เมื่อปลายปี 2017 เคยมีรายงานข่าวว่า Dyson ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าหรูจากอังกฤษเตรียมเข้าสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเมื่อต้นปีนี้ก็มีข่าวความคืบหน้าออกมาว่าจะใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion ล่าสุด Dyson เลือกตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ประเทศสิงคโปร์ หวังตีตลาดจีน
Dyson ระบุว่าบริษัทจะตั้งโรงงานเองมากกว่าจะไปเซ็นสัญญากับซัพพลายเออร์ภายนอก โดยคาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2020 และเริ่มขายรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกในปี 2021 ซึ่งบริษัทมีงบลงทุนกับตลาดรถยนต์ถึง 2 พันล้านปอนด์หรือราว 85,000 ล้านบาท
หลายคนอาจแปลกใจว่าทำไม Dyson ถึงเลือกตั้งโรงงานในสิงคโปร์ทั้งที่น่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงมาก เป็นประเทศที่ไม่มีโรงงานรถยนต์อยู่เลยแถมยังเป็นหนึ่งในประเทศที่การจะซื้อรถยนต์สักคันต้องใช้เงินค่อนข้างเยอะ ซึ่งตามรายงานระบุว่า Dyson มีศูนย์การผลิตในสิงคโปร์อยู่แล้วโดยโฟกัสที่การผลิตมอเตอร์สำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าของตน และมีการจ้างงานอยู่ราว 1,100 ตำแหน่ง อีกเหตุผลคือสิงคโปร์มีข้อตกลงทางการค้าเสรีกับประเทศจีนอยู่แล้ว และในขณะที่ Tesla เลือกตั้งโรงงานในจีน ฝั่ง Dyson ระบุว่าจีนยังมีประเด็นเรื่องการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาอยู่
นอกจากสิงคโปร์แล้ว Dyson ยังเคยมองโอกาสในการตั้งโรงงานที่ประเทศอื่นในเอเชียด้วย เนื่องจากบริษัทมีประสบการณ์การผลิตในมาเลเซียอยู่ก่อนแล้ว
ที่มา – Bloomberg
Comments
อยากให้คนที่คิดว่าที่โรงงานต่างๆย้ายออกจากไทยเพราะค่าแรงชั้นต่ำไทยสูงมาอ่านข่าวนี้จัง ถ้าเรามีจุดเด่นแค่ค่าแรงถูกก็ควรจะหาจุดเด่นเพิ่มนะ
ตามข่าวเค้าก็ไม่ใด้จะมาตั้งในไทยนิครับ ...
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เค้าก็เม้นถูกแล้วนี่ครับ หรือผมเข้าใจอะไรผิด
ตามข่าวจะตั้งที่สิงคโปร์ซึ่งค่าแรงแพงกว่าเรา
ขนาดสิงคโปร์ค่าแรงแพง เค้ายังยอมตั้งเลย แปลว่าค่าแรงไม่ใช่ปัจจัยหลัก
May the Force Close be with you. || @nuttyi
เขาหมายถึงอย่าบ่นเรื่องค่าแรงแพงแล้วต่างชาติย้ายออก ขนาดสิงคโปร์ค่าแรงแพงกว่าเราเยอะเขาก็ยังไปตั้งมันเพราะอะไรหล่ะครับ ไทยควรเป็นแบบนั้นบ้างไม่ใช่จะกดแต่ค่าแรง
คนละประเด็นครับ ย้ายออกกับเข้ามาตั้ง
ย้ายออกเพราะจ่ายค่าแรงไม่ใหวต้นทุนสูง เป้นเรื่องจริงที่กาลเวลาพิสูจแล้ว เพราะเป็นงานที่ต้องใช้คนงานทั่วไป และค่าแรงเพิ่มค่าทุกอย่างก็เพิ่มตามสุดท้ายคนได้ประโยชน์ก็นายทุนบางกลุ่ม ที่ขายสินค้าที่จำเป็นต้องกินต้องใช้ จ้าง 500 ยังใหวเพราะไปเพิ่มในราคาสินค้า ลองย้อนไปดูว่าราคาของก่อนขึ้นและหลังขึ้นบริมาณเทียบกับราคา และ sme ตายไปแล้วกี่ราย
