณ์จริงของที่หนึ่ง ในกรณีต่าง ๆ
และด้วยเทคโนโลยีเซนเซอร์ต่างๆตอนนี้ ด้านความไวผมว่าไวกว่ามนุษย์แล้ว
ด้านความชัด ก็คิดว่าชัดกว่าแล้ว
มีเรื่องความไกลนี่ล่ะอาจต้องพัฒนาอีกหน่อยก็น่าจะเลย Max ของมนุษย์แล้ว
( ระยะที่เห็นซึ่งรับรู้ว่าเป็นอันตรายแล้ว ใครจะรับรู้ได้ก่อนกัน)
คือผมยังคงไม่เข้าใจว่าค่าที่ว่านี่จะหาเก็บมาจากไหนครับ
ในโลกที่มีกระทั่งคนที่ชักดาบมาฟันลูกกระสุน BB ทัน (ถ้าเค้าไม่ได้หลอก) หรือยิงธนูใส่ลูกธนูที่สวนมาทัน ผมไม่คิดว่าเราจะเอาคนประเภทนั้น (ที่ก็อาจจะเป็น max แล้ว หรือ max อาจจะสูงกว่านั้นโดยที่เราไม่รู้ว่าใคร) มาเป็นเกณฑ์ครับ
มันก็อยู่ที่ว่าจะทำออกมาระดับไหนอีกครับ ถ้าแบบเทพสุดดีสุดราคาก็พุ่งไปจนไม่มีใครใช้+ข้อเสียอื่นๆ แล้วก็ไม่เกิดอีก
ถ้าถึงขั้นนั้นและเป็นเรื่องจริง ก็ควรปรับค่าลงมาอย่างที่ท่านว่าล่ะครับ
เนื่องจากผมคาดการณ์เกณฑ์ ที่จะ play safe ที่ดีที่สุดของทุกฝ่ายผิดพลาด โดยการถามหาเกรด S (Super) หรือคะแนน 100+ ซึ่งเรื่องบางเรื่องเช่นเรื่องนี้
อาจทำคะแนน 100+ ไม่ได้อย่างท่านว่า
โดย"อาจ"ใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งมาหาค่าเฉลี่ย
(หาค่าเฉลี่ยจากผู้ได้เกรด A หรืออาจรวมไปถึง B+)
หรือ หน่วยงานที่อนุญาตเห็นสมควร ภายใต้การพร้อมยืดอก พร้อมอัพเกรด ปรับปรุงแก้ไข หรือปลดระวาง เมื่อมีปัญหาร้ายแรง และอาจตั้งระยะเวลาการใช้งาน เมื่อถึงระยะต้องนำมาอัพเกรด และตั้งระยะปลดระวางไว้ด้วย (ก่อนถึงเวลาเตือนให้ส่งบริษัทเพื่อปลดระวาง และเมื่อถึงเวลาแล้วก็บังคับปิดระบบ รถวิ่งไม่ได้ ต้องลากไปให้บริษัท หรือให้บริษัทมารับ โดยอาจมีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าเก่า) เพื่อความปลอดภัยที่ดีขึ้นจากเทคโนโลยีไหม่
จะเอาค่าเฉลี่ยจากคนทั้งหมดคงไม่เหมาะ
มีเรื่องเล่าให้ฟังเล่น ๆว่า เรื่องค่าเฉลี่ยนี้ตอนสมัยเรียน ผมเจอค่าเฉลี่ยของคะแนนวิชาบางวิชามีคะแนนไม่ถึง 50% ซึ่งการชนะค่าเฉลี่ยยังทำได้อีกหลาย % ก็ยังไม่เกิน 50% อยู่ดี
ถ้ากรณีเกิดกับผลการขับของมนุษย์บ้างซึ่งไม่รู้จริงๆ คือเท่าไหร แล้วระบบชนะเพียงค่าเฉลี่ยทั้งหมดก็อันตราย
คนคนเดิม เมื่อเจอสถานการณ์เลวร้ายแล้วจะพัฒนาตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเดิม
ซึ่งก็ควรเกิดกับรถไร้คนขับด้วย
ส่วนราคาคงต้องยอมจ่าย บริษัทใหญ่อาจมีการพัฒนาเองด้วย ซื้อบริษัทผลิตเซนเซอร์เพื่อลดต้นทุน ซื้อแย่งตัววิศกรด้านนั้น ต้นทุนผมว่าทำให้ลดได้ ทำขายแพงจำนวนน้อยแบบเทสล่าก็เห็นว่าไปได้ดีนะ และขยับมาเยอะขึ้นถูกลงที่หลัง เซนเซอร์ก็ผลิตเอง บวกส่งเซนเซอร์ขายให้เจ้าอื่นไปด้วย
สุดท้ายขอขอบคุณท่านมากๆ สำหรับการท้วงติงที่เป็นประโยชน์อย่างมาก
