ต่อจากข่าว หน่วยงานต่อต้านการผูกขาดเยอรมนีเริ่มจับตาดูคดี Apple vs Epic ที่ฟ้องกันในสหรัฐ
ล่าสุด Bloomberg รายงานว่า หน่วยงานกำกับดูแลด้านการผูกขาดของญี่ปุ่น (ในที่นี้คือ Japan Fair Trade Commission) ก็เริ่มจับตาเรื่องนี้แล้วเช่นกัน
ความน่าสนใจของญี่ปุ่นอยู่ที่การมีสตูดิโอเกมจำนวนมาก ที่ไม่พอใจเรื่องการเก็บส่วนแบ่ง 30% ของแอปเปิล และกระบวนการอนุมัติขึ้นสโตร์ที่คาดเดาไม่ได้มานานแล้ว
การที่ Epic ลุกขึ้นมาสู้ (อ่านรายละเอียดในบทความ ไม่สู้ก็อยู่อย่างทาส) ทำให้ผู้บริหารบริษัทเกมญี่ปุ่นลุกขึ้นมาสนับสนุนตามบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น Hironao Kunimitsu ประธานบริษัทเกมมือถือ Gumi (ร่วมพัฒนา Final Fantasy Brave Exvius ให้ Square Enix) ออกมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "อยากให้ Epic ชนะ"
Bloomberg บอกว่านักพัฒนาเกมญี่ปุ่นคุ้นเคยกับส่วนแบ่ง 30% ของวงการคอนโซลมาตั้งแต่ยุคตลับเกม ซึ่งนักพัฒนาไม่ได้มีปัญหากับเรื่องส่วนแบ่ง 30% แต่ต้องการบริการที่ดีกว่าในปัจจุบันจากแอปเปิล ซึ่งมีปัญหาเรื่องการสื่อสารมาก ถึงขั้นนักพัฒนาบางรายต้องเลิกทำระบบอีเวนต์ตามฤดูกาล เพราะไม่มีอะไรการันตีว่าแอปเปิลจะอนุมัติอัพเดตของเกมขึ้นสโตร์ได้ทัน หรือถึงขั้นมีบริษัทนายหน้า รับจัดการปัญหาเรื่องการถูกแอปเปิลปฏิเสธอัพเดตเลยด้วยซ้ำ
Comments
อยากรู้จริงๆ ถ้ารอบนี้ Epic ชนะ คงสะเทือนวงการสโตร์ไปไม่น้อยเลย (ถึงแม้จะไม่ชอบขี้หน้า Epic ก็เถอะเพราะเชียร์ไม่ลงจริงๆ) กับอีกกรณีนึง อาจจะเกิดมหกรรมหมาแห่งชาติแบบ.....ก็ได้
(ประมาณว่าแอปเปิลยอมใจอ่อนลดตามที่ Epic เสนอ แล้ว Epic ก็กลับมาอีกครั้งแบบจูบปากกันปกติ)
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
สรุปว่าในข่าวนี้ก็ต้องแบ่งเป็นสองฝ่ายด้วย คือ
1. สตูดิโอ - ไม่เห็นด้วยเรื่องแบ่ง 30%
2. นักพัฒนาเกม - เฉยๆ(=เห็นด้วยเพราะชินแล้ว?)เรื่องแบ่ง 30%
แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่มีปัญหาเรื่อง อนุมัติขึ้นสโตร์ของแอปเปิล
ผมเข้าใจถูกใช่ไหมครับ?
คิดว่าเป็นสองกลุ่มคือสตูดิโอโดยทั่วไปที่อาจจะไม่เห็นด้วยเรื่องแบ่ง 30% กับสตูดิโอในญี่ปุ่นที่ชินกับส่วนแบ่ง 30% อยู่แล้วแต่ไม่พอใจในมาตรฐานการรีวิวของแอปเปิลนะครับ
onedd.net
แต่เรอนุมัติขึ้น store นี่เรื่องใหญ่จริงๆนะ คาดเดาอะไรไม่ได้จริงๆ
บางที submit คนละรอบ รอบแรกบอกไปแก้ตรงนี้มา พอแก้แล้วส่งใหม่ คนใหม่ดันบอกให้ไปแก้อีกจุดนึง (ที่มีมาแต่แรก)
คำว่า "สตูดิโอเกม" และ "นักพัฒนาเกม" ในบริบทนี้คือคนกลุ่มเดียวกันครับ เอาจริงๆ พอเรียกว่า "นักพัฒนา" แล้วมันฟังดูเหมือนเป็นคนคนเดียว ทั้ง ๆ ที่คำนี้สามารถหมายถึงบริษัทผู้พัฒนาเกมได้ด้วย (หรือที่เราชอบเรียกว่า "สตูดิโอพัฒนาเกม" อะไรแบบนี้ครับ)
