วันนี้นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลฯ และ นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้แถลงข่าวร่วมกับโอเปอเรเตอร์ทุกราย คือ AIS, dtac, TrueMove H, 3BB และบริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือประชาชนระหว่างการระบาดของโรค COVID-19 รอบใหม่
ผลการหารือมีด้วยกัน 3 ข้อ คือผู้ให้บริการเน็ตบ้านจะปรับความเร็วอินเทอร์เน็ตเพิ่มไม่ต่ำกว่า 100/100Mbps สำหรับผู้ที่ใช้ไฟเบอร์ และปรับความเร็วให้สูงสุดที่อุปกรณ์จะรับได้ในกลุ่มผู้ที่ใช้เทคโนโลยีเก่าเช่น xDSL โดยจะเพิ่มความเร็วให้เป็นเวลา 2 เดือน
ข้อต่อมาคือการใช้งานแอพหมอชนะในสมาร์ทโฟนจะไม่ถูกนับรวมในดาต้าของผู้ใช้แต่ละคนเป็นเวลา 3 เดือน เริ่มวันนี้ เนื่องจากแอพหมอชนะมีการรับส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา เมื่อไม่คิดดาต้าตรงนี้ก็ช่วยประชาชนประหยัดค่าเน็ตได้
ข้อสุดท้ายคือโอเปอเรเตอร์มือถือทั้ง 3 รายจะออกโปรเน็ตไม่จำกัดปริมาณข้อมูล ความเร็วสูงสุด 10Mbps ที่ราคา 79 บาทต่อเดือน (ไม่รวม VAT) เพื่อสนับสนุนการทำงานจากบ้าน (Work from Home) ที่ส่วนใหญ่ต้องใช้แอพประชุมออนไลน์ซึ่งกินดาต้าเยอะ โดยมีโปรนี้ให้ใช้เป็นเวลา 2 เดือน อย่างไรก็ตามขณะที่เขียนข่าวอยู่นี้ยังไม่มีผู้ให้บริการรายใดให้รายละเอียดวิธีการสมัครบนหน้าเพจ
ที่มา - มติชน
Comments
โปรโมชั่นเน็ตมาช้าไปไหม
อีกเรื่องที่อยากให้สนใจคือการเรียนออนไลน์ที่หลายโรงเรียนใช้มันเละมาก เข้าใจว่าฝั่งอาจาร์ยก็ไม่ชำนาญด้านนี้ เดี๋ยวหลุด เดี๋ยวหาย อาจาร์ยบางคนบอกเน็ตมีปัญหาก็ข้ามชั่วโมงไปเลย ทุกวันนี้พ่อแม่ต้องหยุดงานมาทำระบบให้ลูกได้เรียน พอมาทำแล้วมีปัญหาฝั่งครูอีก ปวดกระบาล
ทำเป็นคลิบวีดีโอสอนทางไกลไปเลยดีกว่ามั่ง พ่อแม่กลับมาบ้านยังบังคับให้ลูกนั่งดูได้ ไม่ก็นั่งดูไปด้วยกันกับลูกเลย
โอ้ แนวคิดเรียนผ่านวิดีโอ one way communcation นี่ ย้อนยุคไปไกลเลยนะครับ
ผมว่าย้อนหรือไม่ย้อนไม่น่าจะเป็นประเด็นนะครับ ตอนนี้เป้าประสงค์คือการทำให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้จากทางไกล ควรจะต้องมีเครื่องมือทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษาได้ตลอดเวลา
ส่วนหนึ่งก็เข้าใจว่ามันยังใหม่มาก แนวทางตอนนี้มันยังไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน เหมือนต่างคนต่างคลำหาทางกันไป เรื่องการศึกษาแบบทางไกลสิ่งนี้ควรจะรีบหาแนวทางที่ชัดเจน การประเมินผลรูปแบบการสอน เพราะในอนาคตไม่ว่าจะมีโควิดหรือไม่ การศึกษาแบบนี้ยังไงก็ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน
ยังงี้ถือว่าไปบีบคอเอกชนป่ะหว่า
ไม่ครับ เป็นการ "ขอความร่วมมือแบบไทยๆ" ครับ
บางที่ DB พังแต่หมด MA ยังไปขอเค้า Service เลยครับ สุดจริงๆกับระบบตราครุฑ
ตามนั้นครับ
การทำตามสัญญา หรือ อะไรให้ได้ตามกฎ 100 เปอร์เซนต์เป็น
ไปไม่ได้หรอกครับ
ควรจะให้แพ็กเน็ตนี้ตั้งแต่นร.เรียนที่บ้านเมื่อปีที่แล้วละมั้ย? แต่เอาจริงๆ 10Mpsb คือไม่ไหวอะสำหรับผมทำงาน
The Dream hacker..
