สถานการณ์ของสตาร์ทอัพแชร์จักรยาน Ofo ดูยากลำบากขึ้นไปอีก หลังจากทยอยปิดสาขาในต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทย ล่าสุดมีรายงาน Ofo ถูกผู้ผลิตจักรยานฟ้องร้อง เนื่องจากค้างจ่ายเงิน
โดยบริษัทผู้ผลิตจักรยาน Shanghai Phoenix Bicycles ได้ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหาย Ofo เป็นจำนวนเงินราว 10 ล้านดอลลาร์ อธิบายว่า Ofo ได้เซ็นสัญญาให้ผลิตจักรยานจำนวน 5 ล้านคัน โดยจะทยอยซื้อตลอดปี ตั้งแต่พฤษภาคม 2017 ซึ่งตลอดปีที่แล้ว Ofo ซื้อจักรยานไปรวม 2 ล้านคัน แต่พอขึ้นปี 2018 ถึงตอนนี้ Ofo ซื้อจักรยานเพิ่มไปเพียง 1 แสนคันเท่านั้น จึงผิดข้อตกลงและทำให้บริษัทได้รับผลกระทบ
สิ่งที่อธิบายได้ก็คือ Ofo เริ่มปิดสาขาในต่างประเทศ ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องการจักรยานจำนวนมากแบบที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้า อย่างไรก็ตามคำถามที่ตามมาคือการเติบโตของแอปแชร์จักรยานจะเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่
Ofo มีผู้ลงทุนรายสำคัญคือ Alibaba และบริษัทการเงินในเครือ Ant Financial ขณะที่บริการคู่แข่ง Mobike ได้ขายกิจการไปให้ Meituan-Dianping แล้ว
ที่มา: The Verge
Comments
จริง ๆ ก็ดูเป็นบริการที่ดีนะ น่าแปลกใจว่าทำไมถึงเจ๊งได้
That is the way things are.
ไม่ได้คิดค่าดูแลรักษามั้งครับ เห็นว่าค่าแรกเข้านิดเดียว ยิ่งเจอข่าวเก่าว่าคนรื้อแยกชิ้นส่วนไปขายหรือประกอบใหม่อีกยิ่งขาดทุนหนัก
ผมว่าสาเหตุหลักมาจากการไม่ดูแลและจัดระเบียบการใช้บริการ เช่น การจอดจักรยานในพื้นที่ที่กำหนด, คุณภาพจักรยานที่แย่ (เคยเห็นข่าวจัการยาน ofo กองอยู่ในที่กำจัดขยะในจีน) และปัญหาจักรยานโดนขโมยด้วย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ประเทศไทย โดยเฉพาะเมืองใหญ่ ไม่เหมาะกับการปั่นจักรยาน ซึ่งที่ไม่เหมาะสาเหตุเพราะรัฐและประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญครับ
ผ้ากันเลยทีเดียว
จากใจคนปั่นจักรยานในเมืองกรุง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังปั่นอยู่ เพราะโชคดีบ้านกะที่ทำงานห่างกันแค่โลกว่า ๆ และถนนที่ผ่านส่วนใหญ่จะโอเค
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ถ้าในไทยก็คงว่ามันไม่เหมาะอะครับเห็นคนปั่นจักรยานบนถนนทีไรเหมือนเขาเสี่ยงตายอยู่มากกว่า ถ้าในบ้านเกิดก็คงเพราะ การแข่งขันสูง แล้วตัวธุรกิจไม่ค่อยจะสามารถสร้างความแตกต่างได้จากเจ้าอื่นเท่าไหร่ มันก็เกิด loyalty ยาก ไหนยังจะต้นทุนการจัดการจักรยานอีกเสียต้องซ่อม