ที่ว่าไม่พอใจเรื่องส่วนแบ่ง 30% คือ เก็บไปเยอะ แต่ทำงานช้า คาดเดาไม่ได้ Visibility ก็ห่วย (อันนี้ผมเพิ่มให้เอง) ของฝั่งคอนโซลถึงจะเก็บเงินเยอะแต่เค้าช่วยเหลือดีกว่า อะไรแบบนี้ครับ
ทุกวันนี้ที่บ.ผม จะอัพเดตเกมที จะต้องส่งล่วงหน้าเป็นอาทิตย์ๆ แล้วต้องลุ้นว่าจะผ่านหรือไม่ผ่าน ซึ่งบางทีมันนานเกินไปน่ะครับ
ถ้าบอกว่าคือกลุ่มเดียวกัน งั้นสรุปพวกเขา เฉยๆ หรือ ไม่พอใจ กับการเก็บ 30% ของแอปเปิลเหรอครับ? ตอนนี้ผมงงๆ
(หรือย่อหน้าหลังที่เฉยๆ คือคนกลุ่มน้อยที่รู้สึกเฉยๆ เพราะก่อนหน้านี้ใช้คำว่า "สตูดิโอเกมจำนวนมาก ที่ไม่พอใจ")
ไม่พอใจว่า เก็บเงินแพงแล้วดันทำงานห่วยครับ
ขอบคุณครับผม อ่านทีเดียวเก็ทเลย
พอไปอ่านในเนื้อข่าวต้นทางอีกที ก็พบว่าแทบไม่พูดถึงเรื่องการไม่พอใจ 30% เลย แค่บอกหลักๆว่า ต้องการการบริการ/supportที่ดีกว่า ส่วน 30% น่ะชินละตั้งแต่ยุค 80 จากปู่นิน แต่การเก็บ 30% ดันได้การบริการ/supportที่ห่วยโดยเฉพาะจากแอปเปิล
คือ คอนโซลเนี่ย คุ้น ๆ ว่าเค้าไม่เก็บค่าไลเซนส์เพิ่ม (แอปเปิ้ลคิดปีละหกพัน) แต่จะถูกตรวจสอบประวัติ และจะต้องซื้อ HW พิเศษเพิ่มด้วย ดังนั้น คนที่เข้ามาขายในตลาดนี้จริง ๆ มีไม่เยอะ ถ้าไม่เคยมีผลงานที่เชื่อถือได้มาก่อนส่งไปยังไงก็ไม่ผ่าน
แล้วด้วยความที่เค้าคัดคนที่จะเข้ามาขาย มันเลยทำให้ visibility ของเกมเราดีกว่าพวกเกมมือถือมาก เกมมือถือหรือสตีมสมัยนี้ส่งปุ๊บแทบจะไม่เห็นเลย ในขณะที่ตลาดคอนโซลมันจะขึ้นหน้าแรกอยู่พักนึง แล้วบ.คอนโซลเขาจะส่งเมล์ ทำโปรโมชันเล็ก ๆ ให้กับแทบจะทุกเกมด้วย (คนเล่นคอนโซลน่าจะเคยเห็นบ้าง) ดังนั้นอย่างน้อย ๆ คือมีคนเห็นแน่ ๆ ล่ะ
แล้วได้ยินว่าเทสต์รีพอร์ตจากทั้งแอปเปิ้ลและแอนดรอยด์เอง เวลามีปัญหาคือ อ่านแทบจะไม่รู้เรื่อง ต้องมานั่งเดาว่า ไม่ผ่านเพราะอะไร หรือแค่เทสเตอร์อารมณ์ไม่ดี รวมทั้งใช้เวลานานโดยที่ไม่มีการติดต่อกลับด้วย ของคอนโซล ตอนบ.เก่าผมอยู่ไม่ถึงขั้นตอนนี้เลยตอบไม่ได้เหมือนกันครับ (ผมลาออกไปก่อนที่เกมจะวางขาย)
ดังนั้นมันเลยดูเหมือนว่า เก็บเงิน 30% เท่ากัน แต่บริการต่างกันราวกับอีโค่กับโลว์คอสต์อ่ะครับ แน่นอนว่าเค้าก็ไม่พอใจ
ทั้งนี้ผมเข้าใจว่า บ.เกมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ตั้งมาร์จิ้นเอาไว้สูงกว่า บ.เกมในตลาดทั่ว ๆ ไป จะเห็นว่าเกมญี่ปุ่นราคาค่อนข้างสูงกว่าที่อื่น (สูงจนมีแต่คนด่าว่า อินดี้) ก็คือเค้าตั้งไว้เท่ากับคอนโซลนั่นแหละ ผมว่าเค้าตั้งไว้สูงเพื่อที่เวลาโดนหักค่าส่วนกลางของตลาดไปแล้วก็ยังมีกำไรอยู่น่ะครับ
ปล. จะว่าไป ผมคิดว่า ของมือถือมันเหมือนเป็นตลาดครับ ใครมีเงินอยากเอาของเข้ามาขายก็วางได้ เจ้าของตลาดเองก็แค่รับค่าเช่าที่ ส่วนฝั่งคอนโซลมันใกล้เคียงกับความเป็นร้านค้ามากกว่า ทั้งการเลือก supplier และการทำงานร่วมกันกับ supplier
เปรียบเทียบแบบนี้ เห็นภาพชัดดีครับ
