Tim Cook ซีอีโอแอปเปิล ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายสำนักหลังการเปิดตัว iPhone Xs, Xs Max และ XR ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจจากมุมมองของซีอีโอ ทั้งการยอมทำ iPhone สองซิม และคำถามถึงราคา iPhone Xs Max ที่แพงขึ้นได้อีกจาก iPhone X
ประเด็นแรกคือราคาของ iPhone Xs ที่แพงขึ้นอีก Tim Cook บอกว่าถ้าเราขายสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีคุณค่าสูงมาก ก็จะมีลูกค้าที่ยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสิ่งนั้น ซึ่งแอปเปิลพบว่าคนกลุ่มนี้ก็มีจำนวนมากพอที่จะทำสินค้าขายให้
ในอีกแง่หนึ่งเขาบอกว่า iPhone เองก็มีความสามารถเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้งานสะดวกสบายและมีบทบาทต่อชีวิตแต่ละวัน ไม่ได้จำกัดแค่เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งแบบแต่ก่อน
เขายังพูดถึงการขาย iPhone 7 และ 8 ต่อไปว่า เพราะแอปเปิลต้องการขายสินค้ากับทุกคน จึงเลือกขาย iPhone สองรุ่นนี้ในราคาที่ถูกลง เพราะความต้องการของลูกค้ามีความหลากหลาย
อีกประเด็นคือเรื่องการทำ iPhone ให้รองรับ 2 ซิม โดยเฉพาะของจีนที่ใส่ได้ 2 ซิมจริง ๆ เขาบอกว่าในตลาดประเทศจีนนั้น การที่สมาร์ทโฟนรองรับ 2 ซิม เป็นเรื่องสำคัญมาก แอปเปิลจึงต้องการรองรับความต้องการดังกล่าว และหากดูเหตุผลของการที่คนจีนนิยมใช้โทรศัพท์ 2 ซิมนั้น เหตุผลนี้ก็สามารถนำไปขายต่อยังประเทศอื่นได้เช่นกัน
Cook ปิดท้ายว่า ตลาดจีนนั้นแอปเปิลให้ความสำคัญมาตลอด อย่างเช่นปีที่แล้ว iOS ก็รองรับการอ่าน QR Code เพราะคนจีนนิยมใช้กันนั่นเอง
ที่มา: 9to5Mac
Comments
จุดยืนชัดเจนดีมาก แต่สงสัยว่าตอนนี้มีนวัตกรรมอะไรอีกเหรอครับ
2 ซิมครับ lol
Brand loyalty สำคัญว่าสิ่งใด
ios ชนะด๋อยเรื่อง app ทั้งปริมาณและคุณภาพ แต่ก็อยู่ที่ผู้ใช้ว่าใช้แอปอะไร เลือกคอมเราเลือกที่แอปไม่ใช่โอเอสหรือยี่ห้อ
ไอ้ต่อจาก “แต่” นี่ เรายังสามารถพูดได้อีกเหรอครับว่า ios ชนะ
อย่างผมใช้ ios ต้องหานานมากกว่าจะเจอ file explorer ที่จัดการไฟล์บน nas ได้ และตัว internal media player กรอด้วยการสไลด์ได้ เพราะ app store เต็มไปด้วยแอพจีน ที่ลอกมาเหมือนๆกัน แต่พอใช้ android ผมแค่หา file explorer (แม้แต่ของฟรีอย่าง ES ก็ทำได้) กับ MX Player แล้วเลือก open with เอา
หรือผมอยากโอนวิดีโอจากกล้อง ก็ลงทุนซื้อ adapter ของ Apple มาเสียบไปบอกไฟไม่พอ (แต่เสียบ Android ได้) จะโอนไฟล์ก็ไม่ได้เพราะชื่อไฟล์กับโฟลเดอร์ไม่ใช่ที่ Apple กำหนด แต่เสียบเข้า Android แล้วเปิด Explorer ที่รองรับ USB OTG ก็ไม่มีปัญหา
ประโยคว่า iOS App มีคุณภาพกว่า เมื่อก่อนอาจจะจริง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่แล้ว นี่ยังไม่นับเรื่อง force close ที่ผมไม่ค่อยเจอบน Android แล้วแต่ยังเจอบน iOS อีกนะ
ความเสถียรของ OS ด้วยผมเพิ่งซื้อเครื่อง Android ให้แม่ใช้ เจอความแปลกอยู่อย่างนึงคือพอเปิดเครื่องเสร็จลองโทรเข้าติดนะครับ แต่หน้าจอไม่แสดงผลอะไรเลยจน 2 นาทีผ่านไปขึ้นเตือนว่ามีสายไม่ได้รับ คืออาการแบบนี้เคยเจอตั้งแต่สมัย Samsung S2 android 2.3 คือวันนี้ 8.1 ยังมีอะไรแบบนี้เกิดอยู่ พอทดลองซ้ำปรากฎว่าเป็นเฉพาะเวลาเปิดเครื่องใหม่หรือรีสตาร์ท ถ้าเครื่องทำงานไปสักพักแล้วจะไม่เป็น! โทรเข้าออกได้ปกติ การทำงานของเครื่องก็เช่นกันเปิดเครื่องใหม่นี่อืดมาก กว่าจะทำงานได้ลื่นไหลรอไปหลายนาที อาการเหมือนคอมพิวเตอร์สมัย Windows XP มีแรม 128 MB
ไปโดนค่ายไไหนมาหรือ ท่านพูดอย่างกับ ROM ของ Android มันใช้ตัวเดียวกันทั้งโลก
ผมว่าเค้าก็บอกแค่ว่าเครื่องรุ่นที่แม่เค้าใช้นะครับ ทำไมคุณตีความได้ว่าทั่วโลกอ่ะ
เพราะเค้าเทียบ "ความเสถียรของ OS"
iOS ก็เสถียรกว่าแอนดรอยด์เกือบทั้งหมดนะครับ
