ระยะหลังเราเห็นข่าวอุบัติเหตุ Tesla กันหลายครั้ง ทำให้สื่อนำไปลงข่าวกันมาก ล่าสุดมีเหตุการณ์ Tesla Model S วิ่งไปชนท้ายรถดับเพลิงที่จอดติดไฟแดงอยู่ คนขับได้รับบาดเจ็บแต่ไม่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งคนขับระบุว่าเธอเปิดใช้งาน Autopilot และตอนก่อนชนเธอใช้โทรศัพท์มือถืออยู่
เมื่อสื่อเล่นข่าวจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็สร้างความไม่พอใจให้ Elon Musk โดยเขาทวีตว่ามันทุเรศมากที่อุบัติเหตุจากรถ Tesla ที่คนขับได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเท้ากลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง แต่มีคนอีกราว 40,000 คนที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อื่นๆ ในสหรัฐอเมริกากลับเป็นข่าวน้อยมาก
เขาทวีตต่ออีกว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่น่าทึ่งจากเหตุการณ์นี้คือการที่รถแล่นเข้าไปชนท้ายรถดับเพลิงที่ความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมง (ราว 100 กม./ชม.) แต่คนขับกลับได้รับบาดเจ็บแค่ข้อเท้าต่างหาก โดยปกติการชนที่ความเร็วขนาดนั้นน่าจะบาดเจ็บร้ายแรงมาก หรือถึงแก่ชีวิตเลย
ที่มา – Electrek, South Jordan Police Department
It’s super messed up that a Tesla crash resulting in a broken ankle is front page news and the ~40,000 people who died in US auto accidents alone in past year get almost no coverage https://t.co/6gD8MzD6VU
— Elon Musk (@elonmusk) May 14, 2018
What’s actually amazing about this accident is that a Model S hit a fire truck at 60mph and the driver only broke an ankle. An impact at that speed usually results in severe injury or death.
— Elon Musk (@elonmusk) May 14, 2018
ความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
ผมว่าการที่ Tesla เกิดอุบัติเหตุมากขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติ เพราะรถได้รับความนิยมมากขึ้น อุบัติเหตุก็ต้องมากขึ้นตาม ต่อให้รถใช้ระบบ Autopilot ก็ยังไม่ใช่ระบบขับอัตโนมัติระดับ 5 (ขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ) หากแต่อยู่แค่ระดับ 2 ที่คนขับยังต้องจับพวงมาลัยและพร้อมแก้ไขสถานการณ์เสมอ
แน่นอนว่าต่อไปนี้เราก็จะเห็นข่าวอุบัติเหตุจากรถ Tesla มากขึ้นไปอีก แต่หากผู้อ่านติดตามเป็นประจำจะเห็นว่าผมไม่เขียนข่าวแนวนั้นมานานแล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นรถยนต์อย่างไรก็ต้องมีการชนน่ะครับ (อย่างน้อยก็ในตอนนี้)
Comments
นั่นสิครับ ระดับ 2 เองทำไมถึงกล้าไว้ใจกันขนาดนี้
คงยังมีผู้ใช้อีกมากที่ไม่เข้าใจระดับ 2 หรือระดับ 5 นี้เลย รู้แค่ว่าออโต้มันก็คืออโต้สิ ซึ่งเป็นความประมาทที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
คนส่วนมากไม่ใช่แค่ไม่เข้าใจ แต่ไม่รู้เลยต่างหากว่ามีการแบ่งระดับ
การที่มันมีระบบป้องกันการละเลยของผู้ใช้ที่น้อยเช่นแค่เตือนขณะไม่จับพวงมลัยแทนที่จะหยุด หรือไม่มีการตรวจสอบสายตาที่มองถนนขณะใช้ระบบ กับ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นมีความเสียงถึงชีวิต ต่อตนเอและผู้อื่น ทั้งที่สามารถทำได้ไม่ยาก ผมคิดว่าเป็นการจงใจละเลยเพื่อให้คนเข้าใจผิดว่า รถวิ่งตามเส่นนี้ปลอดภัยถึงแม้ไม่ต้องดูถนน
คนเราแรกๆก็กลัวทำตามกฎแต่พอนานๆไปเกิดความเคยชิน ก็ปล่อยยาว อาจจะไม่ไช่ทุกคนแต่ก็คงมีจนเกิดเหตขึ้น
Tesla ได้รับความคาดหวังใว้มาก
แต่ความคาดหวังนัั้น ยังอยู่ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
+1
📸
ทวีตหลังตัดคำได้ตลกมาก Model S hit
เพราะ Tesla ชนเป็นข่าวไอที แต่รถอื่นชนเป็นข่าวสังคม
@TonsTweetings
ก็ต้องทำใจ ในเมื่อข่าวมันสามารถขายได้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ซึ่งจะว่าไป Tesla เองก็เคยได้ประโยชน์จากที่สื่อเอาไปพูดถึงอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน
ก็เหมือนรถไร้คนขับ
รถ A ฝ่าไฟแดงแล้วหักหลบรถ B มาชน Waymo >> พาดหัวข่าว "รถไร้คนขับประสบอุบัติเหตุ"
พาดหัว Tesla มันขายได้อะเฮีย ต้องทำใจ
ควรลงข่าวถูกต้องแล้วครับ คนใช้ Tesla จะได้รับรู้ว่ามันคือระดับ 2 และต้องใส่ใจกับถนนไม่ใช่ปล่อยผ่านเล่นโทรศัพท์จนชนคันหน้าที่ความเร็วเป็นร้อยแบบนั้น
แน่จริงฟ้องนักข่าวให้เป็นคดี เหมือนที่ฟ้อง Jeremy clackson ตอน reviews Tesla roadster แล้วตัวเองไม่พอใจที่ผล review มันไม่ดี อีกซักครั้งสิครับ
Case 1 รายงานข่าวอุบัติเหตุ
Case 2 รายการที่ 'allegedly'มีสคริปต์ล่วงหน้าว่ารถต้องพัง แล้วบอกว่าแบตหมดทั้งๆที่ log บอกว่าไม่หมด
ไม่น่าเหมือนกันนะครับ
รถไร้คนขับ ถ้าเกิดอุบัติเหตุที่มีโทษอาญา ใครต้องเป็นผู้รับผิดชอบทางกฏหมายบ้างครับ
ดูไม่รับผิดชอบเลย
ข่าวดีหุ้นขึ้นล่ะชอบ แต่ข่าวแบบนี้ดันหัวร้อน
จะรับแต่ชอบ ไม่รับผิด
100 km/h แค่ข้อเท้าหัก อันนี้ตอ้งยอมรับเลย
Elon คงไม่เคยได้ยินคำขวัญสื่อมวลชนที่ว่า "ข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียตังค์" สินะ