ส่วนการจะตั้งบริษัท ถ้าเขาต้องการคนงานแบบ บ. ที่ย้ายออกไปจากไทยไม่มีทางไปตั้งที่นั่นแน่เพราะคนงานน้อยค่าแรงแพงกว่าเรามาก มี บ. ที่ย้ายออกจากไทยไปตั้งฐานการผลิตใหม่ที่นั่นมีด้วยเหลอครับ
การที่เค้าไปตั้งที่นั่นเพราะทรัพยากรณ์ที่พร้อมกว่าบ้านเราทั้งแหล่งผลิตวัตถุดิบแหล่งทรัพยากร เขาตั้งจริงๆก็มีแต่ใช้หุ่นยนต์ เอาเงินจ้างคนงานหลายพันคนไปจ้างคนคุมหุ่นไม่กี่คนไงครับ
ใครจะมาตั้งครับถ้าบ้านเรายังโกงกันเป้นแสนๆล้านผิดก็หนีออกนอกประเทศ สุดท้ายก็มาตีกัน ตีกันมากเข้าทหารก็ออกมา ออกมาเสร็จ ก็กลับเข้ากระบวณการเดิม โกง ตีกัน ทหาร หนี ผมก็เห็นประโยชน์อยู่แค่ พวก โกงแล้วหนี ทำประเทศชิบหาย สุดท้ายก็มีแค่แพะที่ติดคุก เงินก็ไม่รู้หายไปใหน
สมมุดผมเป็น บ. เป็นใหม่ เริ่มมาก็ 300 ทั้งที่ขายอะไรยังไม่ได้มาก แล้วจะเอาอะไรไปสู้ มันไม่ได้มีผลกระทบแค่ย้ายออกคนในประเทศก็หนักกว่าเพราะไม่มีตัวเลือก ผลร้ายของการแทรกแทรงตลาด หรือ การกำจัดคู่แข่ง
เรื่องนี้อยู่ที่ฝีมือการบริหารประเทศของสิงคโปร์ เรื่องดึงนักลงทุนเข้าประเทศทั้งที่ประเทศตัวเองไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ แต่ละโรงงานมีแต่โรงงานไฮเทคราคาแพงๆ
มองมาที่ไทยมีแต่โรงงานอุตสาหกรรมหลักสร้างมลพิษ หรือelectronicsระดับทั่วไป
ผู้บริหารมองแตกต่างกัน ผลที่ได้รับก็แตกต่างกัน
เท่าที่เคยคุย แรงงานไทยมีทักษะและวินัยดีสุดในภูมิภาคแล้ว
แต่ที่เราขาดคือวิศวกรที่ตรงสายงานครับ หลายๆโรงงานในไทยต้องนำเข้าจาก มาเลย์ สิงคโปร์ หรือแม้แต่ฮ่องกงอยู่เลย แปลกดีไหม?
แต่สิงคโปร์ก็มีมหาลัยที่(เคย)ติดอันดับโลกจริงๆ
เราเคยพยายามจัดหลักสูตรพิเศษกับหลายๆมหาลัยเพื่อป้อนวิศวกรกับโรงงานผลิตHarddisk drive ไม่รู้ตอนนี้ถึงไหน เพราะเป็นขาลงแถม WD ก็กระจายฐานการผลิตไปเวียดนาม กับจีนแล้ว หลังเจอน้ำท่วมและนโยบายป้องกันน้ำท่วมที่โดนยกเลิกไปหมด
อ้ออีกเรื่องก็ทักษาะทางภาษาสากล บ้านเรายังหาเด็กจบใหม่ที่พร้อมจะทำงานกับชาวต่างชาติได้น้อยจริงๆ (หมายถึงระดับกลางๆทั่วไป ไม่ใช่แบบเก่งมากของรุ่นอยู่แล้ว ซึ่งตรงนั้นจะเป็นงานอีกแบบ)
หลักสูตรป.ตรีในไทยส่วนมากจะเรียนเป็นเป็ดครับ คือพยายามจะให้รู้รอบด้านแต่รู้ไม่ลึกสักด้าน WDนี่เขามีโครงการรับเด็กสหกิจไปวิจัยกับเขาในโรงงานเทอมนึง (ไม่รับฝึกงานซัมเมอร์เพราะมันสั้นไป) แบบว่าจับมาสอนเองเลย ถ้ามีแววก็จะรับเข้าทำงานตอนเรียนจบ แล้วก็มีทุนให้เรียนต่อต่างประเทศแล้วก็กลับมาทำงานกับเขา คือภาคการศึกษาไทยมันสิ้นหวังแต่เขาก็มีSolutionสองแบบนี้ให้แล้ว ผลลัพธ์คืออะไรรู้มั้ยครับ หาเด็กไม่ได้ เพราะโรงงานมันไกล เด็กเก่งๆก็อยากทำงานในเมืองติดรถไฟฟ้ากันมากกว่า เด็กที่มีศักยภาพก็หายากแล้ว แต่เด็กที่มีศักยภาพและอยากมาทำงานที่โรงงานด้วยหายากยิ่งกว่า
ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมครับ เคยเห็นตอนเริ่มโครงการนานมาแล้ว...