จุดต่างที่สำคัญมากมันอยู่ที่ตรงนี้แหละครับ คนคนนึงทำพลาดก็จะพยายามเลี่ยงไม่พลาดเหมือนเดิม ส่วนคนอื่นก็อาจจะได้บทเรียนบ้างเล็กน้อย ขณะที่รถไร้คนขับคันนึงพลาด (และข้อมูลไม่หาย) รถไร้คนขับในสังกัดทั้งหมดจะได้บทเรียนระดับเดียวกับคันที่พลาดหมดเลย
คิดว่าเป็นไปตามท่านว่า อย่างน้อยก็คงมีผลกับรถไร้คนขับในบริษัทเดียวกันทั้งหมด
แต่ ในที่นี้ก็ต้องดูว่าความสามารถด้าน Software และ Hardware ยังรองรับอยู่ด้วยรึเปล่านะครับ
ซึ่งเมื่อถึงระดับหนึ่งผมว่าควรต้องอัพเกรด หรือปลดระวางอยู่ดี
ซึ่งผมว่าเรื่องนี้มีความสำคัญเหมือนกัน
ใช่ครับ เรื่องนี้ผมว่าตามกฎหมายควรจัดให้เหมือนกับคนขับขี่คือมีการพิจารณาใหม่ทุกๆ x ปีอะไรแบบนั้น ตัวไหนไม่ผ่านก็ต้องไปอัปเกรดให้ผ่านให้ได้ อัปเกรดไม่ได้ก็เปลี่ยนรถ เจ้าไหนทำแล้วอัปเกรดไม่ค่อยได้เดี๋ยวคนก็เลี่ยงกันไปเอง
ขอบคุณที่มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเช่นกันครับ ^^
ถ้าคุณอ่านลิงค์เรื่อง Ethical Dilemma ก็จะเห็นว่ามันยากที่จะไปถึงค่า MAX ที่ทำให้เกิดการ Play safe ได้ทุกฝ่ายทุกกรณี กับคำถามที่ว่าเท่าใดถึงจะใช้ได้จริง ตรงนี้ก็ต้องเป็นหน้าที่ของหน่วยงานกลางที่จะออกมากำกับ ลองคิดตามนะครับเวลาเราเดินเท้าก็แทบไม่เคยได้ยินว่ามีการเดินชนกันตาย แต่ว่าทำไมเรายังยอมให้รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือเครื่องบิน ที่ยังมีอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแก่ชีวิตเหล่านี้ออกมาสัญจรได้อยู่ ซึ่งทุกอย่างที่ว่าในทางอุดมคติก็มีการป้องกันหรือเสริมสร้างความปลอดภัยทั้งจากภายในและภายนอกเสริมอยู่แล้ว
ถ้ามีคนๆ หนึ่งกลัวการขึ้นเครื่องบินเพราะกลัวว่าเครื่องจะชนนกและอาจจะทำให้เครื่องตก ซึ่งมันมีโอกาสเป็นไปได้ และใช้เหตุผลนั้นในการหยุดบินทั้งหมด เพราะไม่สามารถชนะค่า MAX ได้ มันก็คงแปลกดีนะครับ
ยาวครับ
กรณีที่ให้รถวิ่งได้นั้น มันมีคนขับมารับช่วงความรับผิด ให้เป็นความประมาทของคนขับเอง
แล้วเครื่องบินก็มีคนขับนะครับ เป็นแค่ระบบช่วยขับเองต่างกับอัตโนมัติทั้งหมดนะครับ เป็นการสะท้อนว่าคนยังไว้ใจมนุษย์อยู่มากกว่า เมื่อมีปัญหาก็จะพยายามให้ผลักความผิดให้มนุษย์ที่ขับนั้นให้มากที่สุดด้วย
แต่นี่บริษัทกินรวบทุกอย่างนะครับ
ถ้ามองในแง่ดีที่สุดนะครับ นั่นคือจุดแข็งที่จะทำให้เครื่องจักรชนะคนได้เลย ถ้าทุกคนเปลี่ยนมาใช้ระบบนีเ้และหากรถทุกคันคุยกันได้ ก็จะลดความผิดพลาดแบบ random ทั้งการทำผิดกฎจราจร ความเมื่อยล้าและปัจจัยที่เป็นปัญหาทางกายภาพของมนุษย์ไปได้แทบจะในทันที
ส่วนตัวผมก็อยากให้ระบบนี้เกิดมามากนะครับ
แต่อย่างที่ท่านว่าล่ะ
ต้องขนาดไหนดี จึงเป็นเกณฑ์ที่ดีพอ ต้องหาตรงนี้ให้ได้ก่อน
จริงจังสุด ๆ หรือยัง เนื่องจากชีวิตมีความเสี่ยงแล้วไม่มีคนขับมารับช่วงความผิดให้แล้ว
หน่วยงานที่อนุญาตซึ่งอาจเป็นรัฐหรือองค์กรอิสระ และบริษัทพร้อมยืดอกรับผิด แก้ไข หรือปล่อยผ่าน โทษผู้ผิดกฎหมายก็พอ?