แต่เครื่องที่แม่เค้าใช้นี่ ผมว่าความเสถียรระดับต่ำตม
อันนี้ผมว่าสองประเด็น นะครับ ประเด็นที่เค้าบอกว่า iOS เสถียรกว่า กับประเด็น Android เครื่องที่แม่เค้าใช้
ถ้าเค้าเอา iOS มาเทียบกับ Android ทุกตัว อันนี้ก็ตัวใครตัวมันละครับ
เมนท์แรกบอก iOS ชนะ Android เรื่องแอพ เมนท์ต่อมาบอกว่าความเสถียรด้วย แต่ตัวอย่างที่ยกมา (เดากันว่า) เป็นรุ่นถูก ดังนั้นเลยแย้งกันว่า มันไม่ใช่เรื่อง OS แล้วแต่เป็นเรื่องของ device นั้นๆ ทั่งเรื่องรอมและสเปค
ทีนี้ถ้าพูดเรื่อง OS ความเห็นผม ผมว่าไม่จริงครับที่ว่า iOS เสถียรกว่า
อย่างที่เมนท์ไปก่อนหน้านี้ ว่าเมื่อก่อนอาจจะจริง แต่เดี๋ยวนี้ผมไม่เห็นว่ามันเป็นแบบนั้น (เมื่อเทียบกับ flagship น่ะนะ)
แถมไม่ใช่เรื่องของแอพอีกต่างหาก อย่าง iPad Pro ผม อยู่ดีๆก็ rotate จอไม่ได้ หน้า home จะเป็น landscape แต่พอเข้าแอพเป็น portrait ต้องรีถึงจะหาย
อธิบายอย่างนี้ เห็นด้วยกับคุณครับ
เสริมอีกอย่าง สเถียรกับไม่สเถียร ก็ไม่สามารถวัดจากระยะเวลาในการบูตเครื่องจนพร้อมใช้งานได้หรอกครับ ผมยอมรับว่าแอนดรอยด์บูตเครื่องนาน ถึงเป็นตัวท๊อปมันก็ใช้เวลา ไอโฟนรุ่นหลังๆใช้เวลาขนาดไหนผมไม่ทราบ ซึ่งบูตเครื่องนี่ไม่ได้ทำกันบ่อยๆ และการรอสัก 5 นาทีมันไม่น่าจะมีปัญหากับการใช้ชีวิตผมจึงไม่คิดว่าจะเป็นปัจจัยในการพิจารณาเรื่องประสิทธิภาพเครื่องได้เลย
เห็นด้วยครับ
FYI: iPhone X ทดสอบสดสดร้อนร้อนเลยครับ 31 วินาที / เห็นด้วยความเร็วในการบูต ไม่น่าเอามาบอกความเสถียรได้ / ผมรีบูตบ่อยครับ รู้สึกอยากให้เครื่องมันเฟรส อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
คุณเอาอะไรมาวัด :v
ผมใช้แอนดรอยด์ ถ้าอาทิตย์ในไม่รีบูตสักครั้ง มันจะอืดมาก แถมตัว core ของมันเองยังมีพฤติกรรมประหลาดๆ อยู่พอสมควร
ในขณะที่ iOS ผมเคยใช้เครื่องออฟฟิสทดสอบระบบ ไม่เคยต้องมารีบูตเลย ไม่มีช้า ไม่มีหน่วง ไม่มี error รบกวนใจ
แต่ผมไม่มี iOS เป็นของตัวเองนะครับ
ผมใช้เครื่องไม่เคยกดรีสตาร์ทมันเลยนะครับ เปิดไว้ยังไงก็เปิดไว้อย่างนั้นแหละ เปิดไว้นานแค่ไหนอาการก็เหมือนๆ กับตอนเพิ่งเปิดใหม่
คอมพิวเตอร์ Windows ก็เช่นกัน (แต่อันนี้มักจะรีทุกเดือนเพราะอัปเดต)
Windows ตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็น Windows 10 ผมแทบไม่เจอปัญหาเลยครับ
คอมออฟฟิศผมช้าแบบ ช้ามากๆ เนื่องจากสเปคต่ำและเวลาทำงานมันต้องโหลดโปรแกรมขึ้นมาเยอะแยะไปหมด พอบ่นๆไปที่ฝ่ายไอทีเค้าบอกว่าเพราะผมไม่ปิดเครื่องเลย มันก็ช้าสิ ผมเลยรีสตาร์ตทีนึงแล้วเปิดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ให้เค้าดู ว่ามันไม่เกี่ยวกันนะ แต่เค้าก็ไม่เชื่ออยู่ดีแฮะ
อันนี้แปลกใจครับ ปกติคนไอทีนี่อยากให้ user ได้เครื่องใหม่ๆ มากนะ เพราะมันลดปัญหาที่ต้องแก้ได้เยอะเลย
นโยบายแต่ละที่คงไม่เหมือนกันแหละครับ หรือไม่เค้าคงขี้เกียจย้ายข้อมูลให้ด้วยมั้ง
คือจะเปรียบเทียบว่า iOS ดีกว่าเทพกว่า อยากให้เปรียบเทียบกับมือถือ Android ที่ราคาใกล้เคียงกันอ่ะครับ
ส่วนตัวพึ่งย้ายมาจาก SE เป็น pocophone ก็ไม่ได้เจออะไรที่ว่ามานะครับ
ด๋อยเปิดเครื่องใหม่แล้วสะดุดแป๊ปนึงน่าจะเป็นทุกเครื่องนะ เหมือนเวลาบูส windows โหลด OS เข้ามาก่อน แล้วโหลด plug in สร้าง Index ตาม ส่วน IOS มันรอจนทำเสร็จก่อนถึงเปิดหน้าจอให้ใช้งาน แต่ปรกติไม่น่าจะนานขนาดหลักนาทีนะ อาการเหมือนต้องสร้าง index ใหม่ทุกรอบแบบนี้ คิดว่าน่าจะมีปัญหาจากพื้นที่ไกล้เต็มมั้งครับ
อันนี้ผมไม่ได้กวนนะ
แล้วทำไมไม่ซื้อไอโฟนให้คุณแม่ใช้? ก็เพราะว่าราคามันสูง เค้าไม่ได้จำเป็นต้องใช้แพงขนาดนั้น ก็ซื้อตัวราคาต่ำกว่าให้ใช้ แล้วมันก็เป็นแบบนี้ จะให้เครื่องมันเปิดมาแล้วเร็วปรู้ดปร้าดก็ลองเอาเครื่องราคาเท่าๆกันให้คุณแม่ใช้ดูครับ
แล้วไอ้เปิดเครื่องใหม่แล้วมันโหลดเนี่ย มันผิดปกติตรงไหนหว่า..
