ในงาน WWDC ที่ผ่านมา นอกจากการประกาศฮาร์ดแวร์หลายตัว ระบบปฎิบัติการ iPadOS และ iOS13 แล้ว ยังมีฟีเจอร์หนึ่งที่ได้รับความสนใจพอสมควรคือฟีเจอร์ Find My ที่แอปเปิลระบุว่าจะสามารถค้นหาตำแหน่งอุปกรณ์ได้ แม้ไม่ได้ออนไลน์ก็ตามที
ข้อมูลของโปรโตคอล Find My ยังไม่มากนัก โดยในงานแอปเปิลบอกเพียงว่าตัวแอปจะรักษาความเป็นส่วนตัวผู้ใช้อย่างเต็มที่แต่ไม่ได้บอกข้อมูลเพิ่มเติมนัก ทาง WIRED ได้สัมภาษณ์ Craig Federighi เพิ่มเติมถึงโปรโตคอลของ Find My ทำให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น
โปรโตคอล Find My มีเป้าหมายสองอย่าง คือการให้อุปกรณ์แอปเปิลสามารถช่วยแจ้งตำแหน่งของอุปกรณ์รอบข้างกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์แอปเปิลได้ ขณะเดียวกันก็ต้องการปิดบังการระบุตัวอุปกรณ์ (identification) เพื่อป้องกันการติดตามผู้ใช้ผ่านทางโปรโตคอลนี้ โดยที่ผ่านมาแอปเปิลมีแนวทางป้องกันผู้ใช้จากบรรดาบริษัททำการตลาดด้วยข้อมูลการเคลื่อนที่
ย้อนความเดิม การค้นหาอุปกรณ์ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น Find My iPhone, Google Find My Device, หรือการแจ้งตำแหน่งผ่านทางแอปแชตต่างๆ กระบวนการเดิมนั้นตรงไปตรงมาคือตัวอุปกรณ์หาตำแหน่งของตัวเองด้วย GPS หรือกระบวนการอื่นเช่น Wi-Fi
ใน Find My อุปกรณ์ทุกตัวจะสร้างคู่กุญแจสาธารณะ-กุญแจลับ ขึ้นมาสำหรับการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล โดยเริ่มต้นอุปกรณ์ที่มีเจ้าของเดียวกัน จะแลกกุญแจทั้งกุญแจสาธารณะและกุญแจลับ ทำให้แต่ละอุปกรณ์มีคู่กุญแจของอุปกรณ์อื่นๆ ด้วย กรณีนี้สมมติให้ เครื่อง A หาย และเราจะใช้เครื่อง B ตามหา โดยทั้งคู่แลกกุญแจกันและกัน
เมื่ออุปกรณ์ต้องการแจ้งตำแหน่งของตัวเองไปยังเจ้าของ อุปกรณ์จะกระจาย (broadcast) กุญแจสาธารณะของตัวเองออกไปรอบๆ ตัว ทำให้อุปกรณ์รอบข้างได้รับกุญแจสาธารณะของอุปกรณ์ A
เมื่อมีอุปกรณ์แอปเปิลอื่นได้รับข้อมูลกุญแจสาธารณะผ่าน Bluetooth อุปกรณ์ตัวอื่นที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จะนำกุญแจสาธารณะที่ได้รับมา เข้ารหัสพิกัดปัจจุบันของตัวเอง แล้วส่งขึ้นเซิร์ฟเวอร์แอปเปิลให้ เช่น เครื่อง C ผ่านมาใกล้ๆ และเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต จึงส่งข้อมูลขึ้นเซิร์ฟเวอร์ให้ โดยพิกัดนี้จะเข้ารหัสด้วยกุญแจสาธารณะ A
ข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์แอปเปิลจะอ่านได้เฉพาะผู้ที่มีกุญแจลับที่ตรงคู่กันเท่านั้น เจ้าของอุปกรณ์ที่กำลังตามหาอุปกรณ์ที่หายไป ต้องใช้อุปกรณ์อื่นที่แลกกุญแจกันไว้ก่อนแล้ว โดยอุปกรณ์ B มีกุญแจ A อยู่ภายใน ก็สามารถใช้กุญแจสาธารณะ A ไปค้นหาบนเซิร์ฟเวอร์แอปเปิลได้ ว่ามีพิกัดอยู่บนเซิร์ฟเวอร์หรือไม่ เมื่อพบพิกัด จะต้องใช้กุญแจลับ A ในการถอดรหัสกุญแจออกมา
แอปเปิลออกแบบโดยป้องกันการติดตามตัวด้วยการออกแบบระบบการเปลี่ยนกุญแจ (re-key) โดยกุญแจสาธารณะจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละห้วงเวลา ทั้งนี้เมื่ออุปกรณ์ทุกตัวที่มีเจ้าของเดียวกันได้ซิงก์กุญแจเริ่มต้นพร้อมกัน ก็จะเปลี่ยนกุญแจได้ตรงกันไปด้วย กระบวนการนี้ทำให้แม้จะมีคนพยายามฟังการ broadcast กุญแจนี้ก็สามารถติดตามตัวผู้ใช้ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ แอปเปิลไม่ได้ระบุชัดว่าช่วงเวลาที่จะเปลี่ยนกุญแจแต่ละครั้งจะใช้เวลานานแค่ไหน โดยการเปลี่ยนกุญแจถี่ขึ้นก็จะทำให้ติดตามตัวผู้ใช้ได้น้อยลง แต่กระบวนการค้นหาตำแหน่งก็ต้องค้นหาตำแหน่งด้วยกุญแจสาธารณะหลายชุด
Mathew Green นักวิทยาการเข้ารหัสลับระบุว่าโดยตัวโปรโตคอลหลักๆ แล้วก็มีความเป็นไปได้ที่แอปเปิลจะสามารถเปิดทางให้ผู้คนค้นหาอุปกรณ์โดยไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตไปพร้อมๆ กับการรักษาความเป็นส่วนตัว แต่ก็ต้องระวังความผิดพลาดในการอิมพลีเมนต์ที่อาจจะมีรายละเอียดซับซ้อน
Comments
ระบบปฎิบัติการ => ระบบปฏิบัติการ
ไปยังเข้าของ ?
ทำไห้ => ทำให้
อ่านๆดูแล้วเหมือนว่าต่อให้ปิดเครื่อง Bluetooth ก็ยังจะทำงานอยู่สินะ
ยิ่งมี Bluetooth Low Energy (BLE) อยู่แล้ว น่าจะอยู่ได้นาน
ไม่น่าทำงานนะครับ มันเป็นการต่อยอดจาก AirDrop ซึ่งก็น่าจะเหมือนๆ กัน
แต่ iPhone รุ่นใหม่อาจมี Bluetooth ชุดที่สองที่ปิดไม่ได้แล้วมีหน้าที่อันนี้อย่างเดียวเลยก็ได้
อยู่ในโหมดเครื่องบินล่ะ จะเป็นยังไง?
ถ้าแบบนี้ ต่อให้ปิดทุกอย่างหรือแม้แต่เปิดโหมด Airplane ก็ยังสามารถจัดตำแหน่งได้ แบบนี้จะกินแบตเครรื่องตลอดเวลาเลยนะสิ
ปล. ผมสงสัยว่า bluetooth สามารถจับหรือระบุตำแหน่งระยะไกลโดยไม่ต้องพึ่งอินเตอร์เน็ตได้นานแล้วหรือเปล่าครับ (ประมาณว่า Apple ส่งข้อมูลจำเพาะของอุปกรณ์ > โครงข่ายอินเตอร์เน็ต > โครงข่ายมือถือ > อุปกรณ์รับสัญญาณ > ถอดรหัสอุปกรณ์จากสัญญาณ Bluetooth/GPS > ส่งกลับ Apple)
แล้วระหว่าง GPS กับ Bluetooth ที่มักจะใช้จับตำแหน่ง อันไหนจะใช้พลังงานน้อยกว่าครับ ถ้ามาใช้กับ Find my หรือระบบที่ใกล้เคียงกันในการติดตาม/ตามหาอุปกรณ์ ถ้าสามารถใช้งานได้แม้ปิดเครื่องทั้งคู่
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
bluetooth ปัจจุบันพัฒนามาให้ใช้พลังงานน้อยมากๆครับ เปิดเชื่อมต่อ smartwatch ตลอดเวลาก็ไม่ได้รู้สึกว่าแบตหมดเร็วกว่าปิดไว้ แต่ GPS นี่ตัวกินแบตเลยนะ
เสริมนิดนึง Bluetooth ที่ใช้พลังงานน้อยมากๆ นั่นคือทำงานในโหมด Bluetooth LE (Low Energy) ครับ ถ้าใช้โหมดแรงก็กินพลังงานมากกว่านั้นหลายเท่าอยู่ (แต่ก็ไม่ได้มากจัดนัก)
ส่วน GPS ก็ไม่ได้กินแบตแรงขนาดนั้นครับ ขนาด Garmin Forerunner 235 ที่มีแบตแค่ 240 mAh ยังบันทึก GPS realtime ได้เป็นสิบชั่วโมงเลย
ทั้งสองตัวนี่เปิดกับปิดนี่ในการใช้งานปกติผมแทบไม่รู้สึกว่ากินแบตต่างกันเลยครับโดยเฉพาะ Bluetooth แต่ถ้าใช้งานน้อย standby เยอะมากๆ นี่ GPS ก็คงทำให้ต่างได้อยู่บ้าง
คือสมัยนี้ยังห่วงเรื่อง Bluetooth กินแบตอีกเหรอ
ครั้งสุดท้ายที่ต้องคอยเปิดคอยปิดเมื่อใช้งานเสร็จ คือ สมัย โนเกียซิมเบี้ยนนู่นนนน
ตั้งแต่ใช้ iPhone android มา ไม่เคยปิดเลยนะ ขึ้นรถปุ๊บมันก็ต้องเชื่อมต่อละ
ประเด็นคือการใช้ Find My จำต้องมีอุปกรณ์แอปเปิ้ลมากกว่า 1 ชิ้นขึ้นไปรึเปล่าเพื่อจับคู่ในการถอดรหัส
นั่นสิครับ แล้วผ่านหน้าเว็บได้มั้ย
+1 ถ้าจำเป็นก็บ้ายบายครับ
ผมมีมือมือ adroid แต่มี macbookที่หาย แบบนี้จะหาเจอไหม หรือ ต้องพึ่งคนแถวบ้านเอาไอโฟนมาหา
เข้าเว็บ Icloud แล้วหาได้ครับ
https://www.icloud.com/?p=6
กรณีตามกระทู้นี้ ต้องแลกคีย์ระหว่างอุปกรณ์ที่จะเอาไว้หาอีกตัวไว้ล่วงหน้าก่อน เพื่อจะเปิดเอาพิกัดมาตามหาอีกทีครับ
ตอนนี้เรายังไม่เห็นรายละเอียดว่าอุปกรณ์แบบไหนใช้ตามหาแบบ offline ได้บ้างครับ ถ้าหาแบบออนไลน์ก็แบบเดิมๆ เปิดเว็บเอานี่ล่ะ
lewcpe.com, @wasonliw
ถ้าเข้าเว็บแล้วเอากุญแจที่ไหนหรือครับ? หรือการแลกกุญแจลับที่ว่านี่คือทิ้งกุญแจลับไว้บน cloud ด้วย?
ทำอย่างกับ Blockchain
ผมก็ว่าแบบนั้นเหมือนกัน
อย่างน้อย ก็อาจจะทำให้เรารู้ได้ว่ามีอุปกรณ์หายอยู่แถวนี้ได้ถ้าไม่มีคน
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
ถ้าเราตั้ง icloud ล็อค 2 ชั้น เราจะทำยังไงล่ะ? ในเมื่อเราต้องเอารหัสยืนยัน 6 ตัวก่อนเสมอ อธิบายทีครับ
ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะในปัจจุบันกรณีใช้แค่ Find my phone ไม่ต้องยืนยัน two factor ถึงแม้บัญชีนั้นจะเปิด two factor ไว้ก็ตาม แต่ระบบใหม่ผมไม่รู้นะครับ
สงสัยต่อไปโจรจะพกถุงฟอยล์