เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา BMW จัดงาน NEXTGen ที่มิวนิค เผยแผนในอนาคตว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 25 รุ่นภายในปี 2023 เช่นรถซีดานไฟฟ้า BMW i4, รถ SUV ไฟฟ้า BMW iX3 ฯลฯ
อย่างไรก็ตามที่งานเดียวกันนี้ Klaus Frölich ผู้บริหารระดับสูงด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลับให้สัมภาษณ์กับสื่อในทิศทางตรงกันข้ามว่าไม่มีลูกค้าคนไหนอยากได้รถยนต์ไฟฟ้าล้วน หากแต่เป็นภาครัฐต่างหากที่อยากให้มี
"หากเราได้รับข้อเสนอใหญ่ๆ และสิ่งจูงใจดีๆ (เช่นเงินชดเชย) เราสามารถทำให้ยุโรปเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเป็นล้านคัน แต่ชาวยุโรปคงไม่ซื้อใช้หรอก" เขากล่าวเสริม
Frölich ยังบอกอีกว่าความเห็นของเขาคือรถยนต์ไฟฟ้านั้นเหมาะสำหรับประเทศจีนและรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น แต่ที่อื่นๆ ในโลกควรใช้งานรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่ขับด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ไกลหน่อยมากกว่า
ที่มา - Forbes
Klaus Frölich | ภาพโดย BMW
Comments
ตามเข้าใจคงเพราะค่าไฟที่โน่นแพง บวกเจออากาศหนาวทำแบตหมดเร็ว
เป็นภาระตกกับคนใช้ที่ต้องเตรียมตัวเอาเอง
แถมราคารถไฟฟ้าก็แพงกว่ารถน้ำมันที่พิกัดเดียวกันอีกต่างหาก จ่ายแพงกว่าทั้งตอนซื้อ และหลังซื้อเลย
ได้ยินว่าค่าไฟเยอรมัน หน่วยละ 12 บาทแพงกว่าบ้านเราสามเท่าและแพงกว่าจีนหกเท่า...ก็คงไม่ค่อยมีใครอยากใช้หรอก กลายเป็นใช้น้ำมันประหยัดกว่า
แพงไม่แพง ต้องคำนวณค่าครองชีพและรายได้เฉลี่ยด้วยครับ เผลอๆ อาจหนักกว่าบ้านเรา 3 เท่าก็เป็นได้ หรือบ้านเราอาจจะพอๆ กันเพราะรายได้เราน้อยกว่าเขา
มันไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพ
แต่แพงเมื่อเทียบกับการใช้เครื่องยนต์สันดาปปกติไงครับ (ไม่นับเรื่องภาษีอะไรอีกส่วนนะ)
คือรถไฟฟ้า ev เวลาขายในประเทศที่ค่าไฟไม่แพง ก็ชูจุดเด่นเรื่องความประหยัด รักษ์โลก
แต่พอจะขายในเยอรมนี ที่ค่าไฟมหาโหด มันก็ชูเรื่องความประหยัดไม่ได้ แต่จริงๆ แหล่งผลิตไฟฟ้าในเยอรมนี นี่มาจากพลังงานหมุนเวียน 30 กว่า % เป็นอันดับต้นๆของโลก ก็จะชูเรื่องรักษ์โลกได้อย่างเดียว ซึ่งมันก็คงขายได้เฉพาะกลุ่มระดับบนขึ้นไป ที่ยอมจ่ายแพงกว่าปกติเพื่อรักษ์โลกได้
จบเลยลืมคิดถึงเทียบน้ำมัน อ่านไม่ครบขออภัยครับ จับใจความแต่ในท่อนแรกเทียบค่าไฟฟ้าของแต่ละประเทศ แต่ต้องเทียบกับน้ำมันหรือพวกสินค้าทดแทน
ตามจริงเคสนี้ คำนวณแค่ ค่าไฟ กับ ค่าน้ำมัน ก็พอนะครับ
เพราะต้องการเทียบว่า ใช้แบบไหนราคาถูกกว่า
ไม่ได้บอกว่า ค่าครองชีพใครแพงกว่า
/ พักการเมืองบ้าง
ใจคอจะไม่หักภาษีเงินได้สักหน่อยหรอจ้ะ
โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเครียร์ ให้พลังงาน สูง จนไม่พอคุ้มสร้าง ให้ครอบคลุม ทั่วประเทศเลยเหรอครับ ทำไม ทุนผลิตไฟฟ้าแพงมาก เหมือนประเทศแถวๆ นี้พลังงาน สะอาดแท้ๆ
เยอรมัน มีโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและพลังงานสะอาดเป็นสัดส่วนที่มาก(>30%)เป็นอันดับต้นๆของโลก มีกำลังผลิตจากนิวเคลียร์แค่ 11% และมีแผนลดลงเรื่อยๆ