เน็ตชายขอบก็เจ๊งบ๊งไปอีก เฮ้อ
I need healing.
ทำมัยเพื่อนสมาชิก ติกันบ่อยจัง? เราน่าจะมองในมุมดีๆนะ
ส่วนตัวผมมองว่าเป็นเรื่องดี ทางเอกชนออกมาช่วยสนับสนุน
ทำให้เกิดความร่วมมือของประชาชนมากขึ้น แก้ปัญหาบางส่วนไปได้หรือบรรเทาลง ถึงแม้จะไม่สามารถแก้ได้ทั้งหมดก็ตาม ค่อยๆแก้ไปที่ละอย่างสองอย่างเพื่อให้ทุกอย่างดีขึ้น ทั้งนี้เพือพวกเราทั้งหมดเองด้วย
ขอเรียนด้วยความเคารพครับ
ประเด็นคือมันควรเป็นหน้าที่ รบ. รบ. ต้องประกาศออกตัวก่อน
มันเป็นเรื่องของรัฐศาสตร์ที่ฝ่ายรัฐต้องออกมานำครับ
แล้วเอกชนจะช่วยออกให้ หรือสนับสนุนส่วนอื่นก็ว่ากันไปครับ
ถ้าผมจำไม่ผิด งวดปีที่แล้วหลายๆประเทศในยุโรป
รัฐสั่งจำกัดความเร็วเน็ท คนที่แพ็คต่ำกว่ารัฐจ่าย
คนที่แพงกว่าให้เอกชนลดไปเลยเดี๋ยวรัฐซัพค่าเสียหายตรงนี้ให้
คือมีคนแสดงความเห็นตามเฟสว่าต้องให้รัฐซื้อมือถือให้คนไม่มีไหม?
ผมพูดเลยว่า "ใช่ครับ รัฐต้องซื้อให้เพราะเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องหา
สวัสดิการขั้นพื้นฐานแจกจ่ายให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียม
อะไรที่เป็นสิ่งที่ใช้ในการดำรงชีพรัฐต้องจัดหาให้
ในเมื่อมือถือเป็นปัจจัยในการดำรงชีพในภาวะวิกฤตรัฐต้องจัดหาให้
เหมือนศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทำไมไม่มีคนพูดว่า ทำไมรัฐต้องช่วยมั่งหละ?"
ยุโรปอีกเหมือนกันรู้ว่าถ้าต้องจัดหาอุปกรณ์ให้เค้าก็ไม่มีที่ชาร์จให้
ก็จัดการหา incentive อุปกรณ์ให้ หรือให้ยืมอุปกรณ์จาก รร.กลับบ้าน
หรือก็เปิดศูนย์พิเศษแก่แรงงานรายวันหรือโฮมเลส
แต่กับ รบ. ประเทศบางประเทศจู่ๆก็ สับปังบอกหยุดนะ 4 ม.ค. - 31 ม.ค. 64
แต่แล้วออกมาให้สัมภาษณ์เก๋ๆ ว่ามีความพร้อมสอนได้ ไม่มีกฎคุมเอกชนในเรื่องค่าธรรมเนียม
การศึกษาซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรง แล้วยังมาบอกเดี๋ยวเด็กดอยติดเหา
คุณไม่ห่วงหรอว่าในภาวะงี้เด็กดอยจะเรียนยังไง?
วันก่อนผมก็เห็นผู้ปกครองของประเทศนึงๆเหมือนกันทั้งพาลูกพาหลานแห่มาซื้อ
หรือ มาซื้อด้วยตัวเอง ซื้อคอมยี่ห้อประเทศจีนยี่ห้อนึงราคา
หมื่นกว่าบาททั้ง All in one ทั้ง NB ทั้งๆที่คนเบาบาง
แต่คนถือคอมเดินออกจากห้างเรื่อยๆ
มันก็อดทำให้คิดไม่ได้จริงๆ
เด็กๆเดินหน้าบานได้คอม
ผปค. คิ้วชนกันเบิกเงินสดไปจ่ายค่าคอม
อ่าน คอมเมนต์แล้วรู้เลยว่า วันๆเสพแต่สื่อแบบไหน และไม่ได้อยู่ต่างประเทศแน่นอน
แนะนำให้ลองมาอยู่ครับ แล้วจะเข้าใจว่าที่พิมพ์ๆมานี่ รวมพลังอวยจากสื่อไปแล้ว เป็นสิบๆเท่าจากความจริง
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
ไม่ทราบมีข้อมูลความจริงที่ ตปท. มั้งไหมครับ?
หรือมีชุมชนให้ผมเบิกเนตรไหมครับ
ขอบคุณครับ
+1024 ไปเที่ยวกับไปอยู่จริง มันคนละเรื่องเลยครับ
จริงครับ Negative Thinking มากเกินไป
คือเวลาปกติก็จะให้สาธารณูปโภคพื้นฐานเป็นของเอกชน
แต่พอมีปัญหาอะไร ก็จะให้รัฐช่วยเรื่องสาธารณูปโภค
แล้วพอรัฐช่วยก็ได้ดราม่า
ไม่หาว่า รัฐหักคอเอกชน ก็รัฐเอื้อนายทุน
เห็นเลยว่าไม่ได้คิดอย่างเป็นระบบเท่าไหร่
แถมตีความ fact ให้ negative ไว้ก่อน
จากนั้นก็ภูมิใจว่าตัวเองฉลาด คิดได้เหนือล้ำกว่าใคร ?
ติเพื่อให้เห็นปัญหาไงครับ ผมเองก็เห็นด้วยกับมาตรการครั้งนี้นะแต่ก็ชอบอ่านความเห็นแบบอื่นๆทำให้เห็นสิ่งที่เราไม่ทันคิด
กว่าจะคิดได้อะ กสทช. ควรทำตั้งนานตั้งแต่รอบแรกละ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
Work From Home นี่ไม่ได้ใช้งานผ่าน WiFi ด้วยเน็ตบ้านอย่าง ADSL/Fiber กันหรอกรึ
มีคนจำนวนมากที่แทบไม่ได้อยู่บ้านอะครับ ออกจากบ้านเช้า กลับมาถึงค่ำ-ดึก มีเวลาแค่ 3-4 ชั่วโมงก็เข้านอนละ เลยตัดสินใจไม่ติดเน็ตบ้าน แล้วใช้โปรเน็ตมือถือแพงหน่อย (แต่ถูกกว่าจ่ายทั้งเน็ตบ้านและมือถือ)
หรืออีกกลุ่มคืออยู่คอนโดในเมือง ไม่ติดเน็ตในห้องเพราะไม่คุ้มตามเหตุผลด้านบน เสาร์อาทิตย์กลับบ้านพ่อแม่มีเน็ตบ้านใช้ปกติ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ต่างคน ต่างกรรม ต่างวาระ ทำให้ไม่มี Net Fiber ใช้ครับ รอบตัวผมก็มีอยู่ครับที่จำเป็นต้องใช้เน็ตมือถือ WFH ครับ
บ้านผมไม่มีเน็ตไฟเบอร์ยี่ห้อไหนเข้าถึงครับ ทำอย่างไรดีครับ
คนอยู่หอ อยู่อพาร์ตเมนต์ น่าจะเยอะกว่าคนอยู่บ้านตัวเองนะครับ และส่วนใหญ่เน็ตจะห่วยและติดเน็ตเองไม่ได้ต้องต่อเน็ตจากมือถือเอา
The Dream hacker..
คนรู้จักอยู่หอพัก (อพาร์ทเม้น) เยอะมาก ส่วนใหญ่ไม่ได้ติดเน็ตที่ห้อง พอ WFH ก็ต้องใช้กันแต่เน็ตมือถือ ต้องเปลี่ยนโปรเพิ่มราคากันวุ่นวายพอสมควร
เหตุการณ์แบบนี้ก็ควรทำ แต่ผมสนับสนุนให้เป็นโครงการถาวรนะ อาจจะ 79 หรือ 59 เลย แล้วเอาเงิน USO ไปสนับสนุนเท่าไหร่ว่าไป ซื้อได้คนละซิมต่อบัตรประชาชน (โครงสร้างพวกระบบล็อกสองชั้นมีอยู่แล้ว) ค่ายมือถือเองอาจจะบอกว่าซิมแบบนี้ไม่ร่วมโครงการโปรโมชั่นอื่นใดอีก หรือแม้แต่ใช้งานบางอย่างไม่ได้ (eg: โทรต่างประเทศ)
ช่วงเวลาปกติหลังจากนี้ก็ให้ความเร็วพอใช้งานได้ 512kbps ก็น่าจะพอไหว พอมีเหตุจำเป็นต้องช่วยเหลือรัฐก็เติมเงินให้ขอให้เพิ่มความเร็วแบบนี้ก็ได้
lewcpe.com, @wasonliw
+1
edit : ผิดที่งับ (เขิน)
+1
เห็นด้วยครับ และควรทำมาตั้งนานแล้ว เป็นมาตรฐานกลางไป
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
ค่ายได้เบอร์เพิ่ม อาจได้ยอดเพิ่มด้วย win-win
ชอบโปรแบบนี้อยู่ครับ
ผมยังใช้ 4Mbps 699 อยู่เลย 55555
มีเหตุผลที่ไม่เปลี่ยนโปรไหมครับ
ระยะหลังผมไม่เห็นโปรอันลิมิตเลยไม่ได้เปลี่ยนครับ
เพื่อนผมใส่สองซิมไปซื้อพวกลูกเทพหลานธอร์ 10 Mbps ปีละ 1300 บาทแล้วเปลี่ยนเบอร์หลักโทรเข้าออกอย่างเดียวครับ
มีโปรปกติ 10Mbps 399 AIS อยู่นะครับ
The Dream hacker..
อีกเบอร์ผมใช้โปร AIS Fibre อยู่ครับ (799 มั้ง เน็ต 50/50 อัพเป็น 300/300, wifi, 4G 4Mbps)
อันนี้รุนแรงมากครับ ทุกค่ายน่าจะมีโปรดีกว่านี้นะครับ 555
[S]
dtac ตัว unlimit ปัจจุบันเหมือนจะเริ่มต้นที่ 1099 ครับ (แต่เร็ว 42Mbps นะ)
ผมไม่ได้นับพวกโปรลับ โปรลูกกรอก โปรกุมารทอง อะไรพวกนั้นนะ
ปล.พอดีขึ้เกียจย้ายค่ายเลยไม่ได้เช็คค่ายอื่นครับ
ของผม AIS Unlimited เท่าที่เครือข่ายตรงนั้นจะให้ได้ที่ 1199 (4G/3G)
ผมใช้ FINN Mobile ครับ 189 ก็ใช้ 10Mbps ไม่จำกัดแล้ว
ขอนอกเรื่อง ถ้าสามารถกำหนดให้แอพใดแอปหนึ่งไม่คิดดาต้าได้ อยากให้มีแอพของรัฐไทยที่เป็นแอพพิ้นฐานเพื่อสิทธิประโยชน์จากรัฐของคนที่อยู่ในประเทศไทย (ไม่จำกัดต้องเป็นคนไทย)
ผมว่าแนวคิดนี้ ควรมีตั้งนานแล้ว และควรที่จะทำให้เป็นรูปเป็นร่างจริงจัง เพื่อผลักดันทั้งเรื่องนี้ และสังคมไร้เงินสด
ผมว่าบริการที่เป็นของรัฐ(และธนาคาร) ควรที่จะหาทางร่วมมือกันกับโอเปอเรเตอร์(จะแบ่งเค้กกันยังไงก็ตามแต่) เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย(ค่า data) ซึ่งถ้าทำได้ จะเป็นดันให้ทุกคนใช้ระบบออนไลน์ขึ้นมาก อย่างน้อยก็พอมองเห็นภาพได้ว่าสังคมไร้เงินสดจะเริ่มได้ยังไง อย่างน้อยตอนนี้ก็มีแอปเป๋าตังที่พอปูทางไว้ให้ได้ดีแล้ว มันขาดแค่เรื่องเนทนี่แหล่ะ และต่อยอดถึงบริการอื่นๆ ในอนาคตได้ด้วย(นึกถึงชาวบ้านที่ไม่ได้เล่นโซเชียล ไม่ได้ดู youtube และไม่ได้มีเงินเหลือเฟือ เค้าจะมีเนทมือถือไปเพื่ออะไร แค่เพื่อหมอชนะ หรือเอาแค่เป๋าตัง จะแค่ 49 บาท หรือ 99 บาท สำหรับคนไม่มีรายได้ หรือรายได้ต่ำกว่า 300/วัน เงินแค่นั้นก็มีความหมายมากสำหรับเค้าที่จะต้องเสีย)
ระบบ promptpay ปูพื้นฐานเรื่อง cashless ไว้ดีมากๆ เลยหละครับ การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตระดับสาธารณูปโภคพื้นฐานน่าจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย
มาคิดไปคิดมา internet ควรจะเป็นสาธารณูประโภคพื่นฐานได้แล้วนะ แต่อาจจะต่างจากไฟฟ้ากับน้ำประปาตรงที่ ISP ของรัฐให้บริการในระดับที่พอใช้ได้และราคาซัก 30 บาท (5 Mbps/1 Mbps) แต่ ISP ของเอกชนก็สามารถให้บริการตามที่เอกชนรายนั้นๆ ต้องการได้ครับ
คือถ้าไม่มีกระแสเรื่องหมอชนะ จะมีอะไรแบบนี้มั้ยนะ