ใช้ยี่ห้อ รุ่นอะไรหรือครับ ช้าเว่อขนาดนี้ ผมเคยใช้ Redmi 5A ได้มา2พันกว่า ก็ไม่ได้มีปัญหาขนาดนี้นะครับ
ขอตอบแบบรวบทีเดียวนะครับ โควต้าหมด
ปัจจุบันไม่ใช่แล้วล่ะครับ
app คุณภาพดีพอๆกัน แต่บน android ใช้งาน network ได้ด้วย
อีกสักพัก iOS คงตามมา ฮ่าๆ
ตราบใดที่ App ก็อป icon ไม่ได้ลดลง ผลรวมเฉลี่ย app คุณภาพก็ต่ำกว่าอยู่ดีนะ - -"
รอค่ายมือถือจัดโปรลเราคา 20,000 บาท… ติดสัญญาวนไป
ผมสงสัยว่าการซื้อมือถือลดลงหลักหมื่นแต่ติดสัญญาทาสเกินหมื่นนี่คุ้มยังไงเหรอครับ
บางทีก็คุ้มต้องคิดตัวเลขกับการใช้งานปกติดูครับ ปกติใช้โทรหลักพันอยู่แล้วบางครั้งแพคเกจติดสัญญาก็ไม่ได้แพงกว่าเดิม ไม่ใช่ทุกคนต้องใช้มือถือแค่เดือนละไม่เกินพัน ถามว่าทำไมไม่ใช้โปรถูกลงไปซื้อแพคค่าโทรเหมาเป็นรอบๆเวลาหมด คือโทรเยอะต้องคอยมานั่งเช็คเสียเวลาหนะมีโอกาสแพงกว่ากันเดือนนึงไม่กี่ร้อย
คุ้มกับคนที่ต้องใช้ปริมาณมากอยู่แล้วครับ เหมือนใช้แพคเกจเดิมหรือแพงกว่าเดิมนิดหน่อยแต่ได้ลดราคาเครื่องด้วย หักลบกันมันก็คุ้มค่าดีแถมยังได้ลดก่อนจ่ายทีหลังเหมือนตัวช่วยลดภาระผ่อนนั่ยแหละสำหรับคนซื้อ
มันคุ้มเฉพาะกลุ่มครับ กลุ่มแรกที่คุ้มคือ กลุ่มคนที่เอาค่าโทรศัพท์ไปเบิกบริษัทได้
เท่ากับว่าเราจ่ายค่าเครื่องไม่กี่บาท (บางทีไม่ถึงครึ่ง) ส่วนสัญญาทาสบริษัทเป็นคนจ่ายให้ครับ
ถ้าส่วนลดจากมือถือ มากกว่า ส่วนต่างจากการได้โปรลับ/โปรย้ายค่าย ก็คุ้มครับ
เช่นลด 15,000 บาท ส่วนต่างจากโปรลับ เดือนละ 1,000 บาท สัญญา12 เดือน 12,000 บาท ซื้อเครื่องติดสัญญาก็คุ้มแล้วครับ
ซื้อเครื่องราคาเต็มมาดูวางตั้งไว้ ก็ไม่น่าจะไช่ เพราะยังไงก็ต้องใช้โทร ใช้เนท มีแพคเกจอยู่แล้ว
บางคนใช้เดือนละ 1000 อยู่แล้ว ทำไมจะไม่เอาส่วนลดล่ะ
เคยคิดแบบคุณแต่พอมาคำนวนแล้ว เหมือนเพิ่มค่าเครื่องนิดหน่อยแถมได้แพ็คเกจอีก ข้อเสียอย่างเดียวคือติดสัญญาทาส
อือ.. ไม่เคยใช้มือถือเกินเดือนละ 300 เลยไม่เข้าใจครับ
ผมใช้มือถือเดือนละประมาณ2000 ได้ลดฟรีๆแบบนี้เรียกไม่คุ้มเรียกอะไรครับ
บางคนก็ยอมซื้อเพราะอะไรที่ไม่ใช่นวัตกรรม แล้วคนกลุ่มนี้มีมากพอ... น่าขนลุกมากครับ
เหมือนที่ซื้อนาฬิกา กระเป๋า รองเท้า คนกลุ่มนี้เค้าซื้อเพราะอะไร ทั้งๆราคาถูกก็ทำได้เช่นกัน ฝากเป็นข้อคิด
ส่วนใหญ่ก็สามสาเหตุครับ หนึ่งคือบอกฐานะ สองคือเก็งกำไร สามคือสะสม
ข้อหนึ่งนี่ไม่ผ่าน ถ้าจะทำให้ได้ระดับนั้นจริงๆอย่างน้อยต้องแบบ Vertu ที่คนธรรมดาซื้อไม่ได้จริงๆ
ข้อสองก็ไม่ผ่าน ยิ่งเก็บยิ่งราคาตก
ข้อสาม.....อาจจะมีก็ได้มั้ง
ถ้าเอาสินค้าประเภทนี้มาเป็นฐานจริงๆ ต้องบอกว่าไอโฟนมีแค่ข้อหนึ่งแบบเทียม คนซื้อคิดกันไปเองว่าบอกฐานะ
แต่ถ้าใช้เพราะแอป เพราะประสิทธิภาพ เพราะ Ecosystem ก็คงเอาสินค้ากลุ่มนี้มาเทียบไม่ได้นะครับ
ผ่านแค่ข้อสาม ตาฟิลิป (EverythingApplePro) สะสมไอโฟนทุกรุ่น (ตั้งแต่อดีตยันปัจจุบัน ทั้งของแท้และของเก๊) ส่วนข้อหนึ่งกับสอง ควรเรียกว่า ecosystem มากกว่า
ปล. ไอโฟนรุ่นแรกมือหนึ่งไม่แกะกล่อง ราคาแพงมากเลยนะตอนนี้
มันมีคนที่ซื้อเพราะชอบ ไม่ได้คิดอะไรก็มีครับ ชอบหน้าตาทั้งตัวเครื่องและโปรแกรม ไม่มีเวลานั่งศึกษาเรื่องโทรศัพท์ด้วยซ้ำ ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน เจออยู่เหมือนกันคนที่ FB ไม่เล่น ไม่ค่อยไปสุงสิงกับใครนอกจากไม่กี่คนที่สนิทๆและเรื่องงาน(ที่ไม่ได้ใช้ภาพลักษณ์ให้ได้ประโยชน์อะไรเลย) แต่เห็นซื้อของออกใหม่ตลอด ความสุขเค้าอะคงไม่ได้กะขายไม่เคยเห็นเอาไปขายมือสองหาตังซื้อเครื่องใหม่เครื่องเก่าเบื่อก็ให้คนใกล้ๆตัวใช้ต่อไม่ก็ทิ้ง
ไม่ซื้อนะ ยืมเพื่อนเอา :)
บางคนก็ยอมซื้อเพราะมีตัง แล้วตังก็มีมากพอ ก็แค่ซื้อของที่ชอบ
55555 อ่านหัวข่าวละขำ ตามสะดวกสาวกเลยครับ
ถัดไปอีกสองสามรุ่นคงได้เห็น iPhone แตะแสนซึ่งเอาไว้ให้ไฮโซ 1% ของประเทศใช้ แต่ก็คงมีคนขายแตเพื่อซื้อละนะ
ไม่ต้องไฮโซหรอกครับ ลองดูน้อง ๆ ในออฟฟิศดูก็ได้ครับ
หลายคนใช้ไอโฟน รุ่นล่าสุด เปลี่ยนทุกปี บัตรผ่อนได้ไม่เยอะไม่เป็นไร
เพราะมีโปรพ่วงแพคเกจ ช่วยยืดเวลาผ่อนได้อีกหน่อย (จริง ๆ เหมือนผ่อนเสียดอก)
"ราคาที่คนยอมจ่าย ที่ทำกำไรให้สูงสุด" มันคือศาสตร์ด้านเศรษฐศาสตร์ในการขายของ Premium ที่ต้องคนทำงานจริงๆ เท่านั้นถึงจะนำเอาไปใช้งานได้จริง เพราะอยู่ดีๆ มันไม่ได้มาง่ายๆ มันหาจุดสมดุลยาก ใครเข้าถึงหลักนี้ ขายอะไรก็ยากที่จะขาดทุน พอๆ กับวิศวกรที่บริษัทรัก คือ วิศวกร ที่สร้างผลิตภัณฑ์ "สินค้าที่ต้นทุนต่ำสุด แล้วได้ประสิทธิภาพสูงสุด ในราคาที่ทำกำไรให้บริษัทได้" แล้ว Apple ก็มีเทพทั้งสองแบบนี้อยู่ในบริษัทเดียวกันด้วยนะซิ
+1000
สินค้าแอปเปิ้ลไม่ใช่เป็นเพียงแค่ สินค้าใช้งาน
แต่มันเป็น สินค้าแฟชั่น ไปแล้วด้วย ป้าผมใช้เล่นเฟสเล่นไลน์อย่างเดียวแต่แกใช้ตัวท็อปตลอด ....
สาวกเชื่อหมดแหละ
ขำมีมอันนึงในเฟสบุค ที่เอาราคาไปเปรียบเทียบว่า ไอโฟนไหม่ซื้อไรได้บ้าง
มีเพจนึงมาเบรคคอมโบด้วยคำว่า "อย่ายุ่งสิ เงินเรา"
+1
ผมไม่มีประเด็นกับการเปรียบเทียบว่าเงินจำนวนเท่ากันซื้ออะไรได้บ้าง...ผมมองว่าเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นความรู้
แต่ไม่ชอบความเห็นประเภทที่ว่าทำไมเธอไม่ซื้อนั่นล่ะ ถูกกว่า
กล้องเยอะกว่า ไม่ฉลาดเลย (ประเสริฐอยู่คนเดียว) หรือบางคนก็แซะอย่างเดียว
ถ้าเปิดใจมองความจริงบ้างว่าเงินของเจ้าตัวเค้า
ถ้าไม่ลงที่มือถือ ก็อาจจะไปลงที่
กล้อง ลงคอม ลงเกม ลงรถ ลงเครื่องเสียง
บางทีก็ลงอ่าง
เงินเค้าถ้าเค้าใช้แล้วไม่ผิดกฎหมาย ไม่ได้ระรานใคร ซื้อมาแล้วสบายใจมันก็น่าจะเป็นเรื่องดี...
ต่างคน ต่างมา ไม่มีใครเห็นด้วยกับเราตลอดหรอกครับ ถ้าบอกสิ่งที่เราคิดไปแล้ว ต้องหัดยอมรับด้วยครับว่าคนฟังเขาก็อาจจะไม่ชอบสิ่งที่เราพูดด้วย อย่างอแง
มันจะวินก็ต่อเมื่อ คนซื้อไอโฟน ซื้อแล้วไม่เดือดร้อนใคร (ลำบากตัวเองผ่อน, ลำบากพ่อแม่ต้องซื้อให้ ยกเว้นว่าพ่อแม่รวยอยู่แล้ว)
ถ้ามีคนแบบนั้นผมว่าไม่ต้อง iPhone หรอกครับ จะ BB หรือ Samsung ก็เป็นได้หมด หรือต่อให้ไม่ใช่มือถือก็อาจจะเป็นกระเป๋า รองเท้า รถยนต์ ทีนี้เราจะไปตามเตือนเค้าทุกอย่างหรือครับว่าอันนี้แพงไป อันนี้ไม่ควรซื้อ ยังไงก็เงินใครเงินมันแหละครับปล่อยคนที่พร้อมจะใช้จ่ายตามใจเค้าไปเถอะ
ถ้าอยู่ประเทศเดียวกันจะเดือดร้อยขึ้นมาได้เพราะเรื่องการเก็บภาษีและสาธารณูประโภค
บอกก่อนว่าผมไม่ได้พูดถึง iPhone อย่างเดียวแต่รวมถึงอย่างอื่นด้วยนะครับ
ไอ้คำว่า "อย่ายุ่งสิ เงินเรา" เนี่ยมันใช้ได้กับแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นแหละครับ คนบางกลุ่มก่อ NPL เพื่อให้ได้ของที่ต้องการจนในที่สุดก็เป็นภาระของสังคมครับ
แถมคนที่พูดแบบนี้ส่วนใหญ่อาจจะเป็น Gen Y/Gen X ที่ทำงานเท่าไหร่ก็ใช้จนหมดไม่มีเงินออมมีแต่หนี้ พอแก่ตัวก็เป็นภาระสังคมอีกขั้น
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
มององค์รวมแบบนี้ก็ดีต่อสังคมส่วนรวมครับ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นภาพใหญ่เกินขอบเขตที่เราคุยกันหรือเปล่า เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากำลังบริโภคก็ส่งผลกระทบต่อส่วนรวม ไม่เฉพาะของแพงๆ ยกตัวอย่างของราคาถูกที่ด้อยคุณภาพนี่ก็มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมค่อนข้างมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตจนถึงการบริโภค ซึ่งขยะที่เกิดจากของพวกนี้เมื่อเทียบเป็นปริมาณก็มีสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก ซึ่งตรงนี้ก็ต้องย้อนกลับมาก่อนว่าเราจะคุยกันในมิติไหน
ในมิติ อย่ายุ่งสิ เงินเรา นี่แหละครับ ตาม main comment เลย
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถ้าเป็นคนในครอบครัวหรือผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงกับเงินก้อนนั้นก็น่าจะเข้าเค้าครับ แต่โดยทั่วไปตามที่ผมมอง ผมว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่จะมีคนที่ไม่รู้จักกันเดินเข้าไปในโชว์รูมรถยุโรป ร้านเพชรร้านทอง ร้านที่ขายของแบรนด์เนม หรือสินค้าฟุ่มเฟือย แล้วไปเตือนเรื่องการใช้จ่ายให้กับคนที่กำลังเลือกซื้อของเหล่านั้น
กรณีนี้ไม่ใช่การอยู่ๆเดินมั่วๆซั่วๆเข้าไปเตือนนี่ครับ แต่เป็นเพจเพจนึงทำเตือนกลุ่มบุคคลในวงกว้าง ไม่ได้เฉพาะเจาะจงบุคคล(แม้จะเจาะจงเตือนแต่เรื่อง iPhone ก็เถอะ)
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
มันก็มองได้หลายมุมครับ คือถ้าเงินเราในที่นี้เป็นมองด้วยมุมมองปัจเจกมันก็จะเป็นตามที่ผมคอมเมนต์ไป
อันนี้ผมโทษ "หน่วยงานกำกับดูแล" นะครับ ที่ปล่อยให้มีการปล่อยสินเชื่อกันเกินพอดี
ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานพวกนี้ก็ยอมรับปัญหาในบางระดับ มีการออกมาตรการกำกับการปล่อยสินเชื่อกับกลุ่มรายได้น้อยกันบ้างแล้ว ตัวผมเห็นว่าควรมีมาตรฐานเพดานสินเชื่อทั้งหมด มีกรอบแนวทางเลยว่าประมาณไหนไม่ควรให้สินเชื่อเกินเท่าไหร่ แต่ก็คงยากเพราะหน่วยงานออกบัตรต้องการให้สินเชื่อมากกว่านั้น
lewcpe.com, @wasonliw
แสดงว่า iPhone X พิสูจน์ให้เห็นแล้วสินะ