(เช่น จะต้องเรียกกลับมาแก้ไข หรือหากแก้ไขไม่ได้ พร้อมเรียกคืนมาปลดระวางไหม)
เพิ่มเติม
กรณีที่ท่านพยายามชี้เรื่อง Ethical Dilemma ผมได้เข้าไปอ่านและได้ตอบท่านแล้วว่า
รถจะต้องทำมาให้ถูกต้องกฎหมาย เพราะฉะนั้นจึงต้องรักษาชีวิตคนในรถก่อน
ในการมองเรื่องจริยธรรม แต่กับไม่มองความถูกต้องมาประกอบ
(ซึ่งผมชี้ว่าควรคิดถึงเรื่องความถูกต้องของกฎหมายด้วย)
ผมเห็นว่ามันเป็นจริยธรรมที่แปลกๆ เป็นจริย
ธรรมที่บกพร่อง ขาดจริยธรรมในคำถามนั้นเสียเอง
เช่นนี้ ผมจึงชี้ว่าต้องทำให้รถถูกต้องกฎหมายด้วย
"ไม่อย่างนั้นงั้นก็ตอบคำถามไม่ได้"
วิธีนี้เป็นการเติมความบกพร่องให้เต็ม ทำให้ตอบคำถามได้ว่า เมื่อรถถูก ก็ต้องรักษาคนในรถก่อนดังที่ตอบไปครับ
ลองอ่านเรื่อง Ethical Dilemma เพิ่มเติมดูครับ แล้วจะพบว่า ตัวอย่างจากลิงค์ที่ยกมาเป็นเพียงหนึ่งในความไปได้ที่จะสามารถเกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งในสถานการณ์จริงจะมีตัวแปรที่ควบคุมได้ยากนั่นคือเวลาที่จำกัดมากๆ เพิ่มเข้าไปอีก จะปล่อยให้คนเดียวตายหรือว่าห้าคนตายดี: A lesson on moral dilemma พุทธศาสนิกชนจะตอบปัญหาจริยธรรม Trolley problem ว่าอย่างไรกันครับ The Trolley problem ปัญหาทางจริยธรรม ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ปัญหารถราง
ผมขออธิบายดังนี้นะครับ
ความเห็นผมถ้าจะอธิบายจริยธรรมกันอย่างจริงจัง
ผมก็ยังยืนยันต้องเอาความถูกผิดเป็นที่ตั้งครับ
ความถูกต้องต้องมาก่อนครับ แต่เมื่อมีคนมากกว่า 1 ฝ่ายที่ถูก จึงค่อยเอาเกณฑ์อื่นมาวัดครับ
ตัวอย่างครับ
1.รถถูกฝ่ายเดียว คนที่ควรรักษาก่อนคือคนในรถที่ไม่ผิดอะไรเลย
2.รถประมาทผิดร่วมกับคนใช้ถนนที่จะชนด้วย คนที่ควรรักษาก่อนคือคนในรถที่ไม่ผิดอะไรเลยเช่นกัน
3.รถผิดฝ่ายเดียว คนที่ควรรักษาชีวิตมี 2 ฝ่าย คือคนในรถและคนในถนน หากมีปริมาณต่างกัน อันนี้ผมเห็นว่า รถควรตัดสินใจโดยใช้ปริมาณมาตัดสิน โดยรักษามากไว้ก่อน
4.รถผิดฝ่ายเดียว คนที่ควรรักษาชีวิตมี 2 ฝ่าย คือคนในรถและคนในถนน หากมีปริมาณเท่ากัน อันนี้ให้ดูว่าเราควรให้ความสำคัญใครมากกว่า ซึ่งถ้ามองมุมบริษัทคนในรถย่อมสำคัญกว่า ถ้ามองในมุมคนนั่ง ตัวเองย่อมสำคัญกว่า ยกเว้นญาติและคู่ครอง
กรณีนี้บริษัทอาจตั้งเงื่อนไขให้รักษาชีวิตคนนั่งไว้ก่อน โดยให้คนนั่งแจ้งความประสงค์ว่าถ้าเป็นญาติหรือคู่ครองจะทำอย่างไร
ที่ท่านยกกรณีเอามนุษย์เป็นที่ตั้งในเคสรถไฟ ต้องเข้าใจก่อนว่า มนุษย์ไม่ใช่รถ จริยธรรมของมนุษย์ควรใช้หลักพรหมวิหาร4 ในกรณีคนที่จะตายไม่มีใครผิดเลย คือมีความเมตตา กรุณา
ถ้าช่วยได้ช่วย โดยไม่ฆ่าใคร จะให้ฆ่าคนไม่ผิดไม่ได้
เมื่อช่วยไม่ได้ก็ต้องอุเบกขา โดยเราต้องไม่ตัดสินใจฆ่าคนที่ไม่ผิดคนอื่นแทน
หรือตรงกันข้ามทั้งสองฝ่ายผิดทั้งคู่ เราก็ต้องอุเบกขาเช่นกัน กรรมนั้นเขาก่อ เขาก็สมควรรับจะมากจะน้อย เราก็ไม่ควรไปยุ่ง
กรณีคนถือระเบิดหรือปืน ต้องจัดการคนผิดเพื่อรักษาชีวิตคนที่ไม่มีความผิดด้วยไว้
เมื่อเรามองจริยธรรมเป็นที่หนึ่ง แล้วรักษาประโยชน์เป็นที่สอง ก็ควรจะมีแนวทางปฏิบัติตามที่ผมอธิบายครับ
แต่ถ้าคำนึงการรักษาประโยชน์ส่วนมากมาเป็นที่หนึ่ง แนวทางก็จะเป็นอย่างอื่นครับ
อธิบายเพิ่ม สำหรับข้อ 3 และ 4 สองข้อนี่ ผมมองว่าถ้าจะใช้เพียงจริยธรรมโดยลำพังนั้น ในการตัดสินใจผลคือ หาคำตอบไม่ได้ครับ
ถ้าเป็นคนขับกรณีนี้คงต้องเอา ความเห็นใจมาพิจารณาร่วมด้วย
ถ้าเป็นระบบคงต้อง การรักษาประโยชน์ส่วนมาก และการรักษาประโยชน์บริษัทและอื่นๆ มาพิจารณาร่วมด้วย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจะทำระบบออกมาแก้ไขความผิดพลาดแทนคนทั้งที แล้วปล่อยให้ระบบมีปัญหาถึงขั้นเป็นผู้ผิดอยู่ฝ่ายเดียวตามข้อ 3 และ 4
อย่างนี้เราควรปล่อยให้ระบบนี้ออกมาใช้ได้จริงหรือเปล่า?
