Apple รับทราบถึงปัญหาการชาร์จแบบไร้สายของ iPhone 15 ซีรี่ส์กับรถ BMW และสัญญาว่าจะทำการแก้ไขภายในปีนี้
จากบันทึกภายในที่ส่งให้กับบรรดาผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตของ Apple นั้น Apple ระบุว่าการชาร์จไร้สายของ iPhone 15, iPhone 15 Plus, iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ในรถ BMW และ Toyota Supra รุ่นล่าสุดบางรุ่น อาจส่งผลให้โทรศัพท์รุ่นดังกล่าวปิดการใช้งาน NFC ชั่วคราว ซึ่งเกิดขึ้นในสัดส่วนที่น้อยมาก ๆ แต่ในบันทึกไม่ได้ระบุสาเหตุแต่อย่างใด
สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้ใช้งานรถ BMW บางรายพบปัญหาชิป NFC ของ iPhone 15 ไม่ทำงานหลังจากนำไปชาร์จด้วยแท่นชาร์จไร้สายบนรถยนต์ BMW หลายคนบอก iPhone กลายเป็นหน้าจอสีขาวและเข้าสู่โหมดการกู้คืนข้อมูลและหลังจากนั้นชิป NFC ก็หยุดทำงานหลังจากเครื่องรีบูต
ชิป NFC บน iPhone สามารถใช้งานร่วมกับฟีเจอร์ Apple Pay และ Digital Car Key แต่เมื่อเครื่องเกิดปัญหาหน้าจอจะขึ้นข้อความเตือน “ไม่สามารถตั้งค่า Apple Pay” ในแอป Wallet ซึ่งผู้ใช้งานบอกว่า Apple เปลี่ยนเครื่อง iPhone ให้ใหม่หลังจากยืนยันว่าชิป NFC เกิดปัญหา แต่เครื่องที่เปลี่ยนก็เสี่ยงเจอปัญหาเดียวกัน
BMW ใช้ระบบ subscription คิดค่าบริการรายเดือนในการเปิดใช้ฟีเจอร์ซอฟต์แวร์มาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อปีที่แล้ว BMW ขยายการคิดเงินมาส่วนของอุปกรณ์ในรถด้วยโดยเริ่มที่ระบบอุ่นที่นั่ง (heated seat) ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงในกลุ่มผู้ใช้งาน BMW พอสมควร
ล่าสุด Autocar ได้สัมภาษณ์ Pieter Nota ผู้บริหารส่วนฝ่ายขายและการตลาด บอกว่าจากนี้ BMW จะขยายบริการ Subscription ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมสำหรับฟีเจอร์ด้านซอฟต์แวร์เท่านั้น เช่น ระบบช่วยขับขี่ ระบบช่วยจอดรถ ซึ่งซอฟต์แวร์เหล่านี้จะได้รับการอัพเดตต่อเนื่อง โดยส่วนที่เกี่ยวกับอุปกรณ์ในรถจะไม่เก็บเงินเพิ่มเติม
BMW ประกาศข่าวเตรียมลงทุนเพื่อเพิ่มการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกาด้วยเงิน 1.7 พันล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นการลงทุนเพื่อขยายโรงงานเดิมที่ Spartanburg ในรัฐ South Carolina เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเงิน 1 พันล้านดอลลาร์ และอีก 700 ล้านดอลลาร์เป็นการลงทุนระบบไฟฟ้าแรงสูงในพื้นที่ใกล้โรงงาน
สำหรับโรงงานที่ Spartanburg นั้นเป็นฐานการผลิตรถรตระกูล X อยู่ก่อนแล้ว โดย BMW ตั้งใจจะใช้ที่นี่เป็นฐานการผลิตหลักของรถยนต์ไฟฟ้าด้วย ทั้งนี้ Oliver Zipse ประธานบริหารของ BMW ประจำประเทศสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าบริษัทตั้งเป้าจะออกรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 6 รุ่นภายในปี 2030
Pieter Nota ผู้บริหารฝายขายของ BMW ให้สัมภาณ์แก่ Nikei Asia ว่า BMW ตั้งเป้าจะผลิตรถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงที่ร่วมกันพัฒนากับ Toyota ให้ได้ภายในปี 2025
