แอปเปิลประกาศบริจาคหน้ากากอนามัย N95 จำนวนหลายล้านชิ้น ให้กับผู้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพทั้งในอเมริกาและยุโรป เพื่อต่อสู้กับการระบาดของ COVID-19
Mike Pence รองประธานาธิบดีสหรัฐ ออกมาแถลงถึงความช่วยเหลือนี้ โดยระบุว่าแอปเปิลบริจาคหน้ากาก N95 เป็นจำนวน 2 ล้านชิ้น
ก่อนหน้านี้ Jack Ma ผู้ก่อตั้ง Alibaba ก็บริจาคหน้ากากและชุดทดสอบไวรัส ส่วน Elon Musk ก็บอกจะผลิตเครื่องช่วยหายใจ
อัพเดต: จำนวนทั้งหมด 9 ล้านชิ้น (ที่มา)
ที่มา: MacRumors ภาพ Wikimedia
Our teams at Apple have been working to help source supplies for healthcare providers fighting COVID-19. We’re donating millions of masks for health professionals in the US and Europe. To every one of the heroes on the front lines, we thank you.
— Tim Cook (@tim_cook) March 21, 2020
Comments
พออ่านข่าวแล้วคือแบบ นี่ผมนึกไปเองนะ
คือในข่าวเขียนว่าบริจาคเพื่อบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง อ่านถึงตรงนี้ผมสะดุดนิดนึง
ในหัวผมนึกไปว่า เออ หมอพยายาลหรือใคร ๆ เขาก็คงต้องการกันเยอะ และเขาก็คงใส่กันอยู่
แต่คนเดินถนนบ้านเขาเนี่ย ต่อให้มีเหตุการณ์ระดับโลกขนาดนี้ เขายังคิดจะใส่กันรึเปล่า
ผมมีความรู้สึกว่าเขาดูไม่แคร์ หรือสมมติต่อให้ป่วยก็ไม่คิดว่าตัวเองเป็น เป็นแนวคิดที่ประหลาด
พยายามคิดว่าคนส่วนใหญ่เขาคงไม่คิดแบบนี้ แต่ก็ห้ามความคิดแง่ลบของตัวผมเองยากอยู่
หลายประเทศเค้าให้ใส่เฉพาะบุคคลากรทางการแพทย์หรือกลุ่มเสี่ยง ไม่ได้ให้คนทั่วไปที่ไม่ป่วยใส่นะครับ
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ถ้าว่าให้ใส่ N95 กันทั้งเมืองมันก็ดูจะ overkill เกินไป (ซึ่งผมไม่ได้สื่อแบบนั้นอยู่แล้ว)
แต่อย่างหน้ากากบ้าน ๆ เวลาเป็นหวัดอะไรแบบนี้ ต่อให้มองหาก็แทบหาไม่เจอนะครับ
หรืออาจจะส่วนหนึ่งที่ผมมองแค่ผิวเผินไปเอง
ไม่ได้หมายถึง n95 นะครับ หน้ากากเขียว sugical mask นี่แหละครับ เค้าก็ไม่ได้ให้คนไม่ป่วยใส่
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ขอต่อความนิดครับ ผมยังไม่กระจ่าง
หมายความว่า คนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ใส่เหรอครับ เท่าที่อ่านคือตีวามได้แบบนี้
ซึ่งดูไม่ค่อย make sense คือสมมติเป็นหวัด ก็ใส่ไม่ได้เหรอครับ
เป็นหวัดเรียกว่าป่วยนะ
อันนี้ของ USA
https://www.washingtonpost.com/health/2020/02/26/how-to-prepare-for-coronavirus/?arc404=true
https://www.marketwatch.com/story/the-cdc-says-americans-dont-have-to-wear-facemasks-because-of-coronavirus-2020-01-30
ของสิงคโปร์เองก็เช่นกัน Do not wear a mask if you are well
https://www.moh.gov.sg/images/librariesprovider5/wuhan-coronavirus/advisory-on-wearing-mask-eng-ifg-img.jpg
อันนี้มาตรการอื่นๆ ของสิงคโปร์
https://www.moh.gov.sg/covid-19/resources
ใส่หน้ากากป้องกันได้มากกว่าอยู่แล้ว ถ้าใช้อย่างถูกต้อง และทรัพยากรเพียงพอ ผมว่าส่วนหนึ่งคือหน้ากากมันไม่พอ ก็ต้องมีการ priority และใส่ไม่ถูก ไม่ได้ช่วยป้องกัน กลับทำให้คนจับหน้าบ่อยกว่าเดิม
แต่ละประเทศก็มีแนวปฏิบัติต่างกัน ใครถูกผิดก็ตอบยาก สภาพแวดล้อม คน ทรัพยากรก็ต่างกันไป
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
บ้านเรามันมีเรื่องฝุ่น PM2.5 ด้วย มันใส่แล้วหายใจยากไม่จำเป็นก็ไม่ใส่กันหรอกครับ
I need healing.
หน้ากากอนามัย ต้องใช้ และทำลายให้ถูกวิธี ก็จะมีประโยชน์ แต่หากไม่ป่วยแล้วใช้ไม่ถูกวิธี ก็เพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ และแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
โดยปรกติ หากเราใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันโดยเราไม่ป่วย หากมีผู้ติดเชื้อมาพูดคุยกับเราในระยะ 1-2 เมตร แล้วมีสารคัดหลั่งกระเซ็นออกมา มันจะติดบริเวณหน้ากาก ซึ่งมีสารกันซึมกั้นเอาไว้ ทำให้สารคัดหลั่งไม่โดนเนื้อเยื่ออ่อนนุ่มของเรา เช่น ปาก, จมูก แต่ถ้าเข้าตาก็เกมส์เหมือนกัน
แต่ด้วยธรรมชาติของมนุษย์ไม่ว่าป่วยหรือไม่ป่วยมักทำกัน คือ รำคาญหน้ากากอนามันเนื่องจากไม่คุ้นชิน หรือเห็นว่าหน้ากากสวมไม่พอดี ก็มักจะเอามือไปจับหน้ากาก เพื่อขยับ หรือบางทีหายใจไม่สะดวก ก็ดึงหน้ากากให้อยู่ใต้จมูก ซึ่งถ้าหากหน้ากากปนเปื้อนสารคัดหลังจากผู้ป่วยมาแล้ว ก็จะติดที่มือของผู้ใช้หน้ากาก แล้วโดยปรกติพอขยับหน้ากากอนามัยเสร็จ ก็มักจะระบายเคืองบริเวณผิวสัมผัส ก็จะเอามือไปเกาเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม ก็บันเทิงทันที
รวมถึงตอนทำลายบางคนก็ทำลายผิดวิธี โดยการดึงที่ผิวหน้ากากอนามัยแล้วดึงออก ซึ่งมืออาจไปโดนสารคัดหลั่งจากผู้ป่วยที่มาติดบนผิวหน้ากาก แล้วเอาขยี้บริเวณเนื้อเยื่ออ่อนนุ่ม ซึ่งที่ถูกต้องต้องดึงที่สายรัด แล้วทิ้งขยะทันที
ดังนั้นแพทย์จึงไม่แนะนำผู้ไม่ปวยสวมหน้ากากอนามัน เพื่อให้หน้ากากอนามัยเพียงพอต่อผู้ป่วย รวมถึงเพื่อลดปัญหาการใช้หน้ากากผิดวิธีที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อโดยไม่ตั้งใจ เพราะจริงแล้วหน้ากากอนามัยถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อจากผู้ป่วยมากกว่า อัตราการป้องกัน หากผู้ป่วยสวมใส่หน้ากากอนามัยจะมีอัตราการป้องกันถึง 80-90% แต่หากเป็นผู้ไม่ป่วยสวม และใช้ไม่ถูกวิธี อัตราป้องกันไม่ได้สูง แถมเพิ่มโอกาสเสี่ยงเข้าไปอีก
เพียงแต่ในเชิงจิตวิทยา มันมีความอ่อนไหวอยู่ แล้วประชาชนที่อ่อนไหวก็มักเป็นกลุ่มเสี่ยง เขาจึงไม่ได้ห้ามจริงจัง เพราะถ้ากลุ่มเสี่ยงกลัวโรค เขาก็จะ Panic จากข่าวที่เผยแพร่ เพราะรู้ว่าตัวเองเสี่ยง ก็จะใส่หน้ากากอนามัยโดย อัตโนมัติ ทำให้เป็นการลดการแพร่เชื้อไปในตัว เพราะกลุ่มเสี่ยงก็จะสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน ซึ่งหน้ากากอนามัยก็จะทำหน้าที่ของมันเต็มที่
หลายๆประเทศมีหลักความคิดว่าคนที่ใส่คือคนป่วยเพื่อกันเชื้อแพร่ไปสู่คนอื่น ถ้าคนที่ป่วยป้องกันดีแล้วคนที่ไม่ป่วยก็ไม่จำเป็นต้องใส่ครับ ซึ่งถ้ามันทำได้ 100% ก็ดีกว่าแหละ เพราะการใส่หน้ากากผิดวิธีมีแต่จะแย่