ทีมพัฒนาแอพ "หมอชนะ" ซึ่งเป็นอาสาสมัครภาคเอกชนที่ใช้ชื่อกลุ่มว่า Code for Public ประกาศส่งมอบสิทธิการดูแลซอร์สโค้ดและกระบวนการพัฒนาทั้งหมดให้ "รัฐบาล" (ในโพสต์นี้ไม่ระบุชัดว่าเป็นหน่วยงานใด ผู้รับผิดชอบหลักก่อนหน้านี้คือ DGA) แต่ทีมงานเดิมจะ fork โครงการออกเป็นชื่อใหม่ว่า SQUID
ตอนนี้ซอร์สโค้ด, repository เดิม, และเฟซบุ๊ก "หมอชนะ" ถูกส่งมอบให้รัฐบาลแล้วเมื่อวานนี้ (15 มกราคม 2564) โดยทีม Code for Public ระบุว่าจะแก้บั๊กรอบสุดท้ายให้ภายใน 2 สัปดาห์ แต่จะนำขึ้นอัพเดตในแอพเวอร์ชันแจกจ่ายบน store หรือไม่ ขึ้นกับแนวทางของหน่วยงานภาครัฐ
กระบวนการพัฒนาแอพ "หมอชนะ" เปิดเป็นโอเพนซอร์สมาตั้งแต่ต้น โดยซอร์สโค้ดอยู่บน GitHub Code for Public
ที่มา - Code for Public Facebook
Comments
เป็นอาสาสมัครคือไม่ได้เงินใช่ไหมครับ ขอขอบคุณที่ทำเพื่อส่วนรวมนะครับ
ขอบคุณที่ช่วยเหลือประเทศ ดีแล้วที่ต่อไปก็จะได้ไม่ต้องทนโดนด่าอีกต่อไป
ดีแล้วครับ เห็น ศบค ก็เคลมผลงานมาตลอดอยู่แล้ว ก็เอาไปให้ทำต่่อไปเองเลย แต่ตอนนี้ก็แสดงว่าข้อมููลแทรกกิ้งuser ที่แอพมีทั้งหมดอยู่ในมือหน่วยงานราชการแล้วถูกไหมครับ
เท่าที่อ่านดู เค้าจะล้างฐานข้อมูลในส่วน data ที่สำคัญก่อนส่งให้ภาครัฐคับ
อย่างงี้ต้องเปลี่ยนข้อตกลงการใช้งาน แล้วก็แอปก็คงจะลดความโปรงใสลงอีก คิดแล้วสยอง
ผมเข้าใจมาตลอดว่าแอพนี้รัฐเป็นโต้โผออกเงินจัดทำเอง ที่แท้เอกชนทำให้ฟรีเหรอเนี่ย
ก่อนหน้ายังหมอชนะยังพอมีความน่าเชื่อถือที่เขียนโดย volunteer ถึงแม้ว่าความน่าเชื่อถือจะลดลงไปเยอะอยู่หลังข่าว“บังคับ”ลงแอป
แต่ตอนนี้บอกเลย ลาก่อย ยิ่งตอนนี้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลเท่ากับ 0 ด้วย
ผมเพิ่งทราบว่าเป็นการพัฒนาโดยอาสาสมัครภาคเอกชน ผมขอกล่าวคำว่า "ขอโทษเป็นอย่างสูง" กับทางทีมงาน เนื่องจากเมื่อก่อนคิดว่าเป็นแอพที่ทางรัฐบาลจ้างเอกชนพัฒนา เพราะทางศบค.ทำให้เข้าใจผิดอย่างนั้น
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
สะพัด ทีมพัฒนาแอป "หมอชนะ" จ่อถอนทีม แฉโดน "ผู้ใหญ่" กดดัน
คือ? App นี้มีประโยขน์แค่เครื่องสะกดรอยตาม ?
สงสัยมานานแล้วว่าทำไมเวลามีข่าวถึงคนนั่นคนนี้มาจากผู้ใหญ่มาจากเจ้าหน้าที่ ถึงระบุชื่อเจ้าตัวตรงๆไม่ได้ (จะได้ไปด่าถูกคน)
บ้านเรานิยมลงโทษคนทำข่าวหลุด มากกว่าจะลงโทษคนในข่าวที่กระทำผิดครับ .....เพราะมาตรา 157 มันกว้าง ตีความด้วยดุลพินิจ ทำให้คนที่ดูเหมือนผิดเพราะใช้อำนาจคุกคามกลายเป็นไม่ผิด ด้วยข้ออ้างว่าไม่มีเหตุผลส่วนตัวที่จะคุกคามอีกบุคคล แต่คนที่เผยแพร่ข่าวความไม่โปร่งใสอาจเป็นคนผิดแทนเพราะละเมิดคนอื่น :P
พูดแล้วเหมือนงงเอง วกไปวนมา เค้าถามว่าทำไมไม่ระบุตัวผู้กระทำผิด จะได้ด่าถูก ตัวคนปล่อยข่าวเค้าไม่รู้อยู่แล้วว่าใคร เพราะเค้าปิดชื่อไว้
การระบุชื่อคนที่ทำผิด มันทำให้เกิดการแก้ปัญหาได้ตรงจุด สังคมกดดันได้ถูกตัว อย่างข่าวนี้ มนุษย์เลเวล1 ในเน็ต แห่มาด่า ท่านโนบิตะกันแหลกราญ ทั้งๆที่ตัวปัญหาในข่าวคือปลัด คือคนมันแยกกันไม่ออกจริงๆ ด่ากันมั่วไปหมด ถ้าระบุมาเลยก้อจะได้อายบ้าง
ส่วนข้ออ้างเรื่องไม่มีมูลเหตุจูงใจ (เหตุผลส่วนตัวที่คุณพูดมานะแหละ) ถ้าถูกสาว ฝ่ายคนปล่อยข่าวเค้าก็ใช้เป็นข้ออ้างได้เหมือนกัน แล้วก็ใช้กันเยอะด้วย แถมเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะก็ได้รับข้อยกเว้นในกฎหมายหมิ่นฯอีก (แต่คนไม่รู้กฎหมายกันเยอะ ไม่ชอบอ่าน แต่ชอบออกความเห็น)
สรุปคือ ระบุตัวมาเลย จะได้ซัดถูก
ระบุชัดก็สุ่มเสี่ยงโดนฟ้องอ่ะครับ ถึงจะมีหลักฐานตามที่พูดแต่ก็เสียเวลาไปสู้คดีอีก วุ่นวาย ตัดชื่อออกปัญหาก็จบ คนโพสต์ก็ไม่ได้เจตนาให้คนไปด่าใครต่ออยู่แล้ว (มั้ง) ถ้าคนอ่านแล้วไปด่าผิดคนก็ไม่ได้ผิดที่คนโพสต์สักหน่อย
ผมอาจจะอธิบายไม่ชัด
แต่ที่ผ่านมา คนแฉ โดนฟ้อง โดนไล่ออกจากราชการครับ ไม่ว่ากระแสสังคมเป็นอย่างไรก็ตาม จำคดี จดหมายน้อยในสานได้ไหม?
ถ้าระบุชื่อชัดๆ จะทำให้สืบสาวได้ง่ายมาก ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวหลุด
เคยมีคนพูดว่า บ้านเราพูดความจริง ยิ่งจริง (คนพูด)ยิ่งผิดครับ เพราะถือเป็นการให้ร้ายทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง แต่คนที่โดนว่าทำผิด มักจะมีช่องทางกฎหมายและการตีความด้วยดุลพินิจช่วยเอาไว้เสมอ
คำว่าได้รับการยกเว้นในคดีหมิ่นฯ แต่ไม่ได้่รับการยกเว้นในพรบ.คอมฯ ครับ....ยังไม่นับเรื่อง"ดุลพินิจ"อีก
อย่าคิดว่าวิจารณ์รัฐด้วยข้อเท็จจริง แล้วจะรอดเสมอไป ถ้าฝ่ายผู้มีอำนาจไม่เอนมา การวิจารณ์โดยสุจริต จะกลายเป็นหมิ่นประมาท แต่ในทางกลับกัน ถ้าเป็นอีกฝ่ายต่อให้ใส่ร้ายต่อพ่อล้อแม่แค่ไหน ก็สรุปว่าเป็นการวิจารณ์โดยสุจริตได้
กลัวโดนอะไรมั้ย
ไม่มีหลักฐานไง ถามว่าผมเชื่อมั้ยก็ตอบว่าผมเชื่อ แต่ถ้าถูกฟ้องขึ้นมาแล้วไม่มีหลักฐานก็เละอ่ะ
บางที่หงุดหงิดใจ กับข่าวแนว แคปจาก Line หรือ มือถือถ่ายกระดาษ A4
แล้วชูว่าเป็นข้อมูลหลุด
ทั้งๆที่ มันสร้างปลอมได้ง่ายมากๆเลย
เมื่อเวลาผ่านไป หลายเรื่องก็เงิบกันไปไม่น้อย
ส่วนตัวเลยไม่ค่อยให้น้ำหนักอะไรพวกนี้เท่าไหร่
กับ App นี้ ไม่ใช่ครั้งแรกครับ
https://www.blognone.com/node/116133
นั่นสินะ คงต้องให้หลุดเป็นคลิป ก็จะมีใครว่าdeep fakeอีกไหม?