BMW และ Toyota นั้นมีสัมพันธ์อันดีและได้ร่วมกันพัฒนายานยนต์มาตั้งแต่ปี 2013 ที่โดดเด่นก็คือการออกรถรุ่น BMW Z4 (G29) และ Toyota Supra (J29/DB) ซึ่งเป็นรถ 2 รุ่นจาก 2 ค่ายที่มีการใช้ชิ้นส่วนร่วมกันและพัฒนาบนแพลตฟอร์มเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกันด้านเทคโนโลยีเครื่องยนต์พลังงานสะอาดด้วย
BMW เริ่มให้คิดค่าใช้ระบบอุ่นที่นั่ง (heated seat) ในรถยนต์หลายรุ่น โดยคิดค่าบริการรายเดือน เดือนละ 18 ดอลลาร์ หรือประมาณ 600 บาท แต่ยังมีตัวเลือกให้ซื้อฟีเจอร์ถาวรอยู่ที่ 415 ดอลลาร์ หรือประมาณ 15,000 บาท
เว็บข่าวสายรถยนต์ The Drive ชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดรุ่นใหม่ๆ โดยเฉพาะจากฝั่งยุโรป เช่น BMW, Volvo, Audi, Porsche (รวมถึง Tesla รุ่นหลังปี 2018) เริ่มไม่ใส่ตัวรับสัญญาณวิทยุแบบ AM เข้ามาให้แล้ว
เหตุผลที่ตัดวิทยุ AM นั้นแตกต่างกันไป โดย The Drive อ้างคำตอบจาก BMW และ Volvo ว่าเป็นเพราะคลื่นวิทยุ AM เจอปัญหาคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ารบกวนจากเครื่องยนต์ของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้คุณภาพเสียงแย่ลงจนถึงระดับที่ต้องตัดออกไป
อย่างไรก็ตาม The Drive ชี้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าฝั่งอเมริกา เช่น Ford, GM, Stellantis (Chrysler เดิม) กลับไม่มีปัญหานี้ รถยนต์ส่วนใหญ่ยังมีตัวรับวิทยุ AM มาให้ และผู้ใช้งานหลายรายก็ยืนยันว่าคุณภาพเสียงไม่มีปัญหา
BMW Group ประกาศขยายการใช้ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ที่ผนวกเอาระบบปฏิบัติการ Android Automotive OS (AAOS) ของกูเกิล มาใช้งานในรถยนต์หลายรุ่นมากขึ้น โดยจะเริ่มมีผลในเดือนมีนาคม 2023
เดิมทีระบบปฏิบัติการของ BMW อิงมาจากลินุกซ์เวอร์ชันคัสตอมเองเป็นหลัก ซึ่งจะยังใช้งานต่อไป แต่ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนว่ารถรุ่นไหนจะได้ AAOS หรือลินุกซ์กันแน่ ตัวแทนของ BMW ให้ข้อมูลเรื่องการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า BMW เลือกซอฟต์แวร์ที่เหมาะกับโซลูชันนั้นๆ มากที่สุดมาใช้งานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นซอฟต์แวร์ของตัวเอง โอเพนซอร์ส หรือจากพาร์ทเนอร์รายอื่น
BMW แจ้งอย่างเป็นทางการว่า ผู้ซื้อ BMW ที่ผลิตในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2022 จะไม่สามารถใช้งาน Android Auto และ Apple CarPlay ได้ เนื่องจากบริษัทประสบปัญหาชิปขาดแคลน จนต้องเปลี่ยนซัพพลายเออร์ แต่ชิปที่ได้มากลับไม่รองรับ Android Auto และ Apple CarPlay ในตอนนี้
ถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2020 ที่รถยนต์ของ BMW ไม่สามารถใช้สองฟีเจอร์ดังกล่าวได้ และการทำแบบนี้ BMW ยืนยันว่า ต้องการส่งมอบรถยนต์ให้ลูกค้าตามที่แจ้งไว้ โดยรถยนต์ที่ใช้ชิปดังกล่าวจะมีรหัสการผลิต 6P1 และส่งออกไปที่สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, อิตาลี, สเปน และสหราชอาณาจักร
BMW สาธิตเทคโนโลยีสีรถยนต์ในงาน CES 2022 ซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนสีรถยนต์ได้ โดยรุ่นที่นำมาพัฒนาคือ BMW iX
เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนสีได้เองคือ E-Ink ซึ่งมีใช้มาก่อนหน้านี้แล้วใน Kindle รุ่นจอขาวดำ หรือในนาฬิกา Pebble โดยตัวบอดี้ของรถยนต์จะประกอบด้วยไมโครแคปซูลเท่าเส้นผมของ E-Ink จำนวนมาก ที่สามารถสลับการให้สีระหว่างขาวกับดำได้ และยังสามารถปรับระดับขาว-ดำ เพื่อให้ได้เฉดสีเทาที่ต้องการ ฉะนั้นตัวเลือกสีในตอนนี้จึงจำกัดเพียง ขาว ดำ และเทา
BMW บอกว่าเทคโนโลยีนี้เป็นรถยนต์ต้นแบบเท่านั้น ยังไม่มีแผนนำมาผลิตขายจริงเร็ว ๆ นี้ โดยสีขาว-ดำ ของรถยนต์นั้น เมื่อสลับไปมาก็ช่วยได้ในเรื่องการเก็บ-สะท้อนความร้อน เวลาขับรถยนต์ในสภาพอากาศที่ร้อน-หนาว
Google โฆษณาไว้ก่อนหน้านี้ว่า Android 12 จะมีฟีเจอร์กุญแจรถดิจิทัล (digital car key) ให้ใช้ปลดล็อกรถยนต์รุ่นที่รองรับได้ และวันนี้ก็เริ่มปล่อยอัพเดตฟีเจอร์นี้ให้ Pixel 6, Pixel 6 Pro และ Galaxy S21 ในบางประเทศแล้ว เบื้องต้นใช้ได้กับรถ BMW รุ่นที่รองรับ (ไม่ได้ระบุว่ารุ่นใดบ้าง)
นอกจากนี้ยังเพิ่มฟีเจอร์ auto launch ให้รัน Android Auto อัตโนมัติเมื่อต่อมือถือเข้ากับรถที่รองรับ ปรับปรุง UI ของ Android Auto ให้เปิดเพลงและทำการค้นหาด้วยเสียงได้ง่ายขึ้น และในอนาคตจะปล่อยฟีเจอร์ Smart Reply ให้ตอบข้อความได้โดยใช้ Google Assistant
BMW เริ่มปล่อยอัพเดตให้ใช้งาน Android Auto แล้ว โดยเลื่อนมาจากที่สัญญาไว้ว่าจะมาเดือน ก.ค. 2020 เล็กน้อย
อัพเดตครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของ BMW Operating System 7 (เลขเวอร์ชันคือ 7/20) ครอบคลุมฟีเจอร์ใหม่อื่นๆ อย่าง BMW Maps, Connected Charging, eDrive Zones ด้วย
ลูกค้ากลุ่มแรกที่จะได้อัพเดตนี้คือประเทศแม่อย่างเยอรมนี จะเริ่มอัพเดตแบบ over-the-air ในวันที่ 19 ตุลาคม จากนั้นจะเป็นคิวของยุโรป สหรัฐอเมริกา แคนาดา และจีน แล้วจึงเป็นประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
NVIDA ประกาศความร่วมมือกับ BMW ในการนำแพลตฟอร์ม ISAAC พัฒนาหุ่นยนต์ในสายการผลิตให้รองรับกระบวนการผลิตที่ซับซ้อน รองรับตัวเลือกสำหรับรถยนต์ที่ลูกค้าสั่งได้มากขึ้น
แพลตฟอร์ม ISAAC เป็นแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาปัญญาประดิษฐ์หุ่ยนต์โดยเฉพาะ โดยมีสองส่วนคือส่วน SDK และซอฟต์แวร์จำลองโลกจริง ที่สามารถสร้างโรงงานจำลองเพื่อฝึกปัญญาประดิษฐ์ให้ควบคุมหุ่นยนต์ให้ทำตามงานที่กำหนด
ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันนี้บัญชีทวิตเตอร์ของ BMW ได้ทวีตเลขแปลกๆ มาตลอด เริ่มที่ 499,820 เรื่อยมา สร้างความสงสัยให้ผู้ติดตามว่า BMW กำลังจะทำอะไร
ล่าสุดเลขนั้นนับมาจนถึง 500,000 แล้วพร้อมกับการประกาศว่าขณะนี้ขายรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดใต้กลุ่มบริษัท BMW ได้ 500,000 คัน โดยระบุว่าขายได้หนึ่งคันทุกสี่นาที รวมถึงประกาศเป้าหมายถัดไปคือจะขายให้ได้หนึ่งล้านคันภายในสิ้นปี 2021 หรือราวสองปีจากนี้
BMW Innovation Lab ปล่อยซอร์สโค้ดระบบช่วยจัดการปัญญาประดิษฐ์ในองค์กรโดยควบคุมการฝึกโมเดลได้ผ่านทางหน้าเว็บทั้งหมด ไม่ต้องลงไปเขียนโค้ดเอง
โมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่โครงการรองรับ มีเฉพาะปัญหากลุ่มการตรวจจับวัตถุ (object detection) เท่านั้น โดยผู้ใช้สามารถเตรียมชุดข้อมูลไว้ล่วงหน้า จากนั้นคอนฟิกการฝึก เช่นจำนวนรอบฝึก, การแบ่งชุดข้อมูลทดสอบ จากหน้าเว็บแล้วสั่งฝึกโมเดลได้ทันที
