Bank of International Settlements (BIS) หรือธนาคารแห่งธนาคารกลาง ที่มีธนาคารกลางของชาติต่างๆ เป็นสมาชิกถึง 60 ชาติ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย ออกรายงานเศรษฐกิจประจำปี 2018 โดยยกบทที่ 5 ทั้งบทพูดถึงประเด็นเงินคริปโต โดยวิจารณ์เงินคริปโตเหล่านี้ว่ายังมีข้อจำกัดอยู่มาก
รายงานขึ้นต้นด้วยคุณสมบัติของเงินที่ดี เช่น ต้องจ่ายได้โดยสะดวก, มีมูลค่าเสถียร, ระบบการจ่ายเงินรองรับการจับจ่ายที่ขยายตัวตามระบบเศรษฐกิจ, ไปจนถึงการจ่ายต้องสิ้นสุดเมื่อได้รับการยืนยัน
ปัญหาในแง่เทคนิคที่รายงานยกมา เช่น อัตราการใช้พลังงานที่เฉพาะบิตคอยน์ก็ใช้พลังงานเกิน 60 เทราวัตต์-ชั่วโมงต่อปี ขณะที่อัตราการบันทึกรายการทำได้เพียง 3.3 รายการต่อวินาที และขนาดฐานข้อมูลก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หากใช้ distributed ledger เพื่อการจ่ายระดับชาติ ฐานข้อมูลก็จะโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น สหรัฐฯ หากเริ่มใช้ distributed ledger ตอนนี้ ฐานข้อมูลจะมีขนาดเกิน 100PB ภายในปี 2021
ในแง่การประมวลผล ค่าธรรมเนียมการบันทึกรายการของเงินคริปโตไม่เสถียรและแพงมากในบางสกุล รายการที่ค้างบันทึกก็อาจใช้เวลานานในบางช่วงเวลา
ด้านราคา ตัวมูลค่าเงินคริปโตไม่เสถียรอย่างมากแม้แต่สกุลเงินที่พยายามสร้างขึ้นเพื่อให้เสถียรเช่น BitUSD มีการสร้างเงินสกุลใหม่ๆ ขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
รายงานยังระบุว่าความน่าเชื่อถือของ "ความไร้ศูนย์กลาง" นั้นไม่เป็นจริง เพราะหลายครั้งเหล่าผู้ขุดเงินคริปโตก็สามารถตกลงกันเองเพื่อย้อนกลับบัญชีเงินได้ เช่นเมื่อปี 2013 ที่มีการอัพเดตผิดพลาดทำให้บิตคอนย์แยกเป็นสองสาย เหล่าผู้ขุดบิตคอยน์สามารถพูดคุยกันและยกเลิกรายการโอนเงินที่บันทึกไปแล้วได้
รายงานระบุความเป็นไปได้ที่ชะใช้งานเงินคริปโตอยู่บ้างเช่นการจ่ายเงินข้ามประเทศในวงแคบๆ และระบุถึงความพยายามของธนาคารกลางหลายชาติที่นำ distributed ledger มาทดลอง แม้จะใช้งานได้แต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าดีกว่าระบบเดิมอย่างชัดเจนแต่อย่างใด
ที่มา - BIS.org
Comments
ช่วงนี้ขาลงของเค้าจริงๆ
ระยะยาว Data อ้วนขึ้นเรื่อยๆเป็นดินพอกหางหมูด้วยนะ
ตอนนี้ BTC อยู่ที่ 1xxGB
ส่วน ETH เห็นว่าแตะ 1TB ไปเมื่อหลายวันก่อน
ถ้าแก้ไม่ได้ ระบบรันไปเรื่อยๆ น่าจะเละ
ผมว่าปัญหาข้อมูลขยายก็มาจากเทคโนโลยี Blockchain เองเนี่ยหละครับ มันควรจะแก้ปัญหานี้ได้แล้ว ส่วนใช้กำลังประมวลผลนั้น ถ้าทำให้มันขุดไม่ได้และเป็นแบบสร้างขึ้นมาคล้าย XRP ก็น่าจะช่วยได้นะ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ทางแก้มีออกมาหลายทางครับแต่ยังไม่เป็นรูปร่างเท่าไหร่ รวมถึงสกุลเงินที่ใช้ทางแก้พวกนั้นมันไม่ดังพอ
สิทธ์ที่จะถูกลืมไงครับ ผมว่าเราควรปล่อยวางและตัดสายโซ่ Blockchain เก่าๆทิ้งไปบ้าง (จะเก็บข้อมูล 100 ปี 1000 ปี จริงๆเหรอ)
ต้องรอดู Proof of Stake กับ Layer 2 ดูในอนาคตว่าจะเป็นยังไง