ยาวๆไป
เรื่องอีเวนท์นี่เจอมาแล้วเลย เกมที่เล่นอยู่เคยต้องเลื่อนอัพเดทใหญ่ เพราะผ่านอนุมัติไม่ทันวันที่กำหนด มาแล้ว
เผื่อมีคนมาเม้นว่าขายผ่านสโตร์เค้า ทำตามกฎเค้าบลาๆ นะครับ
เรื่องนี้มันไม่ได้มีแค่คอมมิชชัน 30%
ประเด็นแรกกับประเด็นที่ 2 นี่เห็นด้วยอย่างมากนะ เพราะว่าแอปเปิลทำงานใน App Store ช้ามาก ๆ เคยโดนกับตัว
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เหมือนเพราะกระบวนการเอาขึ้น store ที่ช้านี่เพราะใช้คนคอยสกรีน และเพราะแบบนั้นทำให้แอพบน appstore มีคุณภาพมากกว่าอีกฝั่งไม่ใช่หรอครับ? เรามองว่าเรื่องนี้ต้องชั่งประโยชน์ระหว่างฝั่งสะดวก dev กับสบายใจคนใช้ ดี ๆ ด้วยนะครับ
ใช้คนก็มีประเด็นให้ปวดหัวครับเท่าที่ผมรู้มาก็เช่น
- app มีปัญหาหลายจุด แต่ส่งรีวิวแล้วโดนตีกลับมาบอกปัญหาแค่ทีละจุด พอแก้แล้วส่งใหม่ก็โดนตีกลับมาด้วยปัญหาจุดใหม่ไปเรื่อยๆหลายๆรอบจนกว่าจะรอด ไม่บอกให้ครบๆทีเดียว
- submit รอบแรกไม่ผ่าน ลองไม่แก้อะไรแล้วกด submit อีกรอบ ผ่านเฉย เพราะคนตรวจคนละคนกัน
- ช่วงปลายปีคริสมาสนี่ต้องเลี่ยง เพราะคนตรวจหยุด ส่งช่วงนั้นก็รอผลอีกทีหลังปีใหม่เลย
ตามนั้นเลยครับ ในฐานะคนดูแลโครงการหนึ่งที่มีการส่งแอปขึ้น App Store (ของ Play Store กฎน้อยกว่ามาก ส่งขึ้นง่ายกว่ามาก)
Coder | Designer | Thinker | Blogger
มีคุณภาพหรือไม่มี ผู้ใช้งานเป็นคนตัดสินใจครับ ไม่ได้อยู่ที่ผู้คัดกรองแอปขึ้นสโตร์
ก็พูดในฐานะผู้ใช้นะครับ แล้วก็เทียบกันระหว่างสอง store เราก็รู้ ๆ กันอยู่ว่าฝั่งไหนมีแอปที่มีปัญหามากกว่ากัน
อันนี้ไม่เถียงเรื่องความปสด.ของคนที่คัดกรองแอพนะครับ แต่ต้องการให้ชั่งน้ำหนักระหว่างผลดีผลเสียของทั้งสองฝ่ายครับ
จากประสบการณ์ บอกตรงๆว่าแอพเดียวกันในทั้งสองสโตร์ ต่างคนต่างมีปัญหา บอกไม่ได้ว่าสโตร์ไหนแอพดีกว่าครับ ทำไมถึงคิดว่าแอพเดียวกันบน Play Store จะมีปัญหามากกว่า App Store หว่า เอาจริงๆที่ผมเจอนี่ส่วนใหญ่เป็นปัญหาที่ฝั่ง App Store ด้วยซ้ำ อย่าง Spotify แต่ก่อนเจอบ่อย เพื่อนใช้ iPhone เปิดเพลงไม่ได้ต้องใช้เครื่องผมเปิดแทนอะไรงี้
ตั้งแต่ Android Market จน Play Store ผมยังไม่เคยเจอปัญหาเลยนะ แต่ App Store เจอปัญหา conflict sign บ่อยมาก (ใช้ Apple ID หลายตัว)
ปัญหาคือ มันไม่ใช่แค่คุณภาพ app ครับ
Guideline มันยุ่บยับไปหมด แถมหลายอย่างมันไม่ชัดเจนมาก
สุดท้ายก็ขึ้นกับวิจารณญาณคนตรวจเลยครับ
รอบนึงอาจจะบอกผิดเรื่องนึง พอแก้เสร็จ ดันไปติดอีกเรื่องที่คนแรกไม่ได้บอกว่าผิด
ก็ตามที่เขาว่าเลยครับคือ วางแผนยากมาก เพราะไม่รู้ว่าจะโดนอะไร ในการ submit แต่ละรอบ
แต่ playstore นี่ก็น่าจะแค่ ai scan code อย่างเดียว อันนี้ก็หลวมเกิน
อะไรทำให้มั่นใจว่ามีคุณภาพมากกว่าอีกฝ่ายครับ ?
จำนวนแอพขยะ
การมีแอพขยะเยอะ มันทำให้คุณค่าของแอพดีๆลดลงเหรอครับ ?