การทดลองใช้โมเดลเปิดเป็น REST API ให้พร้อม GUI สำหรับทดสอบทางหน้าเว็บเช่นกัน
BMW ประกาศรองรับ Android Auto อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากรองรับแต่ Apple CarPlay เพียงอย่างเดียวมาหลายปี
ถึงมาช้าแต่มาทีเดียวแบบจัดเต็ม เพราะ BMW รองรับการเชื่อมต่อ Android Auto แบบไร้สาย แถมยังแสดงผลข้อมูลจาก Android บนหน้าจอทุกอย่างในรถ ไม่ว่าจะเป็นจอภาพหลัก Control Display และจอภาพของผู้ขับขี่คือ Info Display กับ Head-Up Display ด้วย
BMW ระบุว่าจะเริ่มเปิดใช้งาน Android Auto ในเดือนกรกฎาคม 2020 เป็นต้นไป ในรถยนต์ทุกรุ่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7.0
เมื่อต้นปีนี้ Toyota เป็นค่ายรถใหญ่อีกค่ายที่ประกาศรองรับ Android Auto เช่นกัน
จากข่าว BMW จะเริ่มคิดเงินค่าใช้งาน CarPlay ปีละ 80 ดอลลาร์ ล่าสุด BMW เปลี่ยนใจแล้ว ไม่คิดค่าใช้งาน CarPlay อย่างที่เคยประกาศไว้
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขของ BMW แตกต่างกันตามแต่ละประเทศ
BMW USA ประกาศคิดค่าใช้งาน Apple CarPlay ในราคาปีละ 80 ดอลลาร์ (2,500 บาท) หรือจ่ายเหมาทีเดียว 20 ปีที่ราคา 300 ดอลลาร์ (9,300 บาท)
การเปลี่ยนแปลงนี้จะมีผลเฉพาะรถยนต์ใหม่รุ่นปี 2019 เป็นต้นไป และประกาศนี้ยังจำกัดเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาเท่านั้น โดย BMW จะเว้นค่าธรรมเนียมสมาชิกให้ฟรีในปีแรกหลังซื้อรถ
ปัจจุบัน BMW ยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน CarPlay เพียงอย่างเดียว ยังไม่มี Google Android Auto หรือการเชื่อมกับ Amazon Alexa
BMW ประกาศร่วมมือกับ Tencent เพื่อเปิดตัวแพลตฟอร์มสำหรับพัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติเพื่อกลุ่มลูกค้าคนจีน โดยแพลตฟอร์มใหม่นี้จะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีให้เหมาะสมกับสภาพการขับขี่ในจีน
Jochen Goller ประธานและซีอีโอ BMW ในจีนระบุว่า จีนถือเป็นแถวหน้าของการพัฒนาการขับเคลื่อนอัตโนมัติ และ BMW อยากจะเป็นผู้บุกเบิกในส่วนนี้ การร่วมมือระหว่าง BMW และ Tencent จะเป็นการตั้งเกณฑ์มาตรฐานของการร่วมมือกันระหว่างอุตสาหกรรม
BMW ประกาศปิดบริการแชร์รถ ReachNow ที่เปิดตัวในปี 2016 ซึ่งเปิดบริการเฉพาะบางเมืองในสหรัฐอเมริกา (ซีแอทเทิล พอร์ตแลนด์ บรุคลิน)
ประกาศนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะเป็นผลจาก ดีลยักษ์ใหญ่มูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ที่ BMW เซ็นกับคู่แข่งร่วมชาติ Daimler AG บริษัทแม่ของ Mercedes-Benz เพื่อตั้งบริษัทร่วมทุนเกี่ยวกับรถยนต์ในอนาคตร่วมกัน
บริการแชร์รถยนต์ ReachNow จะถูกปิด เพื่อหลีกทางให้กับบริการลักษณะเดียวกันชื่อ Share Now ซึ่งเกิดจากการควบรวมระหว่าง car2go ของ Daimler และ DriveNow ของ BMW เข้าด้วยกัน โดย BMW แนะนำให้ลูกค้า ReachNow ย้ายไปใช้ car2go แทน
Mini เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ก้าวเข้าสู่ยุคของรถยนต์ไฟฟ้ากับเขาแล้ว โดยการเปิดตัว Mini Cooper SE รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกของบริษัท หลังเคยออกรถต้นแบบมาเป็นน้ำจิ้มเมื่อปี 2017
