Samsung แพ้คดีที่ถูกฟ้องร้องว่าละเมิดสิทธิบัตรเกี่ยวกับ FinFET และถูกสั่งให้จ่ายเงินเพื่อชดใช้เป็นมูลค่า 400 ล้านดอลลาร์ให้แก่ KAIST เจ้าของสิทธิบัตร
FinFET เป็นทรานซิสเตอร์ MOSFET ชนิดหนึ่งที่ส่วนของ Source และ Drain ยื่นสูงขึ้นมาเป็นครีบ (อันเป็นที่มาของชื่อ) ซึ่ง KAIST มหาวิทยาลัยในเกาหลีใต้ได้ทำการวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับ FinFET และจดสิทธิบัตรผลงานดังกล่าวได้ โดยมีการจดสิทธิบัตรในสหรัฐอเมริกาด้วย และตัวแทนที่ดูแลเรื่องผลประโยชน์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาในสหรัฐอเมริกานี้เองที่ดำเนินการฟ้องร้องต่อศาลว่า Samsung เอาผลงานวิจัยเกี่ยวกับ FinFET ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
ทาง Samsung แย้งว่าบริษัทได้ร่วมมือกับ KAIST ทำการวิจัยพัฒนามาตั้งแต่ต้น ทว่า KAIST ก็โต้แย้งว่าทางผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากเกาหลีใต้นั้นได้แสดงท่าที "ไม่เห็นค่างานวิจัย FinFET" มาตั้งแต่เริ่มแรก และเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะล้มเหลว จนกระทั่งเป็น Intel ที่คว้าสิทธิ์ได้รับอนุญาตให้ใช้งานเทคโนโลยีผลงานวิจัยค้นคว้านี้ ทาง Samsung จึงได้เริ่มหันกลับมามอง FinFET ใหม่อีกครั้ง ทั้งนี้ KAIST ยืนยันว่า Samsung ได้นำเอาความรู้จากงานวิจัย FinFET ไปใช้ประโยชน์โดยไม่เคยช่วยออกเงินให้ KAIST เลย
หลังการไต่สวนคดี คณะลูกขุนของศาลกลางใน Texas ได้ตัดสินให้ Samsung ชดใช้ KAIST ด้วยเงิน 400 ล้านดอลลาร์ โทษฐานที่ละเมิดสิทธิบัตร และอันที่จริงแล้วคณะลูกขุนยังพบว่าการละเมิดสิทธิบัตรนี้เป็นไปโดยจงใจกระทำ ซึ่งนั่นอาจทำให้ผู้พิพากษาตัดสินใจเพิ่มโทษปรับจากคำตัดสินของลูกขุนขึ้นไปเป็น 1.2 พันล้านดอลลาร์ก็ได้
ทั้งนี้จากการไต่สวนยังพบว่า GlobalFoundries และ Qualcomm ก็ถือว่าเป็นผู้ละเมิดสิทธิบัตรของ KAIST เช่นกัน โดย GlobalFoundries นั้นได้สิทธิ์การผลิต FinFET ไปจาก Samsung อีกต่อหนึ่ง ส่วน Qualcomm นั้นถือว่าร่วมละเมิดเพราะชิปของ Qualcomm นั้นผลิตโดย GlobalFoundries และ Samsung Foundry โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ได้รับการคุ้มครองตามสิทธิบัตรที่ KAIST ถือครองอยู่
หลังมีคำตัดสินออกมา Samsung ให้ความเห็นว่าผิดหวังกับคำตัดสินดังกล่าวและกำลังพิจารณาเรื่องการอุทธรณ์คดีต่อไป
ที่มา - AnandTech
Comments
ยาว
หึหึ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
วงการนี้เขาชอบทำอะไรน่าเกลียดแบบนี้กันหรือ
ขโมยของเขาไปทำขายก่อน กำไรมหาศาลแล้วค่อยเอามาจ่ายหลังแพ้ในชั้นศาลอีกที
สงสัยราคาจะถูกกว่าดีลโดยตรงเลยกล้าทำแบบนี้
ทำ Qualcomm ซวยไปด้วยเลย Samsung นี่มัน Samsung จริงๆ
อย่างนี้ไม่ซวยกันหมดหรอ amd apple พวกนี้หลุดได้อย่างไร
คิดว่าคงเหมือนรับของโจรหน่ะครับ
Apple ใช้ TSMC หรือเปล่าครับ
อืม ดูเหมือน apple ตัวหลังๆจะเปลี่ยนมาใช้ tsmc แล้ว
ส่วนพวกตัวเก่าๆยังไม่ได้ใช้ finfet
ศึกสายเลือด..