ซึ่งเวลาที่จำกัดก็แก้ไขได้โดยต้องทำให้ ระบบทำงานในลักษณะที่1.ถูกฝ่ายเดียว และ2.ประมาทร่วมกับผู้ใช้ถนน
อย่าให้เกิดเหตุแล้วแล้วรถเป็นฝ่ายผิดฝ่ายเดียวตามข้อ 3 และ4
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณมากๆ นะครับ ได้อ่านบทความหลายบทความเลยจากท่าน
Ethical Dilemma ถ้าจะยึดเรื่องความถูกต้องจริงๆ ก็ต้องให้สิทธิ์คนเดินถนนในการตัดสินใจตอบโต้ด้วยเช่นกันนะครับ
เช่นกำลังข้ามถนนบนทางม้าลายแล้วเจอรถขับเร็วเกินกฎหมายกำหนด หรือรถขับสวนเลน มาโดยไม่มีทีีท่าว่าจะหยุดให้ทาง ก็มีสิทธิ์ใช้ปืนยิงคนขับ หรือปาขวากดักรถให้ยางแตก เพราะมีความเสี่ยงจะเกิดอุบัติเหตุไหม? อย่าลืมนะครับว่า โอกาสรอดหากเกิดการชนกัน คนตัวเปล่า กับคนในรถ มันต่างกันเยอะ ถ้าไม่ให้คนตัวเปล่ามีอาวุธไว้สู้ มันก็ไม่ยุติธรรมสิ?
ผมยกตัวอย่างเว่อๆ เพราะมันคือการตัดสินใจแบบสุดโต่ง โดยยึดความถูกต้องเพียงฝ่ายเดียวเป็นหลักไงครับ
รถขับมา เจอคนข้ามถนนในที่ห้ามข้าม คุณเลยขับชนโดยไม่เบรคเลย เพราะคุณเป็นฝ่ายถูก? ทั้งๆที่มีตัวเลือกอื่นๆอีกมากมายให้ใช้ เช่นเพิ่มระบบเฝ้าระวังให้ปลอดภัยกว่านี้ BMW series7ทำระบบ night vision ที่โม้ว่าเห็นภาพได้ระยะเป็นร้อยเมตรมาตั้งแต่ปี 2005 แล้วนะครับ
เคส Uber นี่มีหลายอย่างบ่งบอกว่า ฝ่ายรถเองก็ประมาท เช่นขับรถเกินกฎหมายกำหนด หรือผู้ควบคุมไม่ได้ใส่ใจในการควบคุม (เครืองบินมี auto-pilot ยังต้องมีคนคุมเลยครับ) หรือรถไม่ยอมเบรคจนชนไปแล้ว มันผิดวิสัยความปลอดภัยอย่างมาก ถ้ารถพยายามเบรคแล้วแต่ไม่ทันเพียงพอจะหยุดรถ หรือบอกว่าถ้าเบรคแรงกว่านี้รถจะเกิดอุบัติเหตุ(ซึ่งคนขับรถ"เป็น"คงทราบว่า รถมันไม่ได้หมุนง่ายๆถ้าไม่หักพวงมาลัยหลบ ตามกฎความปลอดภัยคือกระทืบเบรคแล้วรักษาพวงมาลัยให้ตรงดีที่สุด ถ้าคุณไม่ใช่นักดริฟท์ ว่างๆจะค้นเอกสารทดสอบความปลอดภัยของ IHS มาให้ ว่าเบรคแบบbest effortต้องทำแบบไหน)
ถ้าเป็นกรณีที่สุดวิสัยจริงๆ เช่นมีคนกระโดดใส่รถ พุ่งตัดหน้า จนเบรคยังไงก็ไม่ทัน อันนี้พอพูดได้ว่ายึดความถูกต้อง แต่พอมีเรื่องที่ฝ่ายรถยนต์เองก็ไม่ได้รักษากฎความปลอดภัยเท่าที่ควร มันก็กลายเป็นประมาทร่วม พอแบบนี้ก็ต้องคำนึงถึงชีวิตของแต่ละฝ่ายด้วย ไม่งั้นก็ไม่ต่างจากเจตนาฆ่าคนตายนะครับ คือเล็งเห็นผลที่รู้ว่าถ้าไม่หลบเลี่ยงก็ต้องทำให้อีกฝ่ายตายได้ เพราะรถยนต์ก็ไม่ต่างจากการใช้อาวุธกับคนมือเปล่า(ไม่เบรค ทั้งๆที่เบรคได้ ไม่เห็นทั้งๆที่ระบบnight visionควรจะเห็นได้)
คนเรายึดกฎได้ แต่มั่นใจหรือยังว่ากฎนั้นครอบคลุมหลายมิติเพียงพอ และระบบที่จะรักษากฎนั้นแม่นยำเพียงพอ? เอาแค่ตัวอย่างเคสในข่าวก็เห็นความผิดพลาดมากมายของตัวระบบอัตโนมัติแบบไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว โดยเฉพาะการเอาภาพกล้องหน้ารถคุณภาพต่ำมาให้ดู มันก็ชวนคิดว่าพยายามปกปิดความผิดพลาดของระบบหรือเปล่า?