ประเด็นคือมันเคยมีข่าวความขัดแย้งของทีมงาน โดยที่เจ้าตัวเคยออกมาพูดตั้งแต่แรกๆแล้วด้วยซ้ำ ไม่ใช่ไม่มีมูลอะไรเลย
นีสินะครับมาตรการที่จะลดยอดผู้ป่วยยืนยันแค่ลดขอบเขตPUIจะได้ไม่ต้องตรวจเลขผู้ป่วยจะได้ลดลง
งั้นรอตัวใหม่แทนละกันของเดิมมันเริ่มมั่วละ ขอบคุณทีมงานที่พัฒนาโปรแกรมดีๆแก่สังคมครับ
ทีมพัฒนาแอพหมอชนะ น่าจะชวนน้องที่เคยเป็นทหารแต่ลาออกไปแล้ว ซึ่งเคยทำเว็บพิกัดหน้ากากอนามัยเมื่อปีก่อน มาร่วมทีมพัฒนาแอพใหม่นะ
แอพนี้ผมลบใน 5 นาทีเลย กินแบตเกินไป
กินแบต... แปลกแฮะทำไมของผมถึงไม่ค่อยกิน
แต่ที่กินสุดๆน่ะคือเน็ต บอกเลยว่าฟาด 4G จน FUP เกือบเกลี้ยง
ฟางเส้นสุดท้ายคือข่าวนี้แหละ ผมไม่เอาแล้ว จะ Fork ใหม่ก็ไม่ลงแล้ว
(มุก)SQUID โหลดมาลงเองก็ได้หนิ จะ fork ทำไม
Uninstall แอพทิ้งทันที
ปล.ผมอยู่ต่างประเทศครับ
ถ้าเข้าใจไม่ผิด มัน trace people in contact ได้ ถ้ารัฐเอาไปดูแล ใครจะรู้ ... อีกหน่อยอาจเก็บข้อมูล trace id + หมายเลขโทรศัพท์ ถึงเวลาก็เอาไป look up ทำแผนที่ว่าใครอยู่ที่ไหนสบายเลย
ถ้าเค้าสามารถนะครับ คือตัวนี้ถ้ามัน open อยู่แล้ว ถ้าเค้าจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกก็ไม่น่าจะยากนะ
ผมว่าเค้าทำ project จ้างใหม่เป็น บ.ตัวเองจะง่ายกว่า
ถ้าเค้าจะทำ? ตอนแรกเอกชนดูแล ตอนนี้รัฐจะดูแลเอง ผมหมายถึงรัฐนะครับที่จะทำ เพราะเอกชนทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว
ขอโทษครับ พูดไม่ชัดเจน เค้าหมายถึงรัฐน่ะครับ
ขอบคุณทีมงาน ขอให้ทีมงานโชคดีครับ
ได้ปลีกตัวออกจากคำด่าทอแล้ว
ส่วนผมได้เวลาลบแอพแล้ว
ตอนแรกจะศึกษา code กับ app ตอนนี้น่าจะจบแค่นี้
ผมคือคนที่อาศัยอยู่ห่างจากตลากกุ้ง และพัทยาที่เป็นข่าวไม่เกินระยะ 3กม และทำงานไกล้ชิดกับพม่าและผู้ติดเชื้อแทบทุกวัน app นี้ให้ qr ผมสีเขียว และไม่เคยแจ้งเตือนความเสียงใดๆ ทั้งๆ ที่รอบตัวผมมีแต่คนติดเชื้อ app นี้จึงปล่าวประโยชน์อย่างแท้จริงครับ
ผมเม้นในข่าวเก่าๆ ว่าผมลบแอพออกละ เนื่องจากลองใส่ข้อมูลแบบสัมผัสโดยตรงหับผู้ติดเชื้อ + ทำงานกับคนต่างชาติ + ไปพื้นที่เสี่ยง แต่แอพบอกว่าผมอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ
แถมช่วงปีใหม่คนในซอยบ้านติดโควิดกัน 5 คน แต่แอพไม่มีข้อมูลส่วนนี้ และบอกว่าผมอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ำอีก
