Tags:
Node Thumbnail

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. ที่ผ่านมา Facebook ออกรายงาน Civil Rights Audit หรือผลการตรวจสอบจากหน่วยงานภายนอกครอบคลุมนโยบายสำคัญของ Facebook เช่น สิทธิพลเมือง, ความเป็นส่วนตัว, ความโน้มเอียงของอัลกอริทึม, Free Speech & Hate Speech

Laura W. Murphy อดีตผู้อำนวยการ ACLU และเป็นผู้นำการสืบสวนทำรายงานชิ้นนี้ร่วมกับ Megan Cacace ทนายความด้านสิทธิพลเมืองสรุปได้ว่า Facebook มีความคืบหน้าที่จะแก้ปัญหาต่างๆ เปรียบเทียบการทำงานของ Facebook กับการปีนเขาเอเวอเรสต์ แต่ก็ไม่ได้ลงทุนมากพอในการหาวิธีรับมือกับความท้าทายทางด้านสิทธิพลเมือง

เว็บไซต์ Recode สรุปประเด็นสำคัญจากรายงาน Civil Rights Audit ไว้ 5 ข้อ

No Description
ภาพจาก รายงาน Civil Rights Audit ฉบับเต็ม

Facebook ปฏิบัติต่อโพสต์ของโดนัลด์ ทรัมป์ ในมาตรฐานที่แตกต่างจากโพสต์ของคนอื่น

โพสต์ของทรัมป์หลายอย่างที่มีเนื้อหาส่งเสริมความรุนแรง, คุกคามประชาชนและผู้ประท้วง Black Lives Matter, เผยแพร่ข้อมูลผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งโดยไปรษณีย์ แต่ Facebook ก็ยังยืนยันว่าเนื้อหาของทรัมป์ ไม่ละเมิดหลักเกณฑ์ของแพลตฟอร์มแต่อย่างใด

แม้ภายหลัง Facebook ออกนโยบายยอมแปะป้ายให้กับคอนเทนต์ที่มีปัญหา แต่บริษัทตั้งใจไม่ลบเพราะเป็นคอนเทนต์ที่ควรค่าแก่การเป็นข่าวให้สาธารณชนรับทราบ (newsworthy content) เท่ากับว่า Facebook ก็จะไม่ทำอะไรกับโพสต์ของทรัมป์อยู่ดี

ทางผู้ตรวจสอบระบุว่าสิ่งนี้เป็นความล้มเหลว และถือเป็นความพยายามจะยับยั้งและกดอำนาจในการโหวตเลือกตั้งของประชาชน ทำลายความเชื่อใจที่ประชาชนมีต่อ Facebook และเปิดทางให้นักการเมืองคนอื่นดำเนินพฤติกรรมตามรอยทรัมป์

No Description

Facebook ให้คุณค่า Free Speech เหนือกว่าความเสมอภาค

ผู้ตรวจสอบบอกว่า การที่ Facebook ให้ความสำคัญกับ Free Speech เหนือสิ่งอื่นใดนั้นมีราคาต้องจ่าย เพราะแนวคิดนี้ ทำให้ Facebook มองว่าไม่ควรเซนเซอร์คำพูดนักการเมืองเพราะประชาชนมีสิทธิจะรู้

แต่ปัญหาคือมันเปิดโอกาสให้นักการเมืองแพร่ข้อมูลผิดแค่ไหนก็ได้ ให้สิทธิ์การแสดงออกแก่นักการเมืองเหนือกว่าเสียงของประชาชนทั่วไป นำไปสู่การทำลายสิทธิพลเมือง และทำลายคุณค่าที่ Facebook ยึดถือเอง

Facebook ยังต้องต่อสู้อีกมากในการจัดการ Hate Speech

Facebook ยังคงมีปัญหา Hate Speech คาราคาซัง โดยเฉพาะเนื้อหาแสดงความเกลียดชังจากกลุ่มนิยมคนขาวสุดโต่ง แม้ Facebook จะแสดงออกถึงความพยายามแก้ปัญหา เช่น จ้างคนมาคัดกรอง ลงทุนเทคโนโลยีตรวจจับ แต่ทางผู้ตรวจสอบชี้ว่า เนื้อหาเกลียดชัง ยังคงอยู่บนแพลตฟอร์มนานกว่าที่ควรจะเป็น

COVID-19 ทำให้รู้ว่า Facebook มีศักยภาพจัดการเนื้อหาอันตรายได้ถ้าตั้งใจทำ

Facebook มีความกระตือรือร้นในการจัดการข้อมูลปลอมเกี่ยวกับโรคระบาดได้ดี มีการตอบสนองอย่างทันท่วงที ออกฟีเจอร์ให้ข้อมูลโรคระบาดที่ถูกต้องได้ แม้สถานการณ์โรคระบาดจะวิกฤตและมีความซับซ้อนมากก็ตาม

Facebook ควรแต่งตั้งผู้บริหารสิทธิพลเมือง มาร่วมตัดสินใจและกำหนดนโยบาย

Facebook โดนกดดันให้แต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงที่เชี่ยวชาญด้านสิทธิพลเมืองโดยเฉพาะ แต่ในรายงานนี้ระบุว่าลำพังแต่งตั้งนั้นไม่พอ Facebook ต้องให้อำนาจเขาคนนั้นในการกำหนดนโยบายและมีส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าเนื้อหาแบบไหนบนแลพตฟอร์มที่ละเมิดสิทธิพลเมือง

สืบเนื่องจากโพสต์ของทรัมป์ และการตัดสินใจว่าลบหรือไม่ลบ มีคนเพียงหยิบมือใน Facebook ที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และมีเพียงคนเดียวที่เป็นคนดำ

No Description

รายงาน Civil Rights Audit มีความยาว 89 หน้า ใช้เวลาในการจัดทำสืบสวนและรวมรวมข้อมูล 2 ปี และ Facebook ก็นำมาเผยแพร่ในช่วงที่สังคมและแบรนด์สินค้าร่วมกันบอยคอต ไม่จ่ายเงินลงโฆษณาด้านแกนนำบอยคอตยังได้พูดคุยกับทีมผู้บริหาร Facebook แล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถมั่นใจได้ว่า Facebook จะแก้ปัญหา Hate Speech จริงจัง

อย่างไรก็ตาม ในรายงานได้ระบุความคืบหน้าของ Facebook หลายอย่าง เช่น การให้คำมั่นสัญญาจะจ้างผู้บริหารที่เชี่ยวชาญสิทธิพลเมือง, ลงทุนเพิ่มความหลากหลายในองค์กร, มีการออกแบบนโยบายป้องกันการแทรกแซงเลือกตั้งจากต่างประเทศ ผ่านการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด, ลงทุนในทีมงานเฉพาะด้านในการพัฒนา AI อย่างมีจริยธรรมลดความโน้มเอียง เป็นต้น

ที่มา - Recode, Civil Rights Audit

Get latest news from Blognone

Comments

By: sian
Windows PhoneAndroidWindows
on 10 July 2020 - 17:06 #1166535
sian's picture

หารให้คำมั่นสัญญาจะจ้างผู้บริหารที่เชี่ยวชาญสิทธิพลเมือง

หาร > การ

By: zyzzyva
Blackberry
on 10 July 2020 - 18:58 #1166545

การแก้ปัญหาข่าวปลอมโควิด เฟซเล่นง่ายไปหน่อย อย่างช่องค้นหา คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง เช่นโควิด โคโรน่าไวรัส วัคซีน จะแสดงผลออกมาเป็นแนว WHO CDC กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งแม้จะเป็นช่องทางการก็จริง แต่ก็ irrelevant กับคำค้นหา และบางที ช่องทางการ ก็ไม่ได้โพสต์สิ่งที่เป็นความจริงทั้งหมดเสมอไป

By: hisoft
ContributorWindows PhoneWindows
on 10 July 2020 - 23:55 #1166595
hisoft's picture

แต่ปัญหาคือมันเปิดโอกาสให้นักการเมืองแพร่ข้อมูลผิดแค่ไหนก็ได้ ให้สิทธิ์การแสดงออกแก่นักการเมืองเหนือกว่าเสียงของประชาชนทั่วไป นำไปสู่การทำลายสิทธิพลเมือง และทำลายคุณค่าที่ Facebook ยึดถือเอง

Free speech with privilege นี่คือน่ากลัวมากนะครับ

By: big50000
AndroidSUSEUbuntu
on 11 July 2020 - 17:20 #1166681 Reply to:1166595
big50000's picture

ออกแนวฟาสซิสต์