คิดว่า iOS ไม่มีแอปขยะหรอครับ? ผมว่ามีทุกแพลตฟอร์มแหละ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองมันยังไง
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ทุกบริษัทในตลาดตอนนี้ (รวมทั้งคอนโซลด้วย) ใช้คนเป็นคนสกรีนหมดครับ
อันนี้ไม่ใช่ข้ออ้างครับ อย่างน้อยต้องมีกรอบระยะเวลาที่แน่นอนให้ว่าจะตรวจสอบได้ภายในกี่วัน อะไรแบบนี้ (เอาจริง ๆ มันก็มีแหละแต่มันยาวขึ้นเรื่อย ๆ ...)
Apple Review ไม่ช้านะครับ แต่ปัญหาคือ ส่งไปเท่าไหร่ก็ไม่ผ่าน
แก้เรื่องนึง แล้วส่งอีกดันติดอีกเรื่อง
คือ guideline มันเยอะ ขนาดไปถึงว่า ถ้าเป็นแอพประเภทนี้ ห้ามมีไอ้นั่นไอ้นี่ ซึ่งบางทีมันไม่ใช่ซะทีเดียว แต่คล้ายๆ คนตรวจก็ต้องใช้วิจารณญาณเอา
ซึ่งบางคนก็มองว่าผ่าน บางคนก็มองว่าไม่ผ่าน
ข้างล่างยังมีคนบอกว่าโดนเป็นเดือน ๆ อยู่เลยครับ :)
น่าจะขึ้นกับขนาดด้วย
คนสกรีนก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่สมเหตุสมผลกับระยะเวลาในการ submit app ช้านะครับ
ประเด็นสำคัญคือ ตอนส่งแอปพิจารณาไปแล้ว เงียบกริบ เราได้แต่รออย่างเดียวว่าแอปจะได้รับอนุมัติเมื่อไรโดยที่ไม่รู้ว่ากระบวนการถึงตอนไหนแล้ว
ถ้าเล่าจากประสบการณ์ที่ผมนะครับ ผมดูแลโปรเจกต์หนึ่งที่มีกรอบในการนำแอปพลิเคชัน ทางทีมต้องส่งแอปไปถึง 2-3 ครั้ง โดยครั้งแรก ถูก reject อย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่ได้ตั้ง compiler ให้เป็น iOS 14 (ทั้งที่เวอร์ชันเต็มยังไม่ออก)
จากนั้น เราก็ส่งไปอีกครั้ง ก็เงียบไปเป็นเดือน กว่าจะขึ้นว่าแอปได้รับการอนุมัติแล้ว แล้วให้เราใส่ description ให้แอปเปิลพิจารณาอีกรอบ ขณะที่ Play Store ใช้เวลาน้อยกว่า และก็ขึ้น Store ก่อนแอปเปิลอนุมัติตัวแอปด้วยซ้ำไป ที่สำคัญคือ ในช่วงนั้น เวอร์ชัน Play Store ก็ออกอัปเดตสักพักแล้วด้วย
ผมไม่เถียงนะครับว่าเรื่องคุณภาพในการคัดกรองแอปพลิเคชันนั้น AI ยังไงก็สู้คนคัดไม่ได้ ปัญหาจริง ๆ มันไม่ได้อยู่ที่คุณภาพ แต่อยู่ที่กระบวนการที่ใช้ในการพิจารณาที่มันนานจนเวอร์ครับ
สิ่งที่ผมต้องการจากแอปเปิลมากที่สุดคือ ความโปร่งใสในการพิจารณาแอป เช่น สมมติว่าผมส่งแอปตัวหนึ่งไป ถึงขั้นตอนการพิจารณา requirement เบื้องต้นฝั่ง compiler, พิจารณา app compatibility, พิจารณาเรื่องเนื้อหาในแอป และที่สำคัญคือ ควรมีความโปร่งใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรอบเวลาในการพิจารณาในแต่ละขั้นตอน
ฝั่ง dev ส่วนใหญ่ เท่าที่ฟังมาคือ การพิจารณาแอปขึ้น App Store เรียกว่า PitA มากครับ นานมากกว่าจะขึ้น แล้วกว่าจะพิจารณาได้ในแต่ละส่วนก็นานอีก
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ข้อ 3 นี่น่าสนใจครับ
ถ้าคุณเป็นคนทำหน้าที่ approve app สำหรับขึ้น App Store คุณจะการันตีระยะเวลาในการตรวจสอบ app update อย่างไรครับ ?
That is the way things are.
"อยากให้ Epic ชนะ"
ก็แค่การออกความเห็นตามที่ตัวเเองจะได้ประโยชน์มากที่สุด
ปล. ในฐานะคนซื้อแอป ผมชอบมาตราฐานการรีวิวของแอปเปิ้ล เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าตัวส่วนใหญ่ทำหน้าตาออกมาได้น่าใช้มากกว่า และผมรู้สึกปลอดภัยกว่าจะการที่จะเลือกซื้อแอฟจาก App Store
เอามาจากข้างบน
ในฐานะของผู้พัฒนา ก็อยากให้แอปเปิลทำงานให้คุ้มค่าแรง 30% ไม่ใช่ทำงานชุ่ย ๆ แบบนี้
โอเคผมเห็นทางออกของปัญหาแล้ว ก็คือให้ Apple ตั้ง ส่วนแบ่งเป็นขั้นๆ 30% 20% 10% 5% การให้บริการก็เรียงลำดับความสำคัญ คิว 30% ได้รับการดึงมาพิจารณาก่อนลำดับอื่นๆก่อนเสมือแม้ว่าจะส่งเรื่องช้า อยากให้ดูแลเร็วก็ 30% ส่วน 20% ก็ความสำคัญรองลงไปเรื่อยๆ นอกจาก 30% พวก 20%ก็ลัดคิวได้ แต่มีอัลกอลิทึมจัดการป้องกันไม้ให้ 5% ถูกดองนานเกินไปด้วย จบปิ๊งครับ
ประเด็นก็คือ ถ้าหากว่ามีคู่แข่งที่ราคาถูกกว่าหรือให้บริการได้ดีกว่าก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีการเรียกร้องฟ้องร้องเพื่อให้ปรับราคาปรับบริการกันแบบนี้ทุกครั้ง
นี่แหละคือความสำคัญของการแข่งขันและเป็นเหตุผลหลักที่หลายๆที่พยายามต่อต้านการผูกขาด และเป็นประเด็นหลักที่หลายๆที่กำลังจับตามองคดีในครั้งนี้อยู่ครับ
+10240
ดูมี hidden agenda ในความเต้าข่าวดีครับ
ตอนแรกก็ไม่คิดนะ แต่เลื่อนลงมาเจอท่าน founders มาเม้นคู่ เลยติดสตั้นเลย 555
ผู้บริโภคไม่เห็นจะได้ประโยชน์อะไร สุดท้ายยังจ่ายเท่าเดิม
lewcpe.com, @wasonliw
คนซื้อ จ่ายเท่าเดิมก็จริงครับ แต่ผลที่ตามมามันมากกว่า
คนทำเกมส์ได้เงินเยอะขึ้น เต็มเม็ดเต็มหนวยมากขึ้น จะมีคนทำเกมเยอะขึ้น เกมออกมากขึ้น
ตลอดจนการซัพพอร์ตที่ดีขึ้น มีตังเหลือจ้างคนจ้างซัพพอร์ดต่อ
การทำแอพหรือเกมส์ มันมีต้นทุนต้องจ่ายเยอะอยู่น่ะคับ ได้เงินเยอะคนทำงานก็มีกำลังใจขึ้น
คนซื้อ จ่ายเท่าเดิมก็จริงครับ แต่ผลที่ตามมามันมากกว่า <<< อันนี้มีทั้งจริงและไม่จริงครับ ไม่ใช่ว่าทุกคนรายได้เพิ่มขึ้นแล้วจะขยันมากขึ้นครับ และอยู่ที่ตอนนั้นมีไฟและรักในงานมากแค่ไหนด้วย มันไม่ใช่งานแบบประเภทที่วัดปริมาณได้ว่าผลิตได้กี่ชินต่อวันแล้วจะได้เงินผันตามจำนวนชิ้นงานนั้นๆ อันนี้ทำมาตั้งขายแล้วก็ต้องรอดูอีกทีว่าขายได้แค่ไหน ถึงขายดีแต่พัฒนาอาจทำอะไรเหมือนเดิมก็มีแหล่ะ สรุปขึ้นอยู่กับตัวนักพัฒนาเอง
ที่ว่าได้เงินเยอะกว่าแล้วจะได้ผลที่ตามมาดีกว่า ไม่จริงเสมอไปก็จริงครับ แต่ถ้าได้เงินจำนวนมากขึ้น คนที่เขาตั้งใจทำก็จะมีกำลังมีความเป็นอยู่ มีต้นทุนที่ดีขึ้น ก็น่าจะดีนะครับ
สรุปขึ้นอยู่กับตัวนักพัฒนาเอง<<<< ก็ไม่ถูกอีก
เงินที่ได้จากการขายมันก็ต้องเข้าบริษัทแล้วเจ้าของจบริษัทจะเป็นคนตัดสินใจว่าเงินนั้นจะไปลงทุนกับอะไร คุณเป็นนักพัฒนาคุณจะไปตัดสินใจแทนเจ้าของบริษัทไม่ได้ว่าควรจะทำอะไรก่อน
จุดสำคัญคือ... คนขายไม่ได้มีเจ้าเดียวครับ
มันก็จริงว่าไม่ใช่ว่าทุกเจ้าที่ได้เงินเพิ่มขึ้น จะลดราคาหรือทำสินค้าให้ดีมากขึ้น
แต่เมื่อมีเจ้านึงปรับลดราคาหรือมอบผลประโยชน์ให้ผู้ใช้มากขึ้น คนก็จะหันไปอุดหนุนสินค้าของเจ้านั้นมากขึ้น และเจ้าที่อยู่เฉยๆกะกินกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างเดียวก็ต้องขยับตัวเพื่อรักษาลูกค้าของตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อทุกเจ้าก็จะแข่งกัน ผลประโยชน์ก็จะตกมาอยู่ที่ผู้ใช้อย่างเรา
เรากำลังคุยเรื่องผลประโยชน์ของผู้พัฒนาอยู่
รูปแบบคล้ายๆกับเวบบล้อกบางแห่ง เช่าที่ขุนนางเก่าทำกินมาหลายปี (เพราะไม่มีตังเช่าที่แพงๆหรูๆ)
แต่ทีมงานขยันเต้าอะไรที่ย้อนแย้งกันเหลือเกิน มือนึงถือชามข้าว อีกมือทุบหม้อข้าว
(ขออ้างสิทธิเสรีภาพในความเห็นต่างนะ)
เวลามีโปรเจคทำ app มา แล้วพูดถึงวันปล่อย app สิ่งแรกที่อยู่ในหัวคือ
"ต้องเผื่อเวลาตบตีกับ App Store เท่าไหร่ดีน้าาา"
เท่าที่ตามข่าวคู่ไฝว์นี่มา เห็นอะไรที่ซ้ำ ๆ เดิมเยอะนะครับ
เรื่องคือมันเริ่มจากที่ Epic ทำนอกกฏด้วยการสร้าง Direct payment ทั้ง ๆ ที่ Apple ห้าม แล้วก็โดนแอปเปิ้ลแบน Fortnite ทิ้ง ซึ่งมันก็ควรจะจบไปแค่นั้น
แต่กลายเป็นว่า Apple แบนไปถึง Unreal Engine ซึ่งดูแล้วเคสนี้เหมือนกับ Apple คิดว่าตัวเองใหญ่สามารถทำอะไรก็ได้ เลยกลายเป็นกระตุ้นให้เกิดการต่อสู้เรื่องของ "การผูกขาด" เพิ่มเติม
แต่เหมือนหลาย ๆ คนยังอยู่กับประเด็นเรื่อง 30% อยู่ ซึ่งเรื่อง % มันเป็นเรื่องของกำไรขาดทุน และโดยดูคร่าว ๆ แล้วแต่ละ Store ก็เก็บ 30% กันทั้งนั้น เรื่อง Apple เก็บ 30% กลายเป็นผูกขาด น่าจะไม่เข้าข่าย ไม่งั้น PS store / Play store / MS store (ซึ่งมีคนซื้อบ้างไหม ?) / steam บลา ๆๆ น่าจะโดนกันไปแล้ว
แต่ที่มีปัญหาจริง ๆ คือความไม่โปร่งใสของการเก็บค่าธรรมเนียม อย่างข่าวที่พอเป็น Amazon Prime กับมีการยอมให้ว่า "ถ้าเป็นสมาชิกอยู่ก่อนแล้ว จะไม่เก็บค่าธรรมเนียมเลย" ซึ่งมันขัดกับกฏ 30% ปีแรกกับ 15% ปีถัดไปอย่างมาก แถมการที่ Apple ออกมาพูดว่า "ต่อรองไม่ได้" แต่กลับยอมให้มีการละเมิดกฏของตัวเอง หรือจริง ๆ คือมีข้อยกเว้นกับ Amazon ถือว่าเป็นการเอาเปรียบเจ้าเล็ก ๆ อย่างเห็นได้ชัดเกิน ไหนจะเริ่อง WordPress อีก ถึงออกมาขอโทษว่าเข้าใจผิด แต่คงยากที่จะให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น
ในการต่อสู้ครั้งนี้ผมว่า Apple ไม่น่าจะโดนเรื่อง % ที่เก็บเท่าไหร่เพราะว่าหลาย ๆ ที่ก็มีการเก็บใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ Apple น่าจะโดนคือเรื่องอำนาจผูกขาดโดยตรงไม่ว่าจะแบนอะไรก็อยากแบนด้วยเหตูผล "ความปลอดภัย" หรือไม่ก็ออก Service มาซ้ำกับของคนอื่นแต่เก็บน้อยกว่า ตัวอย่างก็ Spotify กับ Apple Music
เรื่องนี้ใหญ่มากครับ คือเป็นการเขย่า Apple อย่างรุนแรงมาก แล้วเหมือนเป็นการเปิดให้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างด้วยเช่นกัน แล้วผลการตัดสินของศาลจะกลายเป็นบรรทัดฐานที่ใหญ่มาก คือต้องตัดสินแต่ละเรื่องดี ๆ ครับ อาจจะต้องคำนึงถึงผลกระทบในอนาคตด้วย
สรุปคือเท่าที่ผมเห็น มีสองประเด็นในศึกนี้นะครับ
1. เรื่องค่า Store
2. เรื่องอำนาจผูกขาด
แต่หลายคนเหมือนจะโฟกัสไปที่ข้อหนึ่งอย่างเดียว (แน่ละสิ Epic ชอบชูเรื่องนี้แต่ด่า steam แล้ว) จนทำให้หลายคนสงสัยว่าคนที่สนับสนุน Epic มีปัญหาอะไรกับข้อแรกกันจัง ผมว่าทุกคนเขา Focus ที่ข้อสองกันซะส่วนใหญ่ครับ ข้อแรกนี่คือบางกลุ่มเท่านั้นที่อยากได้ด้วย แต่ถ้าโดนบังคับลดค่า store จริงนี่เขย่าทุก store แน่ ๆ เพราะหลาย ๆ ที่ก็ดันเก็บ 30% เหมือนกัน
รอดู epic vs sony playstation store
อ้าว
ถ้าApple ที่dev storeเองและสร้างecosystemเองล้วนๆ แล้วถูกมองapple storeสินทรัพย์ของตัวเองเป็นผูกขาด
Storeบนพวกเกมคอนโซลก็ผูกขาดเหมือนกันอ่ะ
จะลงทุน0บาทในระบบปิด แถมยังเรียกร้องสิทธิ์ที่ไม่พึงมี
แบบนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับ รายได้ / กำไร / ประโยช์นของผู้บริโภค / ที่จะเป็นตัวฟ้องว่าสิ่งที่เป็นอยู่ แฟร์หรือไม่แฟร์ ครับ
พวกคอนโซลเราก็รู้กันว่า ขายเครื่องขาดทุน กว้านซื้อค่ายเกมมาลงคอนโซล // ขณะที่มือถือขายเครื่องแพงกว่าต้นทุนที่ประเมินหลายเท่า
แปลว่าถ้าappleยอมขายเครื่องแบบขาดทุนเหมือน sony คือ ok? App storeจะไม่ผูกขาด?
...
Nintendo Switch มีeshop แต่ขายเครื่องไม่ขาดทุน มีกำไร(เคสคล้ายกับapple) แสดงว่าNintendo ผูกขาดeshop (ตามเหตุผลของคุณ)
ส่วน sony playstation และ microsoft xbox ไม่ผูกขาดstoreในเครื่องคอนโซล เพราะขายเครื่องราคาขาดทุน ถูกต้องตามนี้ไหมครับ
ส่วนแบ่งตลาดของ Nintendo, Playstation และ Xbox ต่างกับแอปเปิ้ลเท่าไหร่ครับ?
คือถ้าส่วนแบ่งตลาดต่ำกว่า 60% ก็ตกเกณฑ์การผูกขาดแล้วครับ
iPhone ส่วนแบ่งตลาดมือถือโลก ไม่ถึง 15%
แต่ผูกขาดapp storeใน iOS 100%
PS4 ส่วนแบ่งตลาดคอนโซลโลก 40%
แต่ผูกขาด playstation store 100% (ไม่ว่าซื้อแผ่นหรือdigital ก็โดนsonyหักหัวคิว30%)
ผมเลยมองว่าepicก็มีโอกาสฟ้องsonyได้เหมือนกัน ตามความเห็นข้างต้น
งั้นก็ฟ้องให้หมดครับ ผลประโยชน์จะได้ตกอยู่กับผู้บริโภคอย่างเราๆให้ apple และ sony ล้มไปเลย
Apple บอกว่า ตอนนี้มีประมาณอุปกรณ์ iOS ที่ยังใช้งานอยู่ในโลกนี้อยู่ 1.5 พันล้านเครื่อง คิดเป็น 19% ของประชากรโลก
PS4 เพิ่งจะขายได้แค่ราว 100 ล้านเครื่อง คิดเป็นประมาณ 1%
แน่นอนว่าเราคงบอกไม่ได้ว่า คนใช้หนึ่งคน มีอุปกรณ์แค่เครื่องเดียว และตัวเลขที่ผมเอามาเทียบกันก็เป็นคนละเลขกันด้วย (ยอดขายทั้งหมดกับอุปกรณ์ที่ใช้อยู่นี่ มันคนละเรื่องเลยนะ) แต่คิดว่าน่าจะเห็นส่วนแบ่งตลาดรวม ๆ ได้นะครับว่าสเกลต่างกันระดับไหน และทำไมเราถึงเอาอุปกรณ์สองอย่างนี้มาเทียบกันไม่ได้ครับ
เทียบแบบนั้น apple ต้องยอมขาย iphone แบบขาดทุนแบบ sony
สิ่งที่กฏหมายต่อต้านการผูกขาดพยายามป้องกันไม่ให้เกิด ไม่ใช่เรื่องการผูกขาด แต่เป็นการมีอำนาจเหนือตลาดอันเนื่องมาจากการผูกขาดครับ
เพราะงั้นเมื่อคุณไม่ได้เป็นเจ้าตลาดพอจะมีอำนาจเหนือตลาดได้ก็ไม่ได้กฏหมายพวกนี้เล่น แต่เมื่อไหร่ที่มีส่วนแบ่งมากจนมีอำนาจเหนือตลาด เมื่อนั้นแหละคุณจะโดนจับตามอง (เพราะเหตุนั้น Microsoft กับ Google ก็เลยโดนเล่นก่อน Apple)
แล้ว Apple กับ Sony มีอำนาจเหนือตลาดไหม?? ลองสมมติทั้งสองเจ้าขึ้นราคาส่วนแบ่งเป็น 60% ดูสิครับ คิดว่านักพัฒนาแต่ละฝั่งเขาจะตัดสินใจอย่างไร จะทนอยู่ต่อหรือจะย้ายกัน
กฏหมายป้องกันการผูกขาดมันอาจจะฟังดูไม่แฟร์สำหรับเจ้าของที่ใช้น้ำพักน้ำแรงสร้างขึ้นมาเท่าไหร่ แต่หลายๆรัฐเขาทำเพื่อให้ตลาดโดยรวมมันยังเกิดการแข่งขันซึ่งมันจะสร้างผลดีกับตลาดรวมไปถึงผู้บริโภคอย่างเราด้วยครับ ถ้าไม่มีกฏหมายนี้ก็คงเหมือนบางประเทศที่มีเบียร์หรือร้านสะดวกซื้ออยู่ไม่กี่ยี่ห้อนั่นแหละครับ
อยากให้ ms ทำ มือถือต่อ อยากให้ huawei ทำ hms สำเร็จ ผู้บริโภคจะได้มีทางเลือก ได้ประโยชน์จากการแข่งขัน ปัจจุบันมีแค่ 2 ค่าย ถ้าฮั้วกัน จะกำหนดทิศทางตลาดยังไงก็ได้ ผู้บริโภครับกรรมไป
ประเด็นหลักที่จะได้รับการสนับสนุนมากที่สุดน่าจะเป็นให้ Apple สามารถลง App จาก Store อื่นๆได้
มาอ่านดู หลายคอมเมนต์ที่เคยตบตี กับระบบตรวจแอพของ Apple แล้ว
รู้สึกว่าเจอสหายร่วมรบเยอะดีครับ 555
ลูกค้าผม ทำแอพเกี่ยวกับระบบตรวจเช็คการรักษาความสะอาดในอาคาร
ส่งไป approve ไม่นานมานี้ โดน reject กลับมา เพราะว่า "มี keyword ที่เกี่ยวข้องกับ covid"
แล้วก็ไม่บอกว่าจุดไหนที่เป็นปัญหา ลองแก้คำที่คิดว่าใช่ ส่งไปใหม่หลายรอบก็โดน reject ตลอด (ขณะที่ google store ผ่านตั้งแต่รอบแรก)
สุดท้ายต้องยกเลิก ไม่ทำลง ios เปลี่ยนไปเป็น web app แทน
เป็นประมาณนั้นแหละครับ
ตอบมาว่าผิดแบบห้วนๆ พอถามให้อธิบายเพิ่ม พวก copy guideline มาแปะทั้งดุ้น
ซึ่งมันกว้างมากมาย
แต่บางที ไปเจอคนรีวิวดีๆ ก็ดีไป ถามอะไรก็ตอบอย่างละเอียด
ตอนนั้นที่ บ ผมทำ มีรอบนึง มั่วกด submit ซ้ำไป (โดยไม่ได้แก้อะไร) ดันผ่านเฉย (เพราะ review รอบล่าสุด ตอบมาแบบ wtf มาก)
แบบ google นี่ก็ bot review เกินไปหน่อย (สบาย dev แต่คุณภาพ s/w ก็เห็นๆ กัน)
ถ้าประเทศอื่นคงน่าสนใจนะ
แต่พอเป็นประเทศที่ขายกาฉะหลอกกินเงินเหมือนการพนัน
จ่ายแพงแล้วจั่วได้เกลือนี้ยังหน้าเงินไม่พออีกเหรอ
บ.เกมในญี่ปุ่นที่ผมทำงานอยู่ เคยรีรีสเกมไม่ทันเพราะไม่ผ่านการอนุมัติของ apple ทั้งๆที่เตรียมใจไว้แล้วว่าต้องใช้เวลา 1-2เดือน แต่โดนไปเกือบ4เดือน คือพอเอาไปเทียบกับ sony ที่จะมีslotจ่องการตรวจขออนุมัติ และการตรวจจะใช้เวลา 1อาทืตย์แน่นอน ไม่มีมากกว่านั้น แล้วถ้าไม่ผ่านอนุมัติ มีmf(must fix) ก็แก้mfแล้วส่งไปใหม่ เวลาส่งรอบใหม่ก็จะไม่เจอ mfอะไรไม่รู้ที่ไม่้กียวกับmfรอบแรกโผลออกมา แต่ apple คือถ้ามี mf ออกมาปุ๊ปคือเหมือนหยุดกระบวนการให้กลับไปแก้ แล้วมาเริ่มตรวจต่อ แล้วแต่ละครั้งคือโชคดีหน่อยก็ 2อาทิตย์โชคร้ายก็รอเป็นเดือนๆ กว่าจะได้รับคำตอบ จนหลังๆบ.ผมต้องใช้บริการบ.ตรวจเฉพาะเพื่อที่จะได้ย่นเวลา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังใช้เวลาเป็นเดือนๆอยู่ดี
ผมไม่ได้เขียนโปรแกรมลง Apple Store มา 5 ปีแล้ว ตอนนั้น ก็ใช้เวลารีวิว 3-7 วันเองครับ ถ้าเป็นกรณีที่รีวิวไม่ผ่าน แล้วส่งแก้ไขไปใหม่ใช้เวลาเหลือ 1-3 วันเท่านั้นเอง ทำไมเดี๋ยวนี้ Apple ถึงใช้เวลานานขึ้นได้ขนาดนั้นหนอนิ
ส่งแก้ไขพิจารณาไม่ได้นานขนาดนั้นนะครับ (ประมาณสัปดาห์ได้มั้ง) แต่ตอนส่ง approve ตอนแรกนานมากครับ ยืนยันได้
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เก็บ 30% ก็คุ้มนะ apple เขาตรวจละเอียด ตรวจนาน แอปจะได้มีคุณภาพ 555