ถ้าตอน Steve Jobs อยู่แล้วเขาพูดไม่ใช่ทิม ผมเห็นด้วยนะ แต่ทิมพูดนี่ผมโคตรขำครับ รุ่นใหม่มีนวัตกรรมอะไรที่พลิกวงการไหม ไม่มีเลย มีแต่วิ่งตามเขาจนเห็นหลังเขาชัดขึ้นแค่นั้น
ถ้าว่าเรื่องนวัตกรรม ฝั่ง Android ยังดูมีมากกว่าอีกนะ (แต่จะ work หรือไม่ก็อีกเรื่องนึง) นวัตกรรมของ iPhone เหมือนจะตามหลังชาวบ้านมาหลายรุ่นแล้ว แต่ที่ยังขายได้ไม่ว่าจะแพงเท่าไหร่มันเป็นเหตุผลอื่นมากกว่านะ
เผลอๆ รุ่นต่อไปนวัตกรรมคือใช้ Apple Pencil ได้เหมือน Galaxy Note
เห็นด้วย และถึงตาม ตอน Steve Jobs อยู่ แกทำให้มันโดดเด่นกว่าเจ้าของนวัตกรรมมาก
ผมใช้ไแโฟนอยู่ บอกตรงฟังความเห็นของท่าน ทิม เซ่อไปเลย
เข้าทำนอง รวย(ซึ่งจริง ๆ ไม่รวย) แล้ว โง่ด้วย
ตอบได้ดีแต่มันก็เป็นเรื่องจริง บางทีราคาอาจเป็นนวัตกรรม Apple ทำได้แต่แบรนด์อื่นทำไม่ได้ ผมเองขายสินค้าแฟชั่นแบรนด์แนมบางทีการตั้งราคาถูกไปสินค้าจะกลายเป็นของธรรมดาๆ แต่ถ้าตั้งราคาแพงเกินจริงไปมากๆ กับกลายเป็นว่าขายดีเป็นที่ต้องการของตลาด
มีกลุ่มคนที่ยอมจ่ายขอแค่เป็นสินค้าของ Apple อยู่จริง ไม่จำเป็นต้องสินค้าตัวท็อปสุด ลองดูตามตู้ไอโฟนรุ่นเก่าๆ ราคาแพงกว่ามือถือแอนดรอยรุ่นใหม่ สเปกห่างกันเป็นทุ่ง แต่คนซื้อตัดสินใจว่ามันดีเพราะคือ Apple
จริง i6s ราคา เท่ากับ F7 F5 เลยครับ
จริงครับ แถวหมู่บ้านผม กำลังนิยมเครื่องตกรุ่น iPhone 5s ความหรูหราที่แตกต่างในราคาที่เริ่มเอื้อมถึงได้
กระทบผมเต็มๆ เลย ผมยอมจ่ายเพราะมันเหมาะกับผมในราคาที่ถูกกว่าตอนเปิดตัวมากๆ ปีที่แล้วเคยได้ se 128 กิ๊ก มาในราคาประมาณ 7900 ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นใช้ i5s 16 กิ๊กอยู่แต่ต้องเปลี่ยนทั้งๆ ที่ยังตอบสนองในการใช้งานอยู่เพราะความจุน้อย คือแต่ละคนก็มีเหตุผลในการเลือกนะครับ มันไม่ได้ผิดอะไรขนาดนั้น
เรื่องพวกนี้ไม่มีผิดไม่มีถูกครับ อยู่ที่มุมแต่ละคนจะมอง อย่างผมเองเป็นแฟนแอนดรอยแต่ปีนี้ผมรอดู Apple อยู่เหมือนกันว่าจะมีสินค้าที่ผมต้องการออกมาไหม อยากได้มือถือจอเล็กสัก 5 นิ้วเครื่องเล็กแต่สเปกจัดเต็มราคาจัดมาถ้าถูกใจก็ยอมจ่าย หรือถ้ามีมือถือจีนกีกี้แต่ครบตามที่ผมต้องการผมก็ซื้อใช้เหมือนกัน
ลัทธิทุนนิยม จริงๆ..ผมเคยคิดซื้อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เพราะสิ่งที่ใช้งานมีในโทรศัพท์ราคาที่คนทั่วไปใช้งานกัน
เห็นใจสาวกแอปเปิลที่ไม่ได้มีรายได้สูงอะไรมากมาย ราคามันโดดไปไกลมาก เข้าใจว่าแอปเปิลต้องการให้ราคามันเป็นสินค้าพรีเมียม
สาวก็คงเข้าใจแหละมั้ง
จะรอดู
แค่มือถือไอโฟนเองนะทีเติมเงินเกมออนไลน์เงินหมดไปเป็นแสนแพงกว่าไอโฟนอีกยังมีแต่งรถมอไซด์แต่งรถยนต์แต่งคอมรวมๆแล้วไอโฟนดูธรรมดาไปเลยหละ
มันก็เรื่องปกตินะครับ ตั้งราคาสูง มีคนซื้อก็ขายได้ เหมือน LV Mercedes Sansiri อะไรพวกนี้ และกลุ่มคนที่ไม่แคร์เรื่องราคาเค้าก็มีเงินพอซื้ออยู่แล้ว จะบอกว่ากลุ่มคนพวกนี้โง่ก็คงไม่ใช่ (หรือโง่แต่มีเงินซื้อนี่ผมก็อยากเป็นนะ)
กลับกันถ้าคุณเป็น Xiaomi แล้วอยากตั้งราคานี้ก็คงไม่มีใครซื้อเพราะกลุ่มลูกค้าเค้าไม่ได้เป็นคนรวยเป็นหลักอยู่แล้ว
ส่วนผมรอดู iPhone 8 ล้างสต๊อกละกันครับ จน lol
ภาพในหัว อยากจะเดินไปตบกะบาน คนกลุ่มนั้นให้หัวสั่นที่ทำให้ราคา iPhone พุ่งจนเกินคว้ามาเป็นเจ้าของ
เอาตามจริงราคาควรเป็นเท่าไรครับ ถึงจะยินดีจ่าย
สำหรับผม XS Max น่าจะสักสามหมื่น ต้นๆ นะ กำลังดี
XR นี่หมื่นปลายๆ ก็โอเคละนะ
5c พลาสติกขั้นน้ำเปิดตัวมายัง 22,900 เลย หมื่นปลายนี่คงยาก
ไม่มีควรเป็นเท่าไหร่หรอกครับ ตามกำลังทรัพย์และความชอบนอกจากการใช้งานยังมีอีกหลายเรื่องสำหรับเหตุผลของแต่ละคน ทำรุ่นแพงก็ทำรุ่นถูกมาขายให้ทั่วตลาดได้
อย่างผมถ้ามูลค่าเงินกับรายได้ ณ วันนี้ก็คงแถวๆนี้หละ 50k โนตบุคไม่เกิน 150k ซึ่งราคา XS Max ที่เปิดตัวมาก็อยู่ในขั้นรับได้ (แต่จะซื้อมั้ยก็กำลังดูอยู่ เครื่องเก่ายังไม่พัง ยังไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หรือทำได้ลำบากนอกจากมันอืดนิดๆตามอารมณ์เมื่อเห็นของใหม่) โทรศัพท์แสนนึงสำหรับวันนี้ก็จะเกินไป ถ้าต้องเก็บเงินมากกว่า 1 เดือนมาซื้อของพวกนี้ก็รู้สึกเสียดายเกิน ยกเว้นมันมีนวัตกรรมมากๆเช่นแรงระดับนึงและมีวิธีใช้งานคีย์บอร์ดให้มาทำงานแทนโนตบุคเวลาออกไปข้างนอกได้อันนี้ 200k ก็ซื้อแน่