การออกแบบภายนอกยังคงความเป็น Mini อยู่มาก แต่ใช้สีเหลืองสดใสตามชิ้นส่วนรอบรถเช่นหน้ากระจัง, กรอบกระจกมองข้าง, ขอบล้อแม็ก ฯลฯ เพื่อแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่รถ Mini ธรรมดา
รถยนต์ไฟฟ้านั้นขึ้นชื่อเรื่องความเงียบ ซึ่งบางทีอาจเป็นข้อเสียที่คนรอบๆ รถอาจไม่ทันระวังตัว หรือคนขับขับไม่สนุกเท่ารถยนต์สันดาปภายในเพราะไม่มีเสียงให้เร้าใจ
ประเด็นเหล่านี้อาจหมดไปในรถยนต์ไฟฟ้า BMW ยุคหน้า เพราะ Hans Zimmer นักแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์ชื่อดังได้เข้ามาออกแบบเสียงสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าให้ BMW แล้ว โดยเขาจะทำงานร่วมกับ Renzo Vitale นักเปียโน, วิศวกรเสียงและนักออกแบบเสียงชาวอิตาเลียนที่ทำงานให้ BMW อยู่ก่อนแล้ว
Zimmer ระบุว่าเขาชอบรถ BMW มาตลอด ในสมัยเด็กเขารู้ทันทีว่าแม่กลับมาถึงบ้านแล้วเมื่อได้ยินเสียงรถ BMW ขับเข้ามา ซึ่งเขารู้สึกตื่นเต้นมากที่จะได้ออกแบบเสียงของรถยนต์ไฟฟ้าในยุคหน้า
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา BMW จัดงาน NEXTGen ที่มิวนิค เผยแผนในอนาคตว่าจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า 25 รุ่นภายในปี 2023 เช่นรถซีดานไฟฟ้า BMW i4, รถ SUV ไฟฟ้า BMW iX3 ฯลฯ
อย่างไรก็ตามที่งานเดียวกันนี้ Klaus Frölich ผู้บริหารระดับสูงด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลับให้สัมภาษณ์กับสื่อในทิศทางตรงกันข้ามว่าไม่มีลูกค้าคนไหนอยากได้รถยนต์ไฟฟ้าล้วน หากแต่เป็นภาครัฐต่างหากที่อยากให้มี
"หากเราได้รับข้อเสนอใหญ่ๆ และสิ่งจูงใจดีๆ (เช่นเงินชดเชย) เราสามารถทำให้ยุโรปเต็มไปด้วยรถยนต์ไฟฟ้าเป็นล้านคัน แต่ชาวยุโรปคงไม่ซื้อใช้หรอก" เขากล่าวเสริม
ไมโครซอฟท์ประกาศความร่วมมือกับ BMW ตั้งกลุ่ม Open Manufacturing Platform (OMP) เพื่อนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหาอุตสาหกรรมการผลิต ที่เดิมที่ใช้เทคโนโลยีเก่า ล้าสมัย ซับซ้อน และเป็นระบบปิดของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
OMP เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นจากแพลตฟอร์ม IoT ของ Azure โดยเปิดซอร์สชิ้นส่วนต่างๆ และโมเดลข้อมูล (data model) เพื่อให้หน่วยงานอื่นเข้ามาใช้ได้ และสร้างเป็นมาตรฐานกลางของอุตสาหกรรม เพื่อลดค่าใช้จ่ายในภาพรวมลง
BMW ถือเป็นลูกค้ารายแรกของแพลตฟอร์ม OMP โดยมีระบบเครื่องจักรและหุ่นยนต์ภายในกว่า 3,000 ระบบอยู่ภายใต้แพลตฟอร์ม IoT ตัวนี้ ซึ่งก็จะถ่ายทอดประสบการณ์สร้างโซลูชันให้กับสมาชิกรายอื่นๆ ด้วย
ถึงแม้จะเป็นแบรนด์คู่แข่งโดยตรงกันมานาน แต่เมื่อสภาพตลาดเปลี่ยนแปลง เราจึงเห็นผู้ผลิตรถยนต์ฝั่งเยอรมนีคือ BMW ประกาศจับมือกับ Daimler (บริษัทแม่ของ Mercedes Benz) พัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับร่วมกัน และตั้งบริษัทร่วมทุนถึง 5 บริษัท เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีด้านรถยนต์ไร้คนขับ รถยนต์ไฟฟ้า และการขนส่ง มูลค่ารวม 1 พันล้านยูโร
บริษัทร่วมทุน 5 แห่งนี้ประกอบไปด้วย