ToT
โควต้าหมด กว่าจะสมัครไหม่ได้ ระบบมองเป็นบ็อทอีก ต้องหาต่อ Wifi กว่าจะได้
ผมเข้าใจที่ท่านอธิบายนะครับ
จากหลายๆ คอมเม้นต์ของผมพยายามเน้นไปในเรื่องความปลอดภัยแบบสุดๆด้วยซ้ำ
แต่เรื่องนี้มันมีประเด็นหลายอย่าง
เช่น
1.จริยธรรม
2.ความปลอดภัย (ซึ่งจะมองเป็นจริยธรรมธรรมประการหนึ่งด้วยได้ แต่เราจะต้องให้ความถูกต้องมาก่อนอยู่ดี)
3.การรักษาประโยชน์ส่วนต่างๆ
ในด้านความปลอดภัยนี้ผมก็กังวลมาก ๆ ด้วย
ถึงขนาดเสนอค่ามาตรฐานว่า ควรชนะ ค่า Max เสียด้วยซ้ำครับ แต่อาจเป็นไปไม่ได้
ที่ท่านแย้งความเห็นด้านจริยธรรมที่ผมอธิบาย
ที่ผมว่าให้รักษาชีวิตคนไม่ผิดไว้ก่อน
จึงไม่ใช่ว่าจะไม่ต้อง Safe ชีวิตอื่นอย่างที่ท่านเข้าใจ
ปัญหาคือ ความปลอดภัยในชีวิตมันไม่เท่าเทียมกัน ระหว่าง คนบนถนน กับคนบนรถไงครับ คนตัวเปล่า กับคนในรถเหล็กหนาๆ
ที่คุณบอกว่าให้ยึดความถูกต้องก่อน แล้วค่อยมองความปลอดภัย มันก็มีช่องโหว่ตรงนี้ เอาจริงๆต้องยึดความปลอดภัยของทุกคนก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยยึดกฎความถูกผิดตามมาตะหาก ไม่งั้นก็จะกลายเป็นแบบที่ผมบอก เห็นคนข้ามถนนนอกทางข้ามก็ชนมันเลย ไม่ต้องเบรคทั้งๆที่เบรคได้ จะบอกว่าตัวเองต้องปลอดภัยที่สุด? งั้นก็ควรให้คนเดินถนนถือปืน ถือระเบิด ไว้ช่วยตัวเองให้รอดจากรถที่ประมาทกว่า หรือต่างฝ่ายต่างประมาทด้วยได้ไหม?