จะว่าไป สมัยนึงเคยเห็นรุ่นน้องได้ทุนจากโรงงานHDD ไปเรียนยันป.เอกตปท.ในสาขาที่หายาก โดยมีสัญญาผูกพันสั้นมากๆ (กลับมาต้องทำงานจำนวนปีเท่ากับจำนวนปีที่ไป ได้เงินเดือนตามปกติ) แต่นั่นแหละ ยุคนี้คงไม่ค่อยมีคนสนใจ
เคย?
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ผมใช้คำผิดความหมาย จริงๆ จะหมายถึง ranking ของ NUS โดนจีนแซงน่ะครับ เลยใช้คำว่า"เคย"เป็นอันดับหนึ่ง
มหาวิทยาลัยในจีนขึ้นแท่นอันดับ 1 ของเอเชีย แซงหน้าสิงคโปร์
แต่ก็ยังถือว่าระดับโลกอยู่
ส่วนของไทยไม่ติดอันดับเลย...
อ๋อ ขอโทษครับผมถามไม่เคลียร์เองแหละ คือผมไม่ทันเห็นข่าวว่าโดนจีนแซงน่ะ เลยเข้าใจว่าสิงคโปร์ยังเป็นที่ 1+2 อยู่
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ถ้าโทษผู้นำมันก็ควรจะโทษมาตั้งนานแล้วว่าทำไมระบบการศึกษาไทยมันยังห่วยอยู่แบบนี้ ปัญหาหลักไม่ใช่อยู่ที่จะเชิญเขามายังไงแต่ทำไมฝีมือหรือเครื่องมือเราทำได้แค่นี้ สมมติถ้าเขาอยากมาแต่บุคลากรเราไม่พร้อม มันก็ไปกันไม่ได้อยู่ดี ไม่ใช่เปลี่ยนผู้นำแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นทันทีหรอก ถ้าระบบมันห่วยอยู่แบบนี้ มันก็เป็นไปแบบนี้แหละ
ผู้นำเป็นคนที่มีอำนาจสร้างหรือแก้ไขระบบไงครับ
ถ้าไม่มีคนแก้ไขระบบให้ดีขึ้น มันก็เป็นแบบเดิมไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็คงไม่พัฒนาอะไรได้แบบหวือหวา เพราะระบบราชการมันเชื่องช้า
ถ้าประเทศมีปุ่ม Reset กดสักทีแล้วใส่ได้ใหม่หมดคงจะดีนะครับ ถ้าแก้ของที่มีนี่คงอีกนานเลยผมว่า
ผู้นำก็มาจากเสียงเลือกตั้งกันเกือบทั้งหมดก็เลยห่วงฐานเสียงครับ ขนาดผู้นำที่ไม่ได้มาจากการเลือกแบบลุงตู่ตั้งยังห่วงฐานเสียงเลย
majority ของประเทศเราเป็นคนที่ยังไม่พัฒนาทั้งทาง mindset และความรับผิดชอบต่อสังคม ยังสนใจแค่ตัวเองว่าจะลำบากยังไง
แต่การเปลี่ยนไปให้ประเทศกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าประชาชนไม่ยอมรับว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลง และต้องเสียความสะดวกสบายส่วนตัวบางอย่างไป
ยกตัวอย่าง เรื่อง ห้ามนั่งกระบะ ขึ้นทะเบียนสัตว์เลี้ยง เก็บเงินค่าถุงพลาสติก พอมีเสียงค้านจากประชาชนปุ๊บ รบ.ถอยกรูดทันที ประชาชนก็ค้านทันที