โดนขโมยต้องหาทดแทนไหนจะมีเรื่องกับหน่วยงานท้องถิ่นจากที่รถไปจอดผิดที่หรือไม่มีที่จอด คือมีปัญหาร้อยแปดจากการเป็นเจ้าของสินทรัพย์เองน่ะครับมันไม่เหมือนพวก uber ที่ไม่มีสินทรัพย์ไม่ต้องรับภาระอะไรจากการดูแล ตัว startup เองก็คงคิดถึงเรื่องนี้ไม่สุดแล้วขยายบริการออกไปมากเกินแรกๆค่าใช้จ่ายพวกนี้จะไม่โผล่หรอกครับซึ่งเป็นจุดตายของผู้ประกอบการหน้าใหม่เลยเพราะนานๆไปมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนเขาดูแลค่าใช้จ่ายแฝงพวกนี้ไม่ไหว เจ๊งไปก็มากครับ ตัวอย่างเด่นๆในจีนก็ LeEco ไง ขยายตัวแรงจนเจ๊ง ไม่โฟกัสกับธุรกิจหลักตัวเองที่ก็มีคู่แข่งอยู่ ไปแย่งเค้กชิ้นอื่นต่อเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเค้กก้อนหลักก็ไม่ได้ก้อนใหม่ก็ไม่ไหว
สำหรับประเทศไทย ส่วนตัวผมยังมองว่า บริการประเภทนี้เหมาะกับพื้นที่ปิดมากกว่า
เช่นภายในมหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นเกาะเล็กๆและมีพื้นที่จอดจักรยาน
ถ้าพื้นที่ใหญ่ๆคงตามดูแลไม่ไหว
เห็นเอามาทดลองในไทยกับมหาวิทยาลัยนี่แหละครับ 2-3 ที่ เละหมด รถหาย รถไปโผล่คนละอำเภอ รถไปจอดหน้าบ้านตัวเอง
ของมหาลัยชื่อดังที่อีสาน มีเอาไปขายที่ตลาดด้วยครับ . . .
?

โอ้โห
รูปนี้คือชายในรูปตระเวนไปถอดชิ้นส่วนจักรยานเพื่อเอามาขายเหรอครับ ?
ถ้าใช่นี่ก็แย่มาก ๆ
That is the way things are.
เท่าที่รู้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลัง Ofo ประกาศยุติให้บริการในไทยหน่ะครับ ทีนี้ถ้า Ofo ไม่มาเก็บเอง (หมายถึงว่าจ้างใครก็ได้มาเก็บในนาม Ofo) ก็คงจะปล่อยให้ใครก็ได้เก็บไปต้มยำทำแกงได้ครับ
ปัญหาใหย๋อีกข้อ คือพื้นที่จอดนี่แหละครับ ตามจุดสำคัญ เช่น รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ไม่มีพื้นที่ให้จอดเพียงพอแน่ๆ
ของไทย จะใช้ได้ผลต้องมี คน track เรียลทามละมั้ง
ออกนอกพื้นที่ก็ให้หมวกกันน็อคดำ ไปตามเลย จ้างทหารน่าจะเวิร์ค
ที่ภูเก็ตเปิดทดลองให้ใช้ฟรีเลยยิ่งเป็นตัวแปรที่ทำให้มันเละครับ ล่าสุดเมื่อวานกลับไปภูเก็ตเหลือแค่ obike ที่เป็นแบบเสียเงินและยังคงเปิดให้บริการอยู่ หลังจากพยายามปลดล็อค ต้องลองถึง 3 คันถึงปลดได้ ต่างจากช่วงแรกๆ ที่ให้บริการที่คุณภาพค่อนข้างดีกว่านี้เยอะ เรื่องค่าบำรุงรักษาและการประเมินความเสี่ยงน่าจะเป็นจุดที่คาดการณ์ผิดไปเลยทำให้หลายเจ้าอยู่ไม่ได้ ก็หวังว่าบริการนี้จะไม่พากันถอนตัวกันไปจนหมดจากไทย เพราะหลายๆ ครั้งที่รู้สึกว่ามันช่วยให้รอดจากการถูกโขกสับจากผู้ให้บริการท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี
เจ๊บจี๊ดตรงประโยคสุดท้าย และยอมรับว่ามันเป็นความจริงในบ้านเรา
^ ^