พวกที่อ้างว่าถ้าเบรคแล้วจะเกิดอุบัติเหตุ นี่ผมคิดว่าคงขับรถไม่ค่อยเป็น เลยคิดว่าต้องหักหลบจนรถคว่ำ ซึ่งในความเป็นจริง คุณเบรคแล้วคุมพวงมาลัยตรงๆดีที่สุด ถ้าหยุดไม่ได้หรือไม่ทัน ก็ตามบุญตามกรรม ตรงนี้อ้างเหตุสุดวิสัยได้ จะอ้างกฎหมายข้อไหนก็ไม่มีคนแย้ง(แต่ไปมีประเด็นเรื่องเหยียบเบรคเร็วหรือช้า แต่อันนี้เป็นเรื่องรอง ต่างกับไม่เบรคเลย)
แต่ไม่ใช่อ้างว่าไม่ยอมเบรคเพราะกลัวรถตัวเองคว่ำตาย คือยึดถือความปลอดภัยของตัวเองก่อน ซึ่งในความเป็นจริง มันไม่ใช่แบบนั้น กรณีหักหลบแล้วรถคว่ำ มันก็เกิดบ่อยๆ แต่มันเกิดเพราะสัญชาตญาณหักหลบ ซึ่งกลายเป็นว่ามันปลอดภัยน้อยกว่าการเบรคตรงๆ แต่ก็ไม่ใช่ข้ออ้างในการไม่เบรคเลย
เคยเห็นคนแก่ๆบางคนแนะนำว่าเจอหมาตัดหน้าหรือสิ่งกีดขวางบนถนน ให้ชนไปเลยอย่าเบรค นี่ก็งง ว่าขับรถกันเป็นจริงๆหรือ? แทนท่ี่จะผ่อนหนักเป็นเบา รถเดี๋ยวนี้กันชนหน้าบางๆตามข้อกฎหมายปกป้องคนเดินถนน ต่อให้ชนสิ่งกิดขวางเล็กๆ ถ้าไม่เบรค ก็ถึงขั้นหม้อน้ำแตก รถพังหนักได้เลยเช่นกัน
เอาจริงๆ ควรมีการสอบเบรคฉุกเฉินในการสอบใบขับขี่แบบลดความเร็วจาก 100-0 ทำอย่างไรให้ปลอดภัย (ได้ยินว่าสอบยุคใหม่มีคล้ายๆตู้เกมให้ทดสอบการเบรค แต่มันก็คนละอย่างกับของจริง) ผมเองตอนจะซื้อรถใหม่ สิ่งหนึ่งที่ขอเซลล์ทดสอบนอกจากอัตราเร่ง คือการเบรคกระทันหันนี่แหละ(มีสลาลอม อีกอย่าง แต่คงไม่จำเป็นมากนักสำหรับทั่่วๆไป)
ผมหมายความว่าความถูกต้องสำคัญกว่า
แต่ไม่ใช่ไม่ให้มีความปลอดภัย
ซึ่งรถจะต้องเอาสามประเด็นมาทำให้เต็มที่สุดพร้อมกัน เพียงจะต้องให้ความถูกต้องสำคัญสุดเป็นอันดับแรก
โดยทำให้คนต่างๆทั้งในรถ,คนข้างนอกและทรัพย์สินข้างนอกปลอดภัยให้มากที่สุดและเสียหายน้อยที่สุด
caseนี้..พิสูจน์1.การออกแบบระบบตัวจับวัตถุ..2.โปรแกรมทำงาน..3.อุปกรณ์เกี่ยวข้อง
รู้สึกว่าแนวคอมเมนต์ใน youtube ไปคนละทางกับคอมเมนต์ในนี้เลย ส่วนใหญ่ใน youtube จะบอกว่าการข้ามถนนในที่ที่ไม่ใช่ทางข้ามนั้นผิดกฎหมาย ฝ่ายจักรยานเป็นฝ่ายผิดเต็มๆ ส่วนใน blognone ภาพรวมจะโทษความผิดของระบบขับอัตโนมัติของ uber เป็นหลักโดยไม่ค่อยมีใครกล่าวโทษเป็นความผิดของจักรยานเท่าไหร่
ผมไม่ฟันธงว่าเคสนี้ใครผิดถูก แต่อ่านแล้วรู้สึกสะท้อนพื้นฐานวินัยจราจรและการเคารพกฎจราจรจริงๆ ครับ ตั้งคำถามว่าคนไทยเราอาจจะชินชากับการละเมิดกฎจราจรไปเสียหน่อยหรือเปล่า จนลืมไปว่าการข้ามถนนแบบนั้น ผิดกฎหมายเต็มๆ ต่อให้ระบบอัตโนมัติจะเทพแค่ไหน ถ้าอยู่บนถนนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร มันก็มีความเสี่ยงอยู่ดี
วัตถุประสงค์ข่าว ไม่ได้อยู่ที่ว่า ผิดหรือถูกกฎจราจร
แต่อยู่ที่ว่า
ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติมันดีพอแล้วหรือยัง
อ๋อออออ
เพิ่งรู้ว่าเซนเซอร์ 7 ตัวพร้อม LIDAR จะทำงานเฉพาะเมื่อเจอทางม้าลาย
เป็นรถที่เหมาะกับคนมีวินัยจริงๆ ครับ
LIDAR ไม่เห็นทางม้าลาย
ส่วนกล้องอีกเจ็ดตัว กลางคืนมืดสนิทที่ จุดสว่างกับจุดมืดใกล้ๆ ค่าแสงต่างกันมากกล้องมันลดความสว่าง จุดมืดก็มืดสนิทมองไม่เห็นทางม้าลายก็คงไม่ชะลอรถเหมือนกันนะครับ