ต้นทุนก็เลยสูงกว่าที่อื่น ที่เน้นใช้ถ่านหินเป็นหลัก
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2028:art-20170628-01&catid=49&Itemid=251
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2364:art20180131-01&catid=49&Itemid=251
https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=article&id=2984:20190410-art01&catid=49&Itemid=251
นิวเคลียร์ นะครับ
ต้องซื้อแท่งยูเรเนี่ยม ซื้อมาแล้ว ผลิตพลังงานเสร็จ เอาไปเก็บดองไว้ ที่ใหนซักที่นึง
ถ้าเราเทียบว่า โลก คือ หอพักรวม หน้ามหาลัยที่ใหนซักที่ ถูกๆ มีห้องน้ำรวมคือทะเล
ประเทศที่ ใช้พลังงาน นิวเคลียร์ ก็เหมือน ถ่ายอุจาระใส่ถุง แล้วทิ้งลงห้องน้ำรวมไม่ได้
มีไม่กี่ทางเลือก คือ เอาถุงวางในห้อง แอบเอาถุงไปวางที่ห้องข้างๆ
คร้ันจะเอาไปทิ้งขยะด้านนอก (ยิงขึ้น อวกาศ) ก็มี % ระเบิด กลางอากาศ ตายหมู่ทั้งโลก
ไม่สะอาดนะครับ นิวเคลียร์ หน่ะ
ก็ถึงต้องมีทำที่เก็บยูเรเนียมหมดสภาพใต้ดินไงครับ หรือถ้ามีเทคโนโลยีที่ดีพอก็อาจจะสกัดเอายูเรเนียมออกมาใส่แกนใหม่เอาไปใช้กับโรงไฟฟ้าได้อีก เอาไปทำผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้ยูเรเนียม ใช้สารเคมีย่อยสลายและทำลายยูเรเนียมทิ้งเป็นเศษโลหะเอาไป Recycle หรือเอาไปใช้กับโรงไฟฟ้าพลังงานต่ำก็ยังได้ เพราะแม้จะหมดก็ยังมีกัมมันตภาพรังสีที่อาจใช้ประโยชน์ด้านอื่นได้นะ
อีกอย่าง ถ้ามีวิธีการกำจัดที่ดีพอและมีแผนความปลอดภัยที่รัดกุม เคร่งครัด มันก็ใช้งานได้ปลอดภัยหมดหละครับ
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ขอแบบ Nissan Note ดีกว่า และก็เพิ่มเสียบชาร์ทข้างนอกได้ก็พอ
Hybrid ดูซับซ้อนเกิน ซ่อมบำรุงลำบาก
ผมยังสงสัยประเด็นเรื่องรักษ์โลกนะครับ ว่ามันดีกว่าขนาดไหน เพราะอย่าลืมว่าแบตเตอรี่ในปัจจุบันเนี่ย กว่าจะผลิตได้มันก่อมลพิษไม่น้อยนะครับ แถมขั้นตอนการกำจัด การรีไซเคิลก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้แบบหมดจดไม่เหลือสารพิษซะหน่อย, ในส่วนของโรงไฟฟ้า ตอนนี้ก็ไม่ได้มีมากเพียงพอ ถ้าฮิตรถไฟฟ้ามากๆ ก็ต้องสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่ม และส่วนมากก็ยังต้องใช้ถ่านหินอยู่ ซึ่งก็ก่อมลพิษอยู่ดี (แค่ว่าการกำจัดมลพิษดีกว่าการปล่อยออกจากท่อไอเสียโดยตรง) โดยรวมๆผมว่าในปัจจุบันระบบไฮบริดน่าจะเป็นทางเลือกที่รักษ์โลกมากกว่าซะอีก ตราบใดที่เรายังหาวิธีการผลิตไฟฟ้าเป็นปริมาณมากๆและเซลไฟฟ้าที่ดีมากๆได้โดยที่ทำลายสิ่งแวดล้อมแค่เพียงเล็กน้อยไม่ได้
เคยอ่านรายงานว่า carbon footprint เริ่มต้นสูงมากครับ ต้องใช้เป็นประจำ 7-10 ปี carbon footprint ถึงจะได้พอๆกับ ICE
แต่ EV ถ้าใช้เป็นประจำแล้วระยะยาวช่วยลดได้จริงครับ เพราะอายุการใช้งานนานกว่า เครื่องยนต์ไม่สึกหรอแบบ ICE
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
Hybrid คนก็ไม่อยากใช้เท่าไรครับ ราคาขายต่อแย่ ปัญหาเยอะ สู้ใช้น้ำมันล้วนดีกว่า
ถ้ากฏหมายไม่ออกมาบังคับ คนส่วนใหญ่ก็ไม่รักโลกเท่าไรหรอกครับ รักเงินในประเป๋ามากกว่า
รถไฟฟ้ามันดี แต่ต้องทำให้ได้ในระดับเดียวกับ Tesla คนถึงจะอยากใช้ ถ้าทำได้แค่ Note คนก็ไม่ใช้อยู่ดี