ที่ AMD เสนอแลก Ryzen ตัวเองกับอินเทลรุ่นพิเศษนี่จะนับว่าเป็นการ'ฟอกของกลาง'รึเปล่า อิๆ
นี่มัน 3d transistor ของ Intel ไม่ใช่เหรอครับที่เป็นคนคิดเป็นคนแรก
Intel ไม่ได้เป็นคนคิดคนแรกนะครับ FinFET ถูกคิดโดย UC Berkeley ตั้งแต่ปี 2000 ครับ
การวิจัยต่อยอดจากหลายๆฝ่ายเป็นเรื่องปกติ ใครวิจัยอะไรได้ก่อนก็ไปจดสิทธิบัตรไว้ได้ครับ
แนวทางการพัฒนา FinFET ของ Intel อาจจะเหมือนหรือต่างจาก KAIST หรืออาจไม่ได้เริ่มพัฒนาเองเลยแต่ใช้งานวิจัยจาก KAIST มาต่อยอดก็ได้ อย่างไรก็ตามงานของ Intel ก็ตรงกับสิทธิบัตรของ KAIST และต้องจ่ายค่าใข้งานเป็นเรื่องปกติครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
FinFET น่าจะโดนกันหมดนะนั้น เห็นใช้กันหลาย บริษัทมาก หรือ แค่ซัมซุง ที่ไมได้ เพราะ เอาไปใช้ โดยกันก่อน
ถ้าเป็นตามนี้จริง
ถ้าผมเป็นนักวิจัยคงแค้นสุดๆ
"ทาง Samsung แย้งว่าบริษัทได้ร่วมมือกับ KAIST ทำการวิจัยพัฒนามาตั้งแต่ต้น"
สงสัยว่า Samsung ร่วมมืออะไรยังไง?
ถ้า"ร่วมมือ"จริง ถึงแม้ไม่ใช่ในรูปแบบของเงิน ถึงแม้จะไม่เห็นค่าในตอนต้น
แต่ถ้าเค้าร่วมมือ เป็นทรัพยากรอื่นๆ เช่น know-how ให้คำแนะนำปรึกษา หรือ ทำ prototype ให้
ก็ควรมองว่าเป็นลิขสิทธิ์ร่วมได้นะ เพราะ Samsung มีส่วนที่สนับสนุนทรัพยากรจนงานวิจัยสำเร็จ จริงๆ
ผมว่าไม่ค่อยถูกต้องนะ โดยเฉพาะกับงานวิจัยในมหาวิทยาลัยเหล่านี้
เหมือน ss เป็นคนลงทุนด้วยการบริจาคส่งเสริมซะมากกว่า งานใดๆถ้าไม่เฉพาะเจาะจงอาทิลงทุนร่วม สิทธิบัตรมักตกเป็นของมหาลัยแต่เพียงผู้เดียว
เดา
ถ้ามีจริงคงอ่านได้ที่คำตัดสินของศาลตัวเต็มแหละครับ
เท่าที่อ่านผ่านๆ(ผ่านๆจริงๆ รบกวนคุณ Hoo ช่วยตรวจสอบ) ไม่เห็น Samsung กล่าวว่าได้ช่วยทางใดก็ทางหนึ่งเลยหน่ะครับ มีแต่พยายามปฏิเสธว่าสิ่งที่ทำไม่ได้ละเมิดสิทธิบัตร
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมก็ไม่ได้อ่านคำตัดสินตัวเต็ม
แต่ Quote นั้น เป็นประโยคแรกของย่อหน้าที่ 3 ของเนื้อข่าวนะครับ
ประโยคแรก
"ทาง Samsung แย้งว่าบริษัทได้ร่วมมือกับ KAIST ทำการวิจัยพัฒนามาตั้งแต่ต้น"
ประโยคถัดมา
"ทว่า KAIST ก็โต้แย้งว่าทางผู้ผลิตชิปรายใหญ่จากเกาหลีใต้นั้นได้แสดงท่าที "ไม่เห็นค่างานวิจัย FinFET" มาตั้งแต่เริ่มแรก และเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้จะล้มเหลว"
ซึ่งเมื่อไปดูใน ที่มา - AnandTech ก็มีประโยค
Samsung said that it worked with the university to develop FinFET-related technologies, but KAIST indicated that the chipmaker was “dismissive of the FinFET research” initially and believed that the tech would fail.
ครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถ้าเป็นตามข่าว ก็สมควรโดนปรับนะผมว่า
ดออลาร์ => ดอลลาร์
ติดสิน => ตัดสิน