อย่างกรณีนี้ LIDAR อาจจะเจอแต่ก็คงใกล้มาก บวกเจอการตีความจากภาพกล้อง ที่เจอสภาพแสงแปลกๆ มืดกับสว่างต่างกัน ก็เลยไม่ชะลอ เหมือน Tesla ที่แรกๆ ก็เชื่อข้อมูล image processing มากกว่าเลยชนเข้าที่เป็นข่าว ขนาดนั้นตอนกลางวัน
คนข้ามแบบนั้นประมาทอยู่แล้ว
แต่ระบบขับรถอัตโนมัติควรจะมีความสามารถขั้นต่ำเทียบเท่าคนจริงๆหรือดีกว่าคน
ไม่ใช่เอาภาพกล้องหน้ารถมืดๆมาชี้นำว่า ถ้าเป็นคนก็คงมองไม่เห็น ซึ่งมันไม่จริง คนขับรถกลางคืนประจำ จะทราบดีว่า ถ้าเห็นอะไรผิดปกติในสายตา จำพวกเงาสะท้อนเล็กๆ ต้องชะลอทันที ต่อให้คุณถูก แต่มีคนเจ็บตาย ก็คงไม่ดีอยู่แล้ว
เคารพกฎจราจร แต่เหนืออื่นใด ต้องเคารพชีวิตคนมากกว่าครับ ไม่งั้นเทคโนโลยีการพัฒนารถคงไม่ออกแบบ ให้ความปลอดภัยกับคนเดินถนนหรอก(เช่นกรณีกระโปรงหน้ายุบตัวถ้าชนคน)
ถ้าท่านอ่านพรบ.จราจรทางบก และประมวลกฎหมายอาญาฯ มาอย่างละเอียด จะพบว่าเขาให้ชีวิตคนสำคัญที่สุด ไม่ว่าใครจะผิด ถ้าคุณขับรถชนคนตาย คุณต้องโดนกล่าวโทษขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยทันที แล้วไปสู้คดีทีหลัง
reddit Tesla มีถกกันเรื่องระบบ
อันนั้นก็คนมะกัน
อันนี้ผมมองว่าเราควรแยกเป็นสองหัวข้อแหละครับ ว่าระบบ Uber ดีพอหรือยัง กับอุบัติเหตุนี้้เกิดขึ้นโดยความประมาทของใคร ไม่ได้หทายถึงใครผิดไม่ผิดนะ แต่หมายถึง'ใคร'สามารถเลี่ยงให้ไม่เกิดได้
โดยส่วนตัวผมมองว่าถึงคนขับจะประมาทบ้าง แต่คนข้ามนั้นประมาทมากกว่า ทั้งข้ามไม่ตรงทางข้าม ข้ามในที่มืด รวมถึงการไม่รอบคอบขณะข้ามโดยไม่ดูรถซ้ายขวาขณะข้ามทั้งที่รู้ว่าข้ามได้ช้าเพราะต้องลากจักรยานไปด้วย
กรณีเจอคนข้ามถนนลักษณะนี้ หากเป็นคนขับเองและมีสติครบ 100% ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุได้อยู่ดี
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
คนข้ามถนนประมาทมากกว่าจริง ถ้าเทียบจากมาตรฐานว่า ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปเป็นคนบังคับรถ
แต่ในกรณีนี้มันเป็น driverless car ที่ควรจะมีมาตรฐานสูงว่าคนทั่วไป คือมี sensors, LIDAR (และ IR night vision?) ประกอบกับ algorithm ในการคำนวณและหลบหลีกแก้ไขสถานการณ์ในเสี้ยววินาทีได้ดีกว่าคนปกติ ถ้าเอามาตรฐานนี้มาวัด ผมว่า UBER ประมาทกว่า ที่ปล่อยให้รถที่มี flaw แบบนี้ออกว่าวิ่งเพ่นพ่านบนถนนได้
ผมไม่ได้มองหาคนผิดครับ ผมมองว่าเหตุการณ์แบบนี้มัน'ป้องกัน'ได้อย่างไรบ้าง ถ้ารถไม่ใช่ Uber หล่ะ?(อย่างที่บอกไปก่อนแล้วว่าควรแยกเป็น 2 หัวข้อ)
ถัาจะมองหาคนผิดจริงๆนี่ไล่ได้ตั้งแต่ uber คนขับ คนข้าม รัฐ+จราจร(ที่อาจสร้างทางม้าลายไกล อาจใช้ไฟ LED 60w แทนที่จะเป็น 120/180w หรือไฟแบบปกติ อาจไม่มีป้ายบอกเขตชุมชน-ที่จะทำให้คนขับระวังมากขึัน etc.) หรือเหตุการณ์ก่อนหน้าอื่นๆที่ทำให้คนข้ามจำเป็นต้องข้ามตรงนั้น(เช่นเหนื่อยล้าเพราะต้องทำ non paid-overtime, อาจมีคนทำให้จักรยานเสีย, etc) และอีกหลายๆอย่างครับ
ผมมองว่าอุบัติเหตุมันคงเป็นเหตุที่ไม่มีใครอยากให้เกิดครับ แต่เราจะป้องกันมันได้อย่างไร อย่างที่บอกไปว่าถ้ารถไม่ใช่ Uber แล้วจะมีโอกาสเกิดอีกหรือไม่
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เห็นพูดกันหลายความเห็นแล้ว ถ้าใช้ IR night vision จริงๆ นี่ต้องติดไฟหน้าที่เป็น IR เพิ่มอีกชุดเหรอครับ?