แทนที่จะหาจุดตรงกลางเพื่อให้ทุกอย่างมันไปในทางที่ควรจะเป็น แต่ฝ่ายนึงไม่อยากได้ อีกฝ่ายก็ยกเลิกแผนทันที โดยไม่พยายามจูงใจใดๆ ทั้งๆ ที่มีอำนาจ
ถ้าผู้นำมัวรอให้เสียงส่วนมากเห็นด้วย เราคงต้องวนอยู่แค่นี้กันไปอีกนานครับ
เอาจริงๆกฎพวกนี้ ออกมาโดยไม่ดูผลกระทบนะครับ คนออกกฎหมายใช้เวลาไม่กี่วินาทีในการผ่านกฎหมาย เพราะไม่เห็นหัวประชาชนคนอื่นตะหาก
ประเทศที่เจริญแล้วเขาทำได้ เพราะเขาลดผลกระทบไปหมดแล้ว ไม่ใช่ใช้อำนาจเผด็จการสั่ง เหมือนสั่งทหารเกณฑ์ให้ทำตาม โดยห้ามบ่น ทนๆทำกันไป
เรื่องห้ามขึ้นกระบะ โดยอ้างความปลอดภัยใช่ครับ แต่คนสั่งไม่ดูเลยว่า ถ้าไม่ให้ขึ้น แล้วมีทางเลือกอื่นไหม? คนในกทม.ด่าคนตจว.ว่าไม่กลัวตาย แต่เวลาตัวเองไปเที่ยว ไปออกค่ายอาสา ก็โบกกระบะพวกนี้ขึ้นกันทั้งนั้น
ผมก็เป็นห่วงความปลอดภัยครับ แต่ในความเป็นจริง มันไม่มีทางเลือกอื่นทดแทนเลยไง ซื้อรถมาคันนึง ก็ต้องเผื่อใช้ทำงาน เผื่อโดยสาร คนเราไม่ได้รวยขนาดซื้อรถสองคัน คันนึงไว้ขนของ อีกคันนึงไว้ขนคน มันเลยออกมาอิหลักอิเหลื่อแบบนี้
เรื่องลงทะเบียนหมาแมวอีก ผมอยากจะลากไปพูดถึงกฎหมายคุ้มครองสัตว์ ที่ขาดการศึกษาผลกระทบ เทียบระดับของบทลงโทษ เลยออกมากลายเป็นกฎหมายคุ้มครองสัตว์ที่บทลงโทษรุนแรงกว่าการทำร้ายมนุษย์ด้วยกัน?
อย่าบอกว่าหมาแมวป้องกันตัวไมไ่ด้เ โทษเลยแรงกว่า เพราะไม่งั้นแสดงว่าคุณเข้าใจหลักการออกกฎหมายผิดไปแล้ว ไม่ต่างจากพวกที่บอกให้เพิ่มโทษประหารพวกข่มขืน โดยไม่ดูเลยว่า ถ้าข่มขืนแล้วฆ่ามันก็ประหารอยู่แล้ว ถ้าไปเพิ่มโทษข่มขืนเฉยๆ(โดยไม่ฆ่า)ให้รุนแรงเท่าการฆ่า มันจะมีผลกระทบอะไรตามมา?
เรื่องถุงพลาสติกนี่ ผมเห็นด้วยสำหรับในเมืองครับ แต่ตจว. ผมกลัวโรคระบาดจริงๆ คนที่สนับสนุนลดโลกร้อนได้คำนึงถึงผลกระทบด้านสุขอนามัย จากการไม่ใช้ถุงพลาสติกหรือไม่?
แบบที่ผมบอกครับ
ไม่มีฝ่านไหนมุ่งมั่น อยากเจรจา อยากเสนอความเห็น อยากรับความเห็น อยากพูดคุย อยากกลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ไม่มีทั้งภาคประชาชน ไม่มีทั้งภาครัฐบาล
ผมแย้งตรงที่คุณยกรบ.เผด็จการว่าไม่ต่างจากผู้นำสมัยอื่นๆ
ผมก็บอกตรงๆเลยว่า บรรยากาศรบ.เผด็จการไม่เอื้อให้เกิดการเจรจา หรือประนีประนอมครับ ตอนนี้ใกล้เลือกตั้งก็ทิ้งทวนออกกฎหมายกันใหญ่ แต่พอใครทักมากๆก็ยกเลิกหมดง่ายดี
แต่ก่อนหน้าล่ะ?