ตอนแรกแค่ตั้งข้อสงสัยว่าคงเป็นเพราะพยายามปิดบังช้อมูลบางส่วน ... ตอนนี้เชื่อมากขึ้นแล้วว่าเป็นเรื่องจริง
ถ้าพื้นที่ตรงนั้นไม่มีคนลงแอพ หมอชนะ มันจะไม่เตือนรึเปล่าครับ? เพราะไม่ได้อยู่บนระบบหมอชนะ
ใช่ครับ
ผมโทรไปถาม มันมีเจ้าหน้าที่ปักพินตอนได้รับการยืนยันแล้วครับ แต่จังหวัดผมประกาศว่าจะเลิกประกาศไทม์ไลน์ เลิกแจ้งตำแหน่งผู้ติดเชื้อ ผมเลนโทรำปถามสธ.จังหวัด สธ.บอกว่าต้องรอให้มีคนมาป้อน ตอบเลี่ยงๆ ไม่ยอมตอบว่าเพราะอะไรจึงยังไม่มีใครปักพินหลังเลยมา 7 วัน
คำตอบก็น่าจะอยู่ในแชทที่หลุดมานั่นแหละครับ
ไม่ได้เกี่ยวกับปักพินครับ ผมไม่อยากสาธยายต่อแล้ว เพราะต่างก็ถอนตัวกันหมดแล้ว
ผมขอสรุปสั้นๆ ว่า "หมอชนะ" ออกแบบมาเพื่อให้ทำ "Person lockdown" ครับ ไม่ใช่ "Area lockdown" เพราะ COVID-19 ไม่ได้ติดต่อด้วย Area ครับ แต่ติดต่อด้วย Person contact
หมอชนะจึงเป็นแนวคิดการ Trace ตามปรากฏการณ์ของการติดเชื้อแบบ Exponential จึงไม่สามารถให้ใครก็กำหนดสีของตัวเองส่งเดชได้
การกำหนดสีของผู้ติดเชื้อ จึงต้องยืนยันด้วยแพทย์ (ซึ่งยังไม่ได้พัฒนาถึงตรงนี้เลย)
การสอบถามในแอปก็ยังไม่ได้นำไปใช้อะไรทั้งนั้น ตลอดจนไม่ได้ส่งข้อมูลขึ้น Server ด้วยครับ เป็นเพียงการเผื่อที่จะให้แพทย์เข้าตรวจผู้ที่สงสัยตัวเอง (ตอบให้ตัวเองเป็นผู้มีความเสี่ยงสูง) และต้องยืนยันด้วยแพทย์ก่อนครับ
เนื้อไม่ได้กิน หนังก็ไม่ได้รองนั่ง เปลืองตัวกันแล้วครับ
ยิ่งเวลาต้อง convince กับคนที่ออกตัวไว้แรงเรื่อง "Exposure Notification API" ยิ่งปวดกบาลครับ
ขอบคุณฮะ ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมทางสธ.จีงหวัดถึงบอกผมมาแบบนั้น
สธ.เอง ไม่ได้เข้าใจหมอชนะดีและการปรับสถานะผู้ติดเชื้อยังต้อง query มือ ก็เลยเป็น "เผือกร้อน"
Frontend ฝั่งแพทย์ก็ยังไม่ได้เริ่ม
และ... อีกหลายเรื่องทางการเมือง...
ป่ะ... แยกย้าย!
สลายโต๋
เท่าที่ดู หมอชนะ จะจับ gps กับเก็บ bt ที่เข้ามาใกล้
ซึ่งถ้าเจอคนติดเชื้อ แล้วเขียนโปรแกรมแบบ recursive
มันน่าจะสามารถเตือนคนที่เข้าใกล้เป็นทอดๆได้หมดในช่วงเวลากำหนด
แต่ถ้ามีคนแกล้งระบบด้วยการตอบแบบสอบถามให้ตัวเองเสี่ยงเป็นสีแดงโดยไม่มีการกรองข้อมูลยืนยัน แล้วเดินไปทั่วเมือง
ก็จะทำให้คนเข้าใจผิดในวงกว้างว่าเข้าใกล้คนติดเชื้อ
เลยไม่ยอมให้เป็นสีแดงจากการตอบแบบสอบถามเอง
แต่ทำให้คนที่ตอบตามความจริงไม่ขึ้นสีแดงไปด้วยเนี่ยสิ ?
อะฮ้า! มีคนในนี้เก๊ตบ้างแล้ว! (ที่จริงไม่ได้เขียนเป็น recursive นะครับ แต่เป็น query บน Server ล้วนๆ)
"ความจริง" คือสิ่งที่แพทย์ต้องเป็นผู้ confirm ไงครับ (ยังทำไปไม่ถึง) เพราะว่าแพทย์เท่านั้น ที่สามารถเป็นผู้ประเมินด้วยว่าผู้ติดเชื้อคนนี้ติดมาประมาณกี่วันแล้ว จะต้องเริ่ม Trace จาก Timeline ของผู้ติดเชื้อบน Server ตั้งแต่วันไหนเวลาอะไรเพื่อปรับความเสี่ยงของคนอื่น (แค่ Exposure Notification API ทำได้ไหม? ไม่เก็บ GPS และ BT ขึ้น Server จะทำแบบนี้ได้เรอะ?) และหาความเสี่ยงใน level ต่อๆ ไปของ "คนอื่น" ที่เข้าใกล้ "คนอื่น" ในลำดับก่อนหน้า (Exponential) และลำดับต่อๆ ไปโดยลดหลั่นระดับความเสี่ยงของบุคคลไปตามลำดับ
เอาตามเป้าหมายคือ ผู้ที่ตอบความจริงแค่ยื่น QR ของตัวเองให้แพทย์ Scan เท่านั้น ฝั่งแพทย์ก็จิ้มปุ่มยืนยันในแอปตัวเองรับรองสถานะการติดเชื้อและระบุวันและเวลาประมาณที่ผู้ป่วยเริ่มแพร่เชื้อได้ตามการประเมินของตัวแพทย์เอง ฝั่ง Server ก็ query ปรับสถานะ Contact person แบบ Exponential ทั้งยวงโดยเริ่มจากวันและเวลาที่แพทย์ประเมินมาตามบันทึกตำแหน่งและ BT ที่เข้าใกล้ ซึ่งก็ paranoid กว่าความเป็นจริงแล้วเนื่องจากหมอชนะไม่รู้พฤติกรรมระวังป้องกันตัวของแต่ละคน (ยังมีการวิเคราะห์แยกแยะด้วยแนวทางการเคลื่อนที่ของแต่ละคนเพื่อลด paranoid ลงอีก)
และถ้าผู้ติดเชื้อไม่มีหมอชนะ คน query ก็มือหงิกครับ! ต้องถอดจาก Timeline ที่สอบสวนปาก ซึ่ง error สูงมากทั้งตำแหน่งและเวลาโดยไม่มีข้อมูล BT (โอกาสในการรับเชื้อ) ด้วย
ถ้าปรับสถานะตัวเองกันง่าย ก็ไม่ต่างจาก Area lockdown อย่างที่ทำกันอยู่เดิม
แดงกันทั้งพื้นที่!! แยกแยะเป็นรายตัวไม่ได้! Area paranoid! เศรษฐกิจพัง!
เหมือนขังคนปกติไว้ในพื้นที่เดียวกับคนติดเชื้อแบบเหมารวม! (เช่นคนสองจังหวัดข้ามไปมาหากันไม่ได้แบบปกติแม้จะเป็นคนปกติ) ซึ่งไม่มีประโยชน์เลยเมื่อมีผู้มีความเสี่ยงเพียง 1 คนออกนอกพื้นที่ไป ก็ลุกลามเช่นที่กำลังเป็นอยู่นี้
เราจะไม่สามารถทำ Person lockdown ได้ครับ ถ้าไม่ยอมให้เสียสละข้อมูล เวลา GPS และ BT ไปเรียงรอไว้บน Server
โดยที่ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าคุณเป็นใคร เพียงแค่ต้องแน่ใจว่าคุณเปลี่ยนดัชนีชี้ชุดข้อมูลของคุณพร่ำเพรื่อเองไม่ได้เท่านั้น (ล็อครูป 14 วัน)
ประเด็นคือ มีคนป่วยแล้ว + มี App แล้ว + หมอยืนยันแล้ว แต่หมอไม่มีสิทธิ์กดให้ app เป็นสีแดง (ต้องรอระดับรัฐมนตรีอนุมัติ หรือไม่ก็รอชาติหน้า)
ผ่านมาตั้้งปีนึงแล้ว ยังไม่มีคนconfirm ผู้ติดเชื้่อในแอฟอีกหรือครับ?