ก็คงงั้นครับ ไม่งั้นก็มองไม่เห็นอยู่ดีถ้ามืดสนิท ไม่ก็เอา Sensor ความไวแสงขั้นเทพแบบ Sony A7SII
แต่อีกหน่อยรถคงติดหลอดไฟทั้งคัน แสบตาไปหมด
จำได้ของ BMW ก็มีoption Night vision ติดมาใน series7 รุ่นนึงตั้งแต่ปี2005นะครับ แต่เป็นระบบช่วยเหลือให้คนขับตัดสินใจ
เทคโนโลยีก็พัฒนามาเรื่อยๆ จาก FIR,NIR ยัน FLIR ที่เป็น thermal image sensor ทุกอันเป็น passive ไม่มีการยิงแสง IR ออกไปครับ
Night Vision System in BMW
แต่ FLIR น่าจะแพงนั่นแหละ แต่ถ้าไม่ใส่ ก็ไม่น่าอนุญาตให้รถอัตโนมัติใช้ในการขับรถกลางคืนเลย มันทุเรศถ้าจะบอกว่าจำกัดงบ เลยใช้ภาพจากกล้องหน้ารถที่ห่วยกว่ากล้องจีนถูกๆเสียอีก
ในส่วนของการเอากฎหมายมากางนั้น ผมว่ามันเป็นกลไกลการป้องกันตัวจากความผิดทางจริยธรรมครับ มันเป็นกระบวนการหลังจากเกิดการสูญเสีย เป็นความพยายามในการชนกับปัญหาที่เกิดขึ้นแล้ว และพยายามลดความรู้สึกผิดของตนเอง ด้วยการหาความบกพร่องของอีกฝ่าย และใช้ช่องทางกฎหมายเพื่อต่อสู้
ส่วนการพยายามพูดถึงระบบของรถ อันนี้คงเป็นความพยายามที่จะพูดถึงแนวทางการป้องกันปัญหาครับ คือถ้าไม่พูดถึงปัญหาก็คงจะแก้ปัญหาไม่ได้ ยกเว้นว่าเป็นการด่าแบบ unconstructive นะครับ คือถ้าคนด่ามีแค่อคติแบบ คนย่อมดีกว่าหุ่นยนต์ โดยไม่มีความรู้พื้นฐานใดๆ แบบนี้ก็ไม่ไหวครับ
ผมไม่ได้บอกว่าอันไหน แบบใดถูกหรือผิดนะครับ มันมีกระบวนการของมัน และกฎหมายก็คือมาตรฐานที่เราตกลงร่วมกัน คือมันถูกออกแบบมาเพื่อช่วงเวลาแบบนี้แหละ ที่ความเห็นจะแตกออกเป็นฝั่งเป็นฝ่าย เอากฎหมายมาเปิดโป๊ะ! แล้วก็ว่าตามนั้น
กฎหมายก็มีหลายฉบับครับ
เรื่องความประมาท เป็นการตัดสินในแง่การชดใช้ทางแพ่งเป็นหลัก ส่วนคดีอาญาฯก็จะเกี่ยวเนื่องจากการชดใช้ เพราะยังไงก็นับว่าเป็นอุบัติเหตุ ขาดเจตนาในการฆ่าคนอยู่แล้ว
แต่เรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ ก็มีข้อกำหนดด้านความปลอดภัยอีกมาก และให้ความสำคัญกับ"ชีวิตคน"มากเป็นอันดับหนึ่ง เอาจริงๆข้อกำหนดของEU นี่เข้มงวดกว่าสหรัฐเยอะ (ที่ผมประทับใจ คือกระโปรงต้องยุบตัวเวลาชนคนเดินถนน นี่ยุโรปบังคับก่อน แรกๆคนก็ด่าเต็ม เพราะทำให้โครงสร้างด้านหน้ารถอ่อนแอลง ไปชนอะไรนิดหน่อยก็พัง มีดราม่า BMW ไปชนมอไซด์ แล้วมอไซด์ไม่เป็นไร แต่BMWพังแทบจะถึงคานหน้า)
การใช้งานระบบทดแทนคน แล้วผลลัพธ์แย่กว่าคนโดยเฉลี่ย ผมเรียกว่าระบบที่ห่วยนะ เคสนี้ยิ่งจำเป็นต้องรีบชี้แจง ว่าทำไมถึงผิดพลาด ถ้ามันเชื่อถือไม่ได้ขนาดนั้น ก็ไม่สมควรที่จะอนุญาตให้ใช้จริงได้ง่ายๆ (นี่ขนาดให้คนคุมอีกชั้น ยังไม่สนใจคุมเลย)แต่นี่ดันพยายามแก้ตัวด้วยการเอาภาพกล้องหน้าห่วยๆ มาเบี่ยงประเด๋็น พูดตรงๆคือทุเรศครับ ทำระบบทางเทคโนโลยี แต่ใช้เทคนิคทางกฏหมายแก้ตัว
เข้าใจเลยว่าทำไม google ที่น่าจะเป็นเจ้าเทคโนโลยี ทดลองระบบคนขับอัตโนมัติบนรถที่วิ่งช้าๆ