จำกฎหมาย บังคับรปภ.จบม.3 ได้ไหม? ออกมาบังคับใช้ไม่กี่เดือนก็ออกม.44 มายกเลิก
จำกฎหมายเรื่องฟ้องคนค้ำประกันไม่ได้ไหม? ออกมาเดือนเดียว ก็ออก ม.44 มายกเลิก
จำนโยบายขับไล่แรงงานต่างด้าวได้ไหม ตอนนี้ขาดแคลนแรงงาน ผู้ประกอบการเล็กๆจ้างวันละ 500 ยังหาคนไม่ได้เลยครับ
พวกนี้ออกมาโดยไม่มีการคิดถึงผลกระทบ มีแค่ 0 กับ 1 ขาวกับดำ ในมุมมองของผู้สั่งเท่านั้น
ฉะนั้นจะพูดไม่ได้เลยว่า ผู้นำตอนนี้ไม่ต่างจากผู้นำสมัยปชต.
ถ้าเป็นรบ.ก่อนๆ จะมีกฎหมายออกมา มีหลายฝ่ายไปพูดคุยครับ ที่คุณคิดไปเองว่าไม่กล้าทำ เพราะเขาเห็นหัวประชาชนคนอื่นๆว่าเป็นคนไง จู่ๆจะไปบังคับแบบโง่ๆไม่ได้ ก็ต้องหาทางผ่อนผัน เปลี่ยนแปลง มีช่วง transition หาทางออกใหม่ๆทดแทน กันไป แต่ถ้านับเรื่องการเปลี่ยนแปลง รบ.ที่มาจากการเลือกตั้งในช่วง 20กว่าปีนี้ 'เปลี่ยนแปลง' มากกว่ารบ.ใดๆที่เคยมีในช่วงชีวิตผมนะ
ประเทศที่เจริญแล้วเขาก็ไม่ได้หักดิบ ทำตู้มเดียวเจริญทั้งประเทศนะครับ(ไม่นับเรื่องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองนะ หมายถึงเรื่องนโยบาย การออกกฎหมาย ฯลฯ) มันก็ค่อยๆพัฒนา แต่เขาพัฒนาโดยคำนึงถึงสิทธิของประชาชนของเขาโดยรวมด้วย ทุกคนมีconsent ร่วมกัน มันถึงไปต่อได้ ไม่ใช่คิดว่าข้าเป็นคนดี คนอื่นไม่ทำตามคือคนเลว แบบนี้มันถึงไม่ไปไหนกันสักที
ดูเหมือนจะหัวร้อนเพราะคิดว่าผมด่าเหมารวมว่าเหมือนกันทั้งหมดทุกอย่าง ผมยกแค่ประเด็นบางประเด็น คุณก็ยกประเด็นใหม่ๆ ขึ้นมาเปรียบเทียบแล้วหัวร้อนเอง
ผมเองก็ไม่ได้เชียร์รบ.ทหารครับ ผมว่าตามเนื้อผ้า และสื่อความเฉพาะเรื่องที่ผมพูดถึงเท่านั้น ถ้าตีความเกินเลยไป อันนั้นผมว่าคุณควบคุมตัวเองด้วยครับ
ผมคงไม่ตอบเรียงสิ่งที่คุณเสนอมาแล้วนะครับ ยิ่งตอบยิ่งเกิดประเด็นใหม่ๆ แล้วคุณก็ดูท่าทางโมโหมากที่ผมเอารบ.ทหารไปเทียบกับรบ.จากการเลือกตั้ง
ไม่ได้หัวร้อนเลยครับ ตอบตามประเด็นเป๊ะๆ
คุณอ้างว่าผู้นำไหนๆก็เหมือนกัน ผมก็บอกว่าไม่เหมือนกัน
คุณยกตัวอย่างกฎหมายบางเรื่องที่ประกาศใช้ไม่สำเร็จ แล้วบอกว่า คนส่วนใหญ่นั้นไม่ยอมให้เกิดการพัฒนา ผมก็ยกตัวอย่างและโต้แย้งเต็มๆ ว่าข้อกฎหมายที่คุณยกมานั้น มัน non-sense แค่ไหน ออกมาโดยไม่สนใจผลกระทบ หรือมองบริบทรอบด้าน คือจะบอกว่าแค่ออกเพื่อเอาหน้าก็ว่าได้ และมีอีกหลายกฎหมายที่ออกมาช่วงนี้ งี่เง่าไม่ต่างกัน คือพูดลอยๆ มันดูดี แต่ผลกระทบมันมีมาก และข้อเท็จจริงก็คือมันไม่ได้ดีเหมือนข้อดีที่พูดด้านเดียวเท่านั้น