แสดงว่าที่ผ่านมา ไม่เคยใช้ได้จริง?
ถ้าบอกว่าต้องการแค่person lockdown อันนี้ exposure api ก็ทำได้อยู่แล้วหรือเปล่า เพียงแต่"รัฐ"ไม่มีทางรู้ จะแจ้งเตือนแค่เจ้าของเครื่องที่พบว่าเสี่ยงเท่านั้น?
เห็นตอนแรกอ้างว่า ต้องเก็บgpsเพื่อที่จะcleaning areaทีหลัง คราวนี้ไม่ใช่อีกแล้วหรือ?
"ความจริง" คือสิ่งที่แพทย์ต้องเป็นผู้ confirm ไงครับ (ยังทำไปไม่ถึง)
แสดงว่า ระบบยังไม่ได้ implement หมอที่มีสิทธิ mark คนให้เป็นสีแดง สินะครับ
อาจจะเพราะแอปปกติหลีกเลี่ยงการเก็บข้อมูลส่วนตัว
เลยไม่มีระบบยืนยันตัวตน/login ใน หมอชนะ
ทางแก้คงต้องทำ app แยก แบบ fb/fb admin
เป็น หมอชนะ / หมอชนะ admin
แล้วให้แพทย์จริงๆ/คนของ สธ. ลง หมอชนะ admin
แต่ระบบหลังบ้านน่าจะต้องทำอีกไม่น้อย ?
ได้แต่หวังว่าคนร่วมมือกันเยอะๆ ให้ข้อมูลพร้อมบน server
พอระบบทำเสร็จก็จะได้วิ่งได้เลย
ผลที่ได้คือ เราสามารถตามโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้อง lockdown ทั้งเมือง
เศรษฐกิจประเทศเดินหน้าได้พร้อมๆกับคุมโควิดได้
ผมจึงไม่ชอบที่นี่จริงๆนะ
เรื่องปั่นให้คนหลอนภาครัฐจนไม่ลงหมอชนะเนี่ย
และ... เพราะความยินดีร่วมมือของ สธ. (ให้ฟังที่เขาอ้อมแอ้มชี้แจงดูนะครับ)
ความเสียหน้าบางประการของบางกลุ่มคนตลอดจนการเมือง
ก็โดนวางข้างถังขยะมา 8 เดือน คงเดาออกนะครับ
https://youtu.be/EdMGH9UB9DA
ส่วนย่อหน้าสุดท้ายของคุณ
ตอนนี้ผมกลายเป็น New user โดนลดโพสเหลือ 4 โพสต่อวัน ไม่เกิน 20 โพสต่อเดือนแล้วครับ
โดนเองบ้างแล้ว!
เรื่องเกียร์ว่างมา 8เดือนนี่ เรียกว่า นิสัยคนไทยเลย
คือ ทำแล้วไม่ได้ใช้/เสียเปล่า แย่กว่า จะใช้แล้วไม่ได้ทำ = ค่อยทำตอนจะใช้ก็ได้
ตอนเห็นคนติดเชื้อเป็น 0 มา 8เดือน ก็ไม่เห็นความสำคัญ/คิดว่าไม่ต้องทำก็ได้
พอเชื้อมาถึงค่อยขยับตัว (- -')
คุณ whitebigbird
ปัญหาของที่นี่ คือ หลอนไว้ก่อน ครับ
ก่อกระแสต้านหมอชนะมาตั้งแต่เปิดตัว ก่อนมีไทยชนะด้วยซ้ำ
ว่าจะละเมิดข้อมูลส่วนตัว รัฐติดตามตัวได้ บลาๆ
หลอนมา 1ปี ถึงค่อยรู้ว่าไม่เกี่ยวกับรัฐ
ไม่เรียกว่าหลอนแล้วเรียกว่าอะไร?
ทัศนคติแบบต้านรัฐไว้ก่อนแล้วจะดูเท่ห์ดูคูลมันฝังลึกที่นี่มากจนไม่สามารถมองโลกตามความเป็นจริงได้แล้ว
คนมีความคิด ไม่ใช่สักแต่คิดอะไรออกมาก็ได้
จะผิด จะไม่ตรงความจริงยังไงก็ได้ ก็ถือว่า มีความคิด
แบบนั้นคนบ้าก็คิดได้ครับ
คนมีความคิด ต้องหมายถึง คิดแล้วมันถูกต้องตรงความจริงด้วย
จะยