Netflix เดินกลยุทธ์เพิ่มคอนเทนต์ผลิตเองเพื่อฉายลงแพลตฟอร์ม หรือออริจินัลคอนเทนต์มานานหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ก็มาถึงจุดที่ Netflix น่าจะหวังไว้เสียที นั่นคือการมีจำนวนออริจินัลคอนเทนต์ให้คนดูเลือกมากกว่าคอนเทนต์ที่ต้องซื้อลิขสิทธิ์แล้ว โดยข้อมูลจากบริษัทวิจัย Ampere Analysis พบว่าคอนเทนต์ที่มีให้เลือกใน Netflix อเมริกา มีจำนวนคอนเทนต์ออริจินัล (จ้างผลิตเอง) 51% ในสิ้นปี 2018 เพิ่มขึ้นจากเมื่อปี 2016 ซึ่งมีอยู่ 25%
นักวิเคราะห์จาก Ampere บอกว่า กลยุทธ์ดังกล่าวก็เพื่อให้ Netflix สามารถยืนด้วยตนเองได้ โดยเฉพาะจากปัจจัยสำคัญคือดิสนีย์เตรียมถอนคอนเทนต์ทั้งหมดออกจาก Netflix ในปีนี้ ฉะนั้น Netflix ต้องเพิ่มตัวเลือกคอนเทนต์ที่ผลิตเองให้คนดู และทำให้คนดูนิยมดูคอนเทนต์เหล่านั้นด้วย
ข้อมูลที่น่าสนใจคือบริการสตรีมมิ่งคู่แข่งอย่าง Hulu หรือ Amazon Prime Video นั้นมีออริจินัลคอนเทนต์น้อยกว่า 5% เสียด้วยซ้ำ ทิศทางจากนี้ของบริการวิดีโอสตรีมมิ่งน่าจะเป็นการที่ผู้ผลิตคอนเทนต์แต่ละค่าย ต่างมีแพลตฟอร์มของตนเอง และล็อกคอนเทนต์ให้มีเฉพาะของตนเองเท่านั้น ความหนักใจก็อาจย้ายมาอยู่ที่ผู้ชมอย่างเรา ๆ แทนนั่นเอง
ที่มา: Broadband TV News
Comments
ทำเองลิขสิทธิ์ถาวร ไม่ต้องมานั่งเจรจาใหม่ เกิดหนังดังก็ได้ชื่อเสียงอีก
ทำแบบนี้ทุกเจ้า เดี๋ยวก็กลับสู่ยุค load bit มาดูอีก
ในส่วนของพวกซีรีส์นี่ netflix โอเคเลย แต่พวกหนัง ผมอยากดูหนังพวก blockbuster มากกว่า แรกๆ ชอบ netflix มากตรงที่ดูหนังแบบบุฟเฟต์ HD ได้เลย แต่พอดูหลายๆ เรื่องที่อยากดูไปแล้ว กลับพบว่า netflix ของไทยขาดหนัง blockbuster ดังๆ ไปหลายเรื่องมาก พวก marvel เองก็ไม่ครบภาค (อยากไล่ดูให้ครบจักรวาล) แถมหลังๆ พี่แกจะไปเน้น original content เองอีกนี่ ใจผมไปทาง Disney+ เลย เพราะน่าจะมีหนังฟอร์มยักษ์ๆ ให้ดูเยอะมาก
เอาจริงๆ เห็นด้วยกับเมนต์ข้างบนว่าขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้เดี๋ยวธุรกิจหนังได้กลับมาสู่จุดเดิมๆ ผมไม่เห็นด้วยว่า netflix ต้องทำแต่ original content แต่ต้องขยันซื้อลิขสิทธิ์มาเหมือนเดิมด้วย แล้วค่ายหนังก็ต้องเปิดใจ ไม่ใช่เห็นการเติบโตของ netflix แล้วจะเรียกราคาสูงๆ จนทุกฝ่ายรับไม่ได้
ค่ายหนังลงมาเปิด streaming เอง สุดท้ายคนดูจ่ายมันทุกค่าย disney, wb etc.
แถมบางเรื่องไม่มีภาคแรกๆ ให้ดูอีกต่างหาก
ช่วงนเราว่าหนังเริ่มเข้าเยอะนะ
ล่าสุดก็พวก
Searching
Hotel transivania 3
ลิขสิทธิ => ลิขสิทธิ์