คุณอยากให้มีการหาทางออกร่วมกัน ไม่ใช่ปฎิเสธกฎหมายใหม่ๆไปหมด ผมก็บอกว่า บรรยากาศมันไม่เอื้อให้เกิดการพูดคุยเลย เพราะคนออกกฎหมายไม่เคยเปิดโอกาสหรือศึกษาผลกระทบแต่แรก
เอาแค่กฎหมายบังคับลงทะเบียนหมาแมว นี่จู่ๆก็ยกขึ้นมา ตัวเลขเงินที่ต้องจ่ายนี่คือแบบไม่มีการสอบราคาหรือศึกษาต้นทุนก่อนด้วยซ้ำ ยกตัวเลขของเอกชนเจ้านึงมาลอยๆดื้อๆ พอคนด่าแพง ก็ยกเลิกหมด จบ ไม่มีกระบวนการต่อไป ไม่มีการตั้งคำถามต่อว่า ทำไมค่าใบคำร้องกระดาษใบเดียวและค่าดำเนินการตั้ง 150 บาท? มันแตกต่างจากกระบวนการยื่นคำร้องในเรื่องอื่นๆ ของหน่วยราชการหรือเทศบาลอย่างไร? (ปกติเขาคิด 5-20 บาทนะครับ) ไม่มีคำตอบ เพราะไม่มีการศึกษามาแต่แรกไงครับ
ช่วงนี้ก็จะมีกฎหมายพิลึกๆ ออกทิ้งทวนอีกเพียบ
เรื่องกฎหมายประหลาดๆ ที่แสดงความด้านนี่ผมไม่อยากพูดถึงครับ ก็ด้านมาตลอด และคิดว่าจะด้านต่อไป และแก้ไขอะไรไม่ได้ แม้ทุกคนจะรู้ว่าออกมาเพื่อผลประโยชน์พวกพ้อง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยไม่รู้จะไปพูดถึงทำไม ทุกคนรู้แก่ใจครับ
ส่วนกฎหมายหมาแมว ถ้าพูดกันตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คือมาแบบไม่มีใครได้เสนออะไร แล้วก็ไปแบบดื้อๆ แบบถอยกรูด ไม่ได้อยู่บังคับใช้นะครับ
แก้ไข ลืมขอโทษ ที่บอกว่าโมโหหัวร้อนครับ
ถ้าเป็นรบ.ที่มาจากการเลือกตั้ง จะมีขั้นตอนการกลั่นกรองกฎหมายตั้งแต่ก่อนเสนอครับ
ถึงจะมีเรื่องของผลประโยชน์ แต่มันก็มีการโต้เถียงอภิปราย เพราะแต่ละคนเป็นตัวแทนของประชาชนคนอื่นๆ
อย่างเรื่องลงทะเบียน ผมเห็นด้วย แต่ในรายละเอียดก็มีปัญหาที่ตามมาอีกเยอะ จะบังคับใครลงทะเบียนบ้าง? เจ้าของนี่นิยามอย่างไร เพราะในโลกจริง หมาแมวข้างถนนเยอะ สมมติคนเผลอให้ข้าวหน้าบ้าน นับเป็นเจ้าของไหม หรือแม้แต่คนเลี้ยงแบบปล่อย จะจำแนกอย่างไร? แล้วตามวัดล่ะ? พระเณรต้องไปลงทะเบียนไหม? หรือว่าถ้าไม่ลงทะเบียน ก็จะให้เทศบาลไปกวาดต้อนไปรมแก็สหมด? ก็จะแก้ปัญหาเรื่องการไม่ยอมลงทะเบียน หรือค่าปรับที่สุดโต่งเป็นหมื่นบาท ถ้าประกาศแบบโง่ๆ รับรองคนเอาหมาแมวไปทิ้งอีกเพียบในคืนของวันประกาศ แล้วจะจับคนทิ้งได้ไหม ในเมื่อเขาอ้างว่าไมใช่เจ้าของ?
เรื่องราคาอีก เอาราคาเอกชนมาเทียบ พวกที่บอกไม่แพง ถ้าไม่เป็นเศรษฐี ก็ไม่เคยเลี้ยงด้วยตัวเองครับ ผมเองเลี้ยงที่ตจว.หลายตัว เป็นพันธุ์ทางขอญาติๆมาเลี้ยง ก็ฉีดวัคซีนประจำ ดูแลตามควร ตัวไหนป่วยก็พาไปหาสัตวแพทย์ประจำอำเภอ( ไม่มีรพ.สัตว์หรูๆหรอกครับ)
แต่ถ้าจู่ๆต้องจ่ายอีกตัวละหลายร้อย มันก็เป็นภาระนะครับ ผมยังพอจ่ายไหว แต่บ้านรอบๆผม คงจ่ายไม่ไหว(อย่าเอาบรรทัดฐานคนเลี้ยงหมาแมวราคาหลักหมื่นในเมืองมาบอก)
ยังไม่นับเรื่องตัวเลขที่ไม่มีที่มาที่ไป คุณไม่รู้สึกแปลกใจเหรอ ค่าคำร้องกับค่าดำเนินการอะไรตั้ง 150 บาท? เรทคลินิคเอกชน? น้องผมไปยื่นคำร้องขอมีอาวุธปืนในครอบครอง ค่าคำร้อง 5 บาทนะครับ ค่า tag อีก แบบไหนก็ไม่รู้ มโนว่าเป็นแบบ chip บ้าง คือมันก็มีหลายเกรด มีหลายแบบ RFID,หรือแบบมีแบตในตัว? หรือแค่ป้ายห้อยคอกระดาษ? ไม่มีใครบอก เขียนกฎหมายมาลอยๆ?
ผมอยากคุยนะครับ เพราะเห็นหลายคนพูดถึงกฎหมายนี้แต่ในแง่ดี บางคนไปยกราคาตปท.มาให้ดู(เอิ่มไม่เทียบค่าแรงขั้นต่ำด้วยล่ะ?) โดยคนเชียร์ตามเพจข่าวส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่เลี้ยงสัตว์ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
เรื่องลงทะเบียนหมาแมว ผมเห็นด้วยกับที่คุณพูดหมดทุกอย่างครับ
ส่วนที่คุณตั้งเป็นคำถามไว้
- เรื่องเอาไปรมแก๊ส? ผมไม่ตอบละกัน ตอบยังไงก็มีดราม่า แต่ผมมีคำตอบอยู่ในใจครับ
- เรื่องเอาราคาจากไหนมาตั้ง? อันนี้แบบที่ผมพูดแต่แรกว่ารัฐบาลไม่มีความมุ่งมั่นในเรื่องนี้มากพอ ถ้ามุ่งมั่นจริงๆ ราคาต้องดีกว่านี้ และผมเชื่อว่าราคาดีกว่านี้ได้อีกมาก (สัตว์แพทย์ที่มีส่วนร่างบอกมาว่าเป็นชิพครับ สแกนได้) เมื่อมุ่งมั่นไม่พอ ทุกอย่างจะออกมาแบบสุกเอาเผากิน ครึ่งๆ กลางๆ หมดทุกอย่าง แค่โดนทักนิดเดียวก็พับเสื่อเก็บ ไม่ว่าจะอ้างว่ากลัวประชาชนเดือดร้อน หรือจะอ้างว่าอะไรก็ตาม ผลลัพท์ที่ได้เท่ากันคือยกเลิกกันไป
ผมว่าเรื่องลงทะเบียนหมาแมว มีปัญหาที่ผมห่วงมากกว่าเรื่องราคาอีกครับ ทั้งเรื่องการบังคับใช้ เรื่องกฎหมายที่จะมารองรับเรื่องหมาแมวจรจัด (สัตว์เลี้ยงไม่มีเจ้าของจะไปที่ไหน) เรื่องของ integration ทาง IT ต่างๆ ฯลฯ
ผมว่ารัฐบาลยังไม่พร้อมผ่านกฎหมายนี้ เพราะรัฐบาลไม่มีความมุ่งมั่นมากพอ สาเหตุจากการเป็นรัฐบาลทหารเป็นแค่ส่วนนึงเท่านั้นครับ
ถ้ารัฐบาลมุ่งมั่นจะทำเรื่องลงทะเบียนสัตว์เลี้ยง ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะเปิดให้มี public hearing เพราะร่างกฎหมายไซเบอร์เองก็มี public hearing เช่นกันครับ (ผมไม่ได้บอกว่ารัฐบาลเปิดรับฟังทุกอย่างนะครับ)
ฟากประชาชน ผมไม่ห่วงฝ่ายที่เห็นด้วยกับการขึ้นทะเบียนครับ คนที่เห็นด้วยเค้ามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้กฎหมายมันได้ถูกนำมาใช้ เรื่องราคาถ้ามันแพงเค้าก็จะพยายามเจรจา หาทางพูดคุยกับรัฐบาลให้ทุกอย่างมันมีที่มาที่ไปและสมเหตุสมผลมากที่สุด
ที่น่าเป็นห่วงคือพวกที่ปฏิเสธก่อนทุกอย่าง และขาดความรับผิดชอบครับ เป็นพวกที่คุณพูดถึงนั่นแหละ แค่ข่าวมาปุ๊บเอาสัตว์เลี้ยงไปทิ้งปั๊บ ผมเชื่อว่าคนพวกนี้มีเยอะมาก และต่อให้ราคาทุกอย่างมันถูกลงกว่านี้ เค้าก็เอาสัตว์เลี้ยงไปปล่อยอยู่ดีครับ
5555
กฎหมาย cyber เขาเปิด public hearing จริงครับ แต่เปิดแบบจำกัดเวลา บอกเวลากระชั้นชิด จำกัดคนที่มีสิทธิ์เข้าไปฟัง ถ้าตามข่าวแต่แรกจะเห็นความผิดปกติที่เขาโวยกัน
ขนาดต้านกันหลายรอบ ก็ยังออกร่างฯ ประหลาดๆ พอๆกับจีนกับเกาหลีเหนือออกมาอยู่เลย
ผมไม่ห่วงพวกปฎิเสธครับ เพราะในโลกแห่งความจริง คุณต้องทำความเข้าใจ ประนีประนอม ก่อนจะริดรอนสิทธิ์ใดๆของคนอื่น ต่อให้คนอื่นบอกมีข้อดีล้านแปด แต่ต้องสังเวยตัวคุณ หรือคุณต้องจ่ายเงินเพิ่มจนคุณลำบาก(ถ้ารวยแล้วคงไม่สนใจ) คุณก็คงไม่ยอมง่ายๆหรอก มันก็ต้องศึกษาผลกระทบ มีมาตรฐการเยียวยา มีกระบวนการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งพวกนี้เป็นสิ่งที่รบ.ทหารไม่ค่อยคำนึงถึง สนช.ยังเป็นแค่สภาตรายาง ผ่านกฎหมายภายในไม่กี่นาทีอยู่เลย
ผมเป็นห่วงพวกที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี หรือยึดถือความดี แล้วจะทำอย่างไรก็ได้เพื่อบังคับคนอื่น คนอื่นที่ไม่ยอมเป็นคนเลว เป็นคนขัดขวางความเจริญของชาติตะหาก พวกนี้น่ากลัวครับ ไม่รับฟังความคิดเห็น ไม่มองโลกตามจริง เพียงเพราะตัวเองไม่เดือดร้อน เลยไม่สนใจคนที่เดือดร้อน
เรื่องราคา ผมบอกแล้วไงครับ ตัวเลข คำพูด มาจากสัตวแพทย์ชื่อดังเพียงคนเดียว(เท่าที่ได้ยินลอยๆมา ตัวเลขมาจากเอกชนเจ้านึง ไม่มีการสอบราคาหรือเทคโนโลยีอะไรเลย) บทลงโทษสุดโต่งเว่อๆโดยไม่ศึกษาผลกระทบอะไรเลย แต่ดันออกเป็นมติครม.ได้ มันบ่งบอกว่า ตั้งใจทิ้งทวนเฉยๆ ไม่ได้หวังดีอะไรหรอก
ตัวประเทศยังมีที่ตั้งโรงงานได้อีกหรอเนี่ย
คิดเหมือนผม
เรื่องพละกำลังไม่น่าจะต้องห่วง
แต่เรื่องราคาอาจจะแพงกว่า Tesla
รอดู..เพราะงานออกแบบที่สวยและน่าใช้มาก แต่ไกลเกิน..ถือว่า ดีมาก
โอ้โห มองเหนือและคิดต่าง
พัดลมไร้ใบพัด นี่จะมารถยนต์ไร้ล้อมั้ย 55555
ที่น่าสนใจ คือ ทำไมไม่เป็น ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย เพราะปกติ ประเทศพวกนี้เป็นฐานการผลิตรถยนต์. อยู่แล้ว
หรือเพราะเน้นใช้ หุ่นยนต์ เน้นอัตราภาษี น้ำเข้า และส่งออกเป็นหลัก
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
มีแต่รถยนต์ครับ รถไฟฟ้าน่าจะเป็น FOMM ที่เพิ่งเข้ามา
ผมหมายถึงแรงงานน่าจะไม่มีทักษะมั้งครับ
สงสัยจะแน้นราคา ไม่แน้นกำลังการผลิตอย่าง เทสล่า หรือว่ามี พื้นที่พอเวลาอยากขยายการผลิตในอนาคตหากขายดี