Tim Cook บอกว่าถ้าเราขายสินค้าที่มีนวัตกรรมและมีคุณค่าสูงมาก ก็จะมีลูกค้าที่ยินดีจ่ายเงินเพิ่มเพื่อสิ่งนั้น
อะไรคือนวัตกรรมครับ ผมงงตรงนี้มาก ซึ่งดูๆแล้วไม่มีอะไรให้ว้าวเลย ถ้าเป็นนวัตกรรมจริงๆ น่าจะเป็น FaceIDกับ AR ซึ่งมันก็มาพร้อมกับ Iphone X ไปแล้ว
เมื่อก่อนนวัตกรรมจะเป็นไปด้าน Software แต่เดี๋ยวนี้กับกลายเป็นตรงข้าม เน้นที่ Hardware ไปๆมาๆ เหมือนจะเดินตามหลังชาวบ้านเขา
ตัว product มันเหมือนว่าวที่ติดลม ไม่มีวันร่วงลง มีแต่จะไต่ระดับขึ้นไปอีก
อยากรู้ว่าอีกสิบปีข้างหน้า ถ้าขายไตจะพอซื้อไหม
มือถือสมัยนี้ ทำงานได้แทบทุกอย่าง
เป็น product ที่ถือว่า ระยะเวลาใช้งานต่อวัน มากที่สุด
ในบรรดาของเล่นราคาแพงไร้สาระ ด้วยซ้ำไป ราคามันยังแค่ 50k เอง
เอาแค่วงการหูฟัง Dap หลักแสนก็มี หูฟังเกินแสนก็มา
วันนึงฟังแค่ 1-2 ชม. เท่านั้นเอง
ของมันดี แพงกว่านี้ คนมีเงินเค้าว่าเค้าคุ้ม เค้าก็ซื้อครับ
บริษัทไหนใช้มือถือทำงานแทน desktop หรือ notebook บ้างคะ หนังเรื่องไหนใช้มือถือตัดต่อบ้าง
ลูกค้าผมมีครับ อนุมัติงานกันบนมือถือนี่หละเพราะปกติบางช่วงไม่มีเวลามาหน้าคอมพ์เป็นอาทิตย์ๆ คนตัดต่อวีดีโอเอามาใช้โฆษณาจริงก็เคยเจอครับ
เค้าบอกว่ามันทำได้ก็คือทำได้ถูกแล้วครับ แค่มันทำได้แต่ไม่ใช่ที่สุด เพราะพื้นฐานก็เหมือนกันแค่ลักษณะการใช้งานมันไม่เหมาะกับใช้จริงจังในหลายๆเรื่อง มันเหมาะกับใช้บางสถานการณ์ซึ่งคอมพ์ก็ไม่เหมาะจะเอาไปใช้เหมือนกัน
ผมว่าเขาน่าจะหมายถึงใช้งานต่อวันในระดับ คอนซุมเมอร์นะ ไม่ใช่ผลิตโปรดัก หรือ เอนเตอร์ไพร้
ผมอาจจะเขียนไม่เคลียครับ ขอโทษด้วยครับ
หมายถึง การใช้งานทั่วไปครับ เวลาการใช้งานต่อวัน มากที่สุด
เมื่อเทียบกับของเล่นชิ้นอื่นที่แพงกว่ามัน แต่ใช้งานน้อยกว่าครับ
ผมยกตัวอย่าง เช่น หูฟังเป็นแสน ฟังวันละ 1-2 ชม. ไอโฟนถูกกว่า แต่ใช้ทั้งวันครับ
รอบนี้ Apple Watch มีนวัตกรรม (ECG) ส่วนรอบนี้ iPhone เป็นแค่การอัพเกรด นวัตกรรมตัวล่าสุดของ iPhone เป็น FaceID มั้ง
ผมเป็นชนกลุ่มน้อยครับ ไม่ยินดีที่จะจ่ายเพื่อนวัตกรรมที่ไม่ค่อยได้ใช้
ของเดิมๆก็ตอบการใช้งานได้ดีอยู่ รอไปก่อนนะ
นกตัวละเป็นแสนคนยังซื้อกันเลย แค่ให้มันมาร้องให้ฟัง
ประมาณว่ามือซื้อถือ 50k เป็นเรื่องปรกติของคนกลุ่มที่ว่า
คนหน้าแข้งไม่กระดิก
คนซื้อไม่ได้บ่น คนบ่นไม่ได้ซื้อ
.
มันเป็นเรื่องคุณค่าทางใจครับ นวัตกรรมทางจิตวิญญาณ
ยี่ห้อไหนก็ทำไม่ได้ เหมือน BMW เบาะแข็ง ออฟชั่นน้อย หลายๆรุ่นไม่มีกล้องมองหลังมาให้ด้วยซ้ำ ถ้าซื้อรถญี่ปุ่นเหมือนจะคุ้มค่ากว่าแต่ก็ไม่หายคันเพราะมันไม่ใช่ BMW
ทุกวันนี้ 5S ยังมีการซื้อขายกันอยู่เลย โทรศัพท์ดร๋อยในยุคเดียวกันไม่มีรุ่นไหนที่เป็นได้แบบนี้
รถไม่ได้มีแค่นั้นไงครับ ทั้งเครื่อง, ช่วงล่าง, อัตราการกินน้ำมัน, Safety, O&M ไหนจะความเชื่อมั่นอีกอะไรอีก ส่วนโทรศัพท์ก็อีกเรื่องนึง
ทำไมผมมองว่ามันก็แทบไม่ต่างกันเลย
ไม่ต่างกันเลยคุณแค่ใช้ ความรู้เรื่องรถมาขยายความแต่คุณไม่ขยายความของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคและมันเป็นชิ้นส่วนที่มีขนาดเล็กลงก็เท่านั้นเอง ลองย่อขนาดรถยนต์ลงไปสิ
ทั้งเครื่อง >>> ก็ตัวเครื่อง iPhone
ช่วงล่าง >>> ก็ส่วน mainboard และชิปเซ็ตต่างๆ
อัตราการกินน้ำมัน >>> ก็ที่โฆษณากันไงว่าประหยัดไฟที่เช่นเปิดใช้ได้นานเท่าไหร่
Safety >>> กันน้ำ กันแบตระเบิด กัน CPU ร้อน
O&M >>> อันนี้ไม่รู้รอพวกที่เกี่ยวกับวิศวกรรมที่เกี่ยวกับพวกสถาปตยกรรมมาใส่แล้วกัน
ปนะสบการณ์ใช้งานแตกต่างกัน
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
แสดงให้เห็นเรื่องคุณค่าทางใจชัดเจน สนใจเรื่องรถรถมันก็มีคุณค่า คุณก็แสดงให้เห็นชัดเจน ผมเลือกรถญี่ปุ่นถูกๆนี่แหละขับไปไม่พังแอร์เย็น ประหยัดตังไปลงคอมพ์ลงของเล่น IT ปีนึง 2-3 แสนดีกว่า
เห็นหลายคนด่า แซะ เรื่องนวัตกรรมว่าไม่มีอะไรใหม่ ก็คงจริงมั้ง เพราะเห็นด่ากันหนักมากตั้งแต่ iPhone 5 เปิดตัวแล้ว สตีฟไม่อยู่สัญญาณล่มสลาย... จาก 2-3 หมื่นมันล่มสลายกลายเป็นของครึ่งแสนไปละ//
ส่วนตัวเองเมื่อก่อนเป็นสาวก Android (Samsung s2 / Xperia z2) เกลียด Apple มากกกก พอไปเล่นของพี่ชายรู้สึกว่าความเถียร ความตั้งใจในการออกแบบ ความลื่นก็เหมาะสมแก่ราคาดี แต่ก็ยังเกลียด Apple อยู่ดี คือมองว่าเป็นบริษัทที่น่าเลือดไปหน่อย ด้วยความที่เบื่อ Android เลยหนีไป Microsoft Lumia ใจจริงอยากใช้ iOS แหละแต่ยังอคติอยู่ สุดท้ายด้วยความที่ข้อจำกัดเรื่องแอปเยอะมาก แอปเดียวกันฟังก์ชันน้อยกว่าเลยลองซื้อ iPhone มือ 2 ก็เลยติดใจกลายเป็นสาวก iPhone มาตั้งแต่นั้น iPhone 5 5c 5s 6+ 8+ iPad air 2 ถอนตัวไม่ขึ้นละ
ส่วนตัวก็มองแบบที่ Tim Cook ว่า รู้สึกยินดีจ่ายเพราะรู้สึกว่าคุ้มตัง แต่เรื่องความคิดคนที่มาแซะว่าซื้อไว้อวดนี่คงห้ามไม่ได้ เพราะทุกวันนี้ที่ทำงานก็แซะตลอด ใช้แค่ social กับ ถ่ายรุป ทำไมต้องเสียเงิน 30,000
ผมก็ไม่เคยสนใจสินค้าแอพเปิลเลยแต่ก่อนเนื่องจากรู้สึกว่าแพง แถมแซะเพื่อนที่ไช้แมคบุคแอร์ด้วยซำ้
แต่เปลี่ยนมาใช้ iphone4 สมัย bb ไกล้ตาย ตอนนี้ทั้ง ไอแพด บุคโปร ตามมาตรึม
รายงานตัวครับ หนึ่งในนั้นเช่นกัน ตั้งแต่ใช้ Nokia ตอนนั้น iPhone เริ่มมา คนซื้อกันเยอะ ผมก็คิดว่าทำไมต้องซื้อของแพง เข้าขั้นเกลียดแบรนด์นี้ (ตอนนั้นยังเรียนอยู่ หาเงินเองยังไม่เก่ง) พอทำงานเอง ได้เงิน ก็เริ่มจาก iPad จากนั้นก็งอกงามตามมาไม่หยุด แต่ซื้อที ผมใช้ 4-5 ปี คือรีดจนหมดจริง แล้วค่อยเปลี่ยนครับ (คือมีลิมิตเรื่องความคุ้มทุนเสมอในการจับจ่าย) แต่อีกกี่เครื่องก็คงแบรนด์นี้ต่อไป
ในส่วนที่คุณทิมพูด ผมก็เห็นด้วยนะ จุดคุ้มทุนแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมยินดีจ่าย เท่าที่ผมจ่ายได้ไม่ลำบาก เพราะซื้อมาก็ใช้ทำงานด้วย เงินต่อเงินเลยไม่เจ็บเวลาซื้อ
สิ่งที่ทำให้ผมชอบแบรนด์นี้มันเริ่มมาจาก click wheel บนไอพ็อตครับ มันน่าทึ่งมากจริงๆ ที่สามารถทำให้ input ที่ดูหน้าตาธรรมดาสามารถใช้งานได้ดีกว่าที่ผมจินตนาการไว้มากๆ ขนาดนั้น
สำหรับผมราคามันควรกลับมาที่สามหมื่นนะรุ่นราคาสูงสุดหน่ะ ถ้าจะอัพราคาไปเรื่อยเดี๋ยวก็ต้องเจอทางตันเองนั่นแหล่ะเพราะเงินมันต้องหมุนไปถ้าเงินไปกองอยู่กับแต่ apple ก็ไม่มีใครจ่ายเงินให้ apple ได้มากกว่านี้อีกแล้ว ยกเว้นจะใช้ระบบติดหนี้ไว้ก่อน แต่เงินสดนี่หายไปหมดแล้ว
มันจะฮามากเลยนะถ้า Apple ใช้ iPhone จ่ายภาษีได้ด้วย เหอๆไม่ต้องจ่ายเงินสด
เอาจริงๆคนที่บ่นๆกันก็คือคนที่อยากได้อยากถือครองกันทั้งนั้นแหล่ะไม่งั้นก็คงไม่มีใครสนใจปล่อยมันตายไปเองแหล่ะถ้าไม่อยากได้ ผมยังเป็นเลยฮ่าๆ
ผมไม่ใช้ของ Apple นะ แต่อาจมีบางงานจำเป็นต้องใช้แล้วรู้สึกเหมือนโดนบังคับจ่ายแพง
ผมว่าทั้ง PC, Mac, Win, MacOS, Android, Linux มันก็ดีทังนั้นแหละ
และผมเชื่อว่าอุปกรณ์ประเภทเดียวกันทำงานแทนกันได้ขึ้นอยู่กับความเคยชินของแต่ละบุคคล
แต่ของ Apple มันแพงไปเยอะ 555
เรื่องนวัตกรรมนั้นผมว่าผมยังมองไม่ออกนะ อันนี้ดูกันยาวๆ อาจจะดูถึงยอดขายรุ่นต่อไปเลยก็ได้
ส่วน EKG ผมเข้าใจว่ามันยังไม่สะดวกเท่าไหร่นะ
ถ้ารุ่นใหม่รู้สึกแพงไป คือ คุณไม่ใช่กลุ่มลูกค้าครับ
ผมนึกถึงโฆษณาnikeที่ใช้นักกีฬาที่ประท้วงเรื่องเชื้อชาติ. คนดูบางกลุ่มดูแล้วออกมาด่าและก็เผารองเท้าครับ. เผากันปาวๆ เป็นข่าว...nikeหุ้นระยะสั้นตก. แต่ยอดขายปลีกหลังจากนั้นก็พุ่งกระฉูด
ที่มันเหมือนกับข่าวนี้คือ ผมว่าแบรนด์เค้ามองว่า คนบ่นไม่ซื้อ. คนซื้อไม่บ่น. เขาไปแคร์จับกลุ่มเป้าหมายที่พร้อมจ่ายดีกว่า
ปล. ผมก็รู้สึกแพงไปครับ 555
ผมก็ว่ามันเป็นเงินของคนซื้อนะ จะไปคิดมากทำไม โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้ซื้อ
ถ้าคนซื้อบ่นว่าแพงมันก็คงแพงจริงแหละครับ แต่ก็นั่นแหละเขาก็ยังซื้อ เพราะเขามองว่ามันคุ้มค่ากับเงินที่เขาจ่ายไปน่ะครับ
ทั้งนี้ผมเชื่อว่า การที่ iPhone ลงมาเล่นตลาดพรีเมียมขึ้นไปอีกนี่ ก็ทำให้ผู้ผลิตอื่น ๆ สามารถเล่นตลาดสูงขึ้นได้เหมือนกันนะ ก็ถือว่าเป็นการดีกับทุกฝ่าย
ตอนนี้แอปเปิ้ลก็คือ Nokia สมัยรุ่งเรื่องที่ทำโทรศัพท์หน้าตาประหลาดๆก็มีคนซื้อ(สมัยนั้นประหลาดแต่สวยแฟชั่นกว่าสมัยนี้เยอะมาก) ก็ขึ้นอยู่กับเวลาครับว่าจะมีใครมาในแนวคิดใหม่แและโค่นแอปเปิ้ลได้ เพราะเขาน่าจะหมดแก๊กคิดอะไรใหม่ไม่ได้แล้ว ตอนนั้นยังไม่มีใครจะเชื่อเลยว่า Nokia จะเป็นอย่างวันนี้
ต่อไป ก็อาจจจะเห็น ไอโฟน ราคาเครื่อง ละแสนก้เป็นได้นะ เพราะ ทุกคนยินดีจ่าย ไม่ว่าราคาจะเท่าไร ตั้งตำแหน่ง สินค้าไว้ชัดเจน ไปเลย ใครไปไหว ก็ไม่ต้องซื้อ
นวัตกรรม คือ การกระทำสิ่งใด ๆ ที่เป็นสิ่งใหม่ ที่สร้างมูลค่า คนจะยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อ นวัตกรรม
ถ้า iPhone Xs Max ไม่มีนวัตกรรมจริง ๆ คงไม่มีใครซื้อครับ ยอดขายมันจะเป็นตัวบอกเอง
มันไม่จำเป็นต้องเป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ได้ครับ รูปแบบการขายแบบใหม่ก็ถือเป็นนวัตกรรมอย่างนึง
(อย่างรูปแบบการตลาดของ BNK48 ผมก็ว่าเป็นนวัตกรรมนะ)
แล้วนวัตกรรมไม่ได้จำเป็นกับคนทุกคน แต่มันมีแรงดึงดูดใจจากคนบางคนเท่านั้น และมันสร้างมูลค่า
+1
จากที่อ่านมาทั้งหมด ชอบคอมเมนต์นี้จริงๆ
โชคดีที่ผมศรัทธาไม่แรงกล้าพอเลยเข้าไม่ถึงตรงนั้น บอกได้เลยว่าของแค่นี้ราคาขนาดนั้นไม่ได้กินตังค์ผมหรอก
คือชื่อหัวเรื่องกระทู้ก็อธิบายความหมายของสาวกได้ดี
เค้าซื้อก็ไปหาว่าเค้าสาวกอีก ผมใช้เพราะมันคุ้มแค่นั้นแหละ (ประสิทธิภาพต่อราคา)
May the Force Close be with you. || @nuttyi
การอ่านเหตุผลคนอื่น....มันคงยากไป
กล่าวหาแบบเหมารวมไปเลย...ง่ายกว่า
น้ำตาจะไหล ไม่เกี่ยวกับข่าว แต่ผมไปอ่านเจอมาเป็นคอมเมนต์ในเฟสบุคครับ
นั่งเทียนเขียนแล้วตีพิมพ์หนังสือออกมาขาย กำไรเหนาะ แต่ไม่มีคุณภาพเลย
คิดได้ไงเนี่ย
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
"ใช้ไวไฟที่ไหน ก็ไม่ต้องกลัวโดนแฮกค่าาา"
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ
แล้วทำไมคุณไม่ไปคอมเม้นเขาในต้นทางละครับ ???
ผมไม่ได้บอกแหล่งที่มา ไม่ได้ลงชื่อ ไม่ได้มีอะไรที่ระบุตัวตนของเจ้าของคอมเม้นต์ดังกล่าวนะครับ
ที่สำคัญ มันเป็นคอมเมนต์ในโพสต์ของคนที่ผมไม่ได้เป็นเพื่อนบนเฟสบุคครับ ผมคอมเมนต์ตอบไม่ได้ครับ
หรือคุณคิดว่าผมเป็นได้แค่อีแอบ ทำได้แค่เอาเม้นคนอื่นมานินทาลับหลังเหรอครับ?
ปล. เจ้าของโพสต์เค้าคอมเมนต์ตอบไปแล้วนะครับ และมีอีกสามท่านช่วยตอบไปแล้วด้วยครับ (เผื่อคุณคิดว่าควรมีคนให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่คอมเมนต์ดังกล่าว)
สอบถามครับ ทำไมถึงอยากให้ผมไปคอมเมนต์ล่ะครับ อันนี้ถามเพราะอยากเข้าใจ
คนเขียนหนังสือคือใครอะครับ
อันนี้คนในคอมเมนท์บอกว่าอ่านมาจากในหนังสือนะครับ ซึ่งผมไม่รู้ว่าเค้าเขียนแบบนี้จริงๆ หรือคนอ่านตีความได้แบบนี้ครับ
ผมเข้าใจเอาเองนะ ว่าเจ้าของคอมเมนท์นี้เค้าไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีด้วยซ้ำ แค่บอกว่า iOS คนใช้น้อยมันก็ผิดแล้ว
รูปประโยคเหมือนเวลาอธิบายว่าทำไม Mac ถึงไม่โดนไวรัสเลยครับ (คนใช้น้อย ไม่คุ้ม) แค่เปลี่ยนจาก Mac เป็น iOS
สงสัยก็อบมา
สมัยคริปโตราคาแพงๆ โดนแฮกกันประจำ
ที่ไม่โดนเพราะไม่มีอะไรให้ขโมยน่ะซิ
แฮคนี่อยากรู้ว่าแฮคผ่านรูรั่วหรือว่าเป็นแนว social engineering ถ้าแฮคได้ประจำและง่ายน่าจะเป็นข่าวใหญ่เลยนะครับ แต่ผมยังไม่เคยเห็นผ่านตาเลย
ที่จริงก็ถูกของเค้าอะ จริงๆ ซัมซุงหรืออื่นๆ ก็ใช้หลักการนี้ แต่พอดีไม่มีคนยินดีจ่าเงินขนาดนี้ให้ซัมซุงไง ถ้ามันมีคนยอมจ่ายเยอะ ซัมซุงในฐานนะบริษัทที่ต้องทำกำไรทำไมจะไม่ทำ
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ถ้าผมเป็นผู้บริหารแบรนด์อะไรซักอย่าง
ทำได้แบบนี้ก็จะทำนะ 555+
แล้วรุ่นราคาถูกกว่านี้ล่ะครับ "เพราะมีคนยินดีจ่าย และคนกลุ่มนี้ก็มีมากพอ" จริงๆ นะครับเชื่อผมสิ
กลุ่มนั้นเยอะ แต่กำไรน้อยครับ แถมจุกจิก บ่นเยอะ สายชาร์จใช้ไม่ถนอมก็บ่นสายพังไว บ่นจนลูกบวช ส่วนอีกกลุ่มเขาเห็นคุณค่าเงิน ใช้ถนอมกว่า หรือถ้าพังจริง ก็ซื้อเส้นใหม่ไป ... บลา บลา บลา ... ดังนั้นบริษัทเราจึงไม่สนใจแต่ไม่บอกตรง ๆ คุณทิมไม่ได้กล่าวไว้ #แซวนะครับ
ฮาาา
ถ้าทำของขายให้ลูกค้าราคาแพงได้เป็นผมจะเลือกก่อนครับ อย่างงาน dev นี่ปัญหาเยอะๆคือขายถูกนี่แหละ enterprise ขายแพงๆมีปัญหาคุยกันเป็นระบบวีนน้อยมีรอบแก้ชัดเจน ถ้าคนทำงานเต็มตลาดยังไม่วายไม่ไปคิดจะกลับไปแตะหมื่นถึงแสนต้นๆแน่นอน ของอื่นๆที่เคยขายก็เหมือนกันกลุ่มคนซื้อของราคาสูงส่วนมากที่เจอแค่ทำตามที่คุยได้ก็จบกันแล้วไม่ซื้อไปแล้ววีนมั่ว
ผมเห็นด้วยนะ ถ้าเจาะกลุ่มที่เน้นใช้เงินแก้ปัญหาได้ ตรงนี้ก็น่าสนใจกว่า แจ็คหม่ายังเคยบอกไว้เลยว่าคนที่เอาใจยากที่สุดคือคนจน