ศาลตัดสินใจไม่รับคำร้องของ Epic Games ที่ต้องการให้ศาลออกคำสั่งคุ้มครองการแบนเกม Fortnite ออกจาก App Store โดยให้เหตุผลว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้เป็นสิ่งที่ทาง Epic Games เลือกเอง การผิดสัญญาย่อมนำมาสู่การตอบโต้กลับโดยคู่สัญญา และโดยปกติแล้วศาลแขวงแห่งรัฐบาลกลาง (Federal District Court) จะไม่ออกคำสั่งศาลในคดีข้อพิพาทที่เกี่ยวกับการละเมิดสัญญา เว้นเสียแต่จะเป็นกรณีร้ายแรงถึงขั้นทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องต้องเลิกกิจการ อีกทั้งศาลยังเห็นว่า Epic Games สามารถนำ Fortnite กลับขึ้นไปบน App Store ได้เสมอ เพียงแค่กลับไปทำตามข้อตกลงที่เคยทำไว้กับ Apple เท่านั้น อย่างน้อยก็จนกว่ากระบวนการพิจารณาคดีจะถึงที่สุด
สัดส่วนผู้เล่นเกมคือตัวเลขที่มีนัยยะ ทาง Epic Games อ้างว่า 63% ของผู้เล่นเกม Fortnite บน iOS เล่นเกมนี้เฉพาะบน iOS เท่านั้น ตัวเลขนี้บ่งชี้ว่าหลายคนอาจจะไม่มีเครื่องเล่นเกมอื่น ๆ ที่สามารถเล่น Fortnite ได้ และในหลาย ๆ สถานการณ์การเล่นเกมบนโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องจำเป็น เช่น บนรถไฟฟ้า เป็นต้น อย่างไรก็ตามทาง Apple โต้แย้งว่าจำนวนผู้เล่นเกม Fortnite ต่อวันบน iOS คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้นเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เล่น Fortnite ต่อวันทั้งหมด ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ Apple จะมีอำนาจเหนือตลาดผูกขาดเกมนี้จนถึงขั้นส่งผลกระทบต่อธุรกิจของ Epic Games
ระบบการซื้อสินค้าภายในแอพ (In-App Purchase System) ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ Epic Games มองว่าการบังคับซื้อสินค้าภายในแอพเป็นการผูกขาดรูปแบบหนึ่ง Apple ควรจะอนุญาตให้นักพัฒนามีโอกาสได้ใช้ระบบของตัวเองในการซื้อขายสินค้าภายในแอพเหล่านี้ ในขณะที่ทาง Apple แย้งว่าสินค้าที่ซื้อภายในแอพนั้นย่อมต้องถือเป็นส่วนหนึ่งของแอพด้วย ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เพราะการดูแลความปลอดภัยและการตรวจสอบควบคุมเนื้อหาภายในแอพนั้นเป็นสิ่งจำเป็น ซึ่งกรณีนี้ผู้พิพากษา Yvonne Gonzalez Rogers คล้อยตามกับเหตุผลของทาง Apple มากกว่าและกล่าวว่าทาง Epic Games นั้นพยายามหาทางเลี่ยงที่จะจ่ายเงินค่าส่วนแบ่ง 30%
แม้ว่าทาง Epic Games จะยืนยันว่าการที่ Apple มีสิทธิ์ในควบคุม App Store แต่เพียงผู้เดียวนั้นถือเป็นการผูกขาดที่ผิดกฎหมาย แต่สุดท้ายแล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่จะตีเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างความเป็นเจ้าของ platform กับการผูกขาด เพราะเมื่อมองในระดับภาพรวมที่กว้างขึ้นแล้ว (ในกรณีนี้คือตลาดเกม) Apple มีคู่แข่งมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Android, Steam, GOG และอื่น ๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เก็บค่าส่วนแบ่ง 30% ทั้งสิ้น จึงอาจมองได้ว่า Apple ก็เป็นเพียงเจ้าของ platform รายหนึ่งเท่านั้น มีอำนาจในขอบเขตของตนเอง แต่ไม่ได้มีอำนาจเหนือตลาดแต่อย่างใด ซึ่งทางผู้พิพากษาเองก็ดูจะเห็นด้วยกับมุมมองลักษณะนี้ เธอได้กล่าวเสริมด้วยว่าระบบปิดนั้นมีมานานหลายสิบปีแล้ว Nintendo, SONY, Microsoft ก็ล้วนแล้วแต่มีระบบปิดเป็นของตัวเอง เธอจึงเห็นว่าสิ่งที่ Apple ทำนั้นไม่ต่างกับสิ่งที่ผู้เล่นรายอื่นในอุตสาหกรรมทำสักเท่าไร
ผู้พิพากษา Rogers ได้กล่าวทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจไว้ว่า “คดีความนี้สมควรที่จะถูกตัดสินโดยคณะลุกขุน มันเป็นสิ่งสำคัญที่จะรับฟังว่าประชาชนทั่วไปคิดเห็นอย่างไร ความรู้ความเชี่ยวชาญและความคิดเห็นที่หลากหลายของคณะลูกขุนจะมีส่วนสำคัญต่อการพิจารณาคดีนี้”
อนึ่งการพิจารณาคำร้องครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น คดีความระหว่าง Epic Games กับ Apple ยังคงต้องดำเนินต่อไปอีกเป็นระยะเวลานานจนกว่าจะได้ข้อสรุปว่าแท้จริงแล้ว Apple นั้นผูกขาดตลาดรองภายใต้ platform ของตัวเองที่เรียกว่า App Store หรือไม่
ที่มา - Arstechnica
Comments
ขอเติมรูปนะครับ
lewcpe.com, @wasonliw
เติมได้เลยครับผม ขอบคุณนะครับ
That is the way things are.
epic ไม่พอใจกับสิ่งนี้
EPIC !!
อ่านแล้วเห็นด้วยกับที่ศาลว่าแฮะ
ไอ้เรื่องที่ไม่เอา Fortnite กลับมาเนี่ยผมเห็นด้วย ต่อให้สุดท้ายแอปเปิลผูกขาดจริงแต่พฤติกรรมของอีปิคนี่รับไม่ได้จริงๆ ใจจริงอยากให้โดนฟ้องกลับด้วย
ส่วนเรื่องผูกขาดหรืออำนาจเหนือตลาด ผมคิดว่าการที่บอกว่าเจ้าอื่นๆเขาก็ทำเหมือนกันมันไม่ได้ทำให้หลุดพ้นข้อกล่าวหานี้ เพราะสิ่งสำคัญในประเด็นนี้ไม่ใช่คุณทำอะไรแต่คุณมีอำนาจในตลาดมากแค่ไหนมากกว่า
อย่างไรก็ดี มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพิสูจน์ ก็ต้องรอดูต่อไปว่าสุดท้ายมันจะจบอย่างไร
ผมว่าที่เค้ากล่าวว่าเจ้าอื่นก็ทำเป็นแค่ตัวอย่าง แต่จุดที่เค้าชีเจริงๆคือมองที่ภาพรวมของตลาดเกม ไม่ใช่เฉพาะตลาดเกมบน iOS ครับ
ผมชอบเวลามีการพิจารณาคดีความแบบนี้นะครับ แต่ละฝ่ายนำเหตุผลมาหักล้างกัน เราก็ได้คิดตามเหตุผลของแต่ละฝ่ายดูว่าเราจะคล้อยตามเหตุผลของใครมากกว่า และก็ทำให้เรารู้ข้อมูลหลายๆ อย่างที่แต่ละฝ่ายไม่เคยเปิดเผยมาก่อน
ขอบคุณสำหรับข่าวที่นำมาลงนะครับ
ชอบตรงที่ Apple บอกผู้เล่นบน iOS มีแค่ 10% ของทุกระบบ แหม่ทีงี้รีบลดจำนวนลงเลยทีเดียว
อาจจะเป็นตัวเลขหลังจากแบนครับ 555
ข่าวบอกว่า 10% ของผู้เล่นต่อวันทั้งหมด ตรงไหนที่บอกว่าของทุกระบบ
ครับ เข้าใจผิดครับ ขอโทษครับ
ตัวเลขนี้ทนายความฝั่ง Apple อ้างต่อศาลว่า Tim Sweeney เป็นคนเคยพูดไว้เองครับ แต่ผมหาต้นตอไม่เจอเหมือนกันว่าแกไปพูดเอาไว้ตอนไหน
That is the way things are.
ถ้าจะเอาเรื่อง 30% ทำให้เกิดการผูกขาด มันก็ไม่ได้เป็นเหตุผลที่ดีขนาดนั้น เพราะหลาย ๆ เจ้าก็เก็บ 30% การที่บอกว่า Store ตัวเองเก็บน้อยกว่าแล้วจะถือว่าคนอื่นผูกขาดมันก็ประหลาดคือ ตัวเองเก็บน้อยเอง ไม่ได้มีใครมาบังคับเสียหน่อย นอกจากนี้ พฤติกรรมของ Epic เองก็ส่ออยู่แล้วว่าตัวเองต้องการเล่นนอกกฏ
ศาลให้เหตุผลชี้ขาดได้ดี
ตรรกกะ ชัดเจน
รอความเห็นลูกขุนทั่วๆไป ต่อไป
คดีละเมิดสัญญา หลักก็คือ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามสัญญาเมื่อกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย
การพิจารณาประเด็นที่ผู้ยื่นคำร้องอ้างการผูกขาดทางการค้า
ผู้ร้องได้ยื่นเอกสารหลักฐานให้ศาลพิจารณากันไป
ติ่งแอนตี้ ก็เงิบไปตามระเบียบ อิ
แสดงว่ามีแค่ 6.3% จากผุ้เล่นทั้งหมดแค่นั้นที่กระทบ?
63% อ้างเวอร์มาก สักส่วน iOS ตอนนี้ไม่ถึง 1/10 ของชาวดอยด้วยซ้ำ
เค้านับคนที่ลงเกมว่าจากฝั่งไหน หรือเปล่าไม่ได้นับ สัดส่วนคนใช้ระบบไหนมากกว่า
นับจาก mobile platform ไม่แปลกที่ android จะน้อยกว่า
ถ้านับแพลตฟอร์มอื่นล่ะก็ใช่ สัดส่วนของ mobile ไม่ได้สูงอะไร คนไม่ได้นิยมเล่น Fortnite บนมือถือขนาดนั้น
ผู้พิพากษากล่าวไว้ “There are plenty of people in the public who consider you guys heroes for what you did, but it's still not honest.”
“มีคนมากมายที่คิดว่าพวกคุณเป็นฮีโร่จากสิ่งที่คุณทำ แต่ถึงกระนั้นสิ่งที่คุณทำมันก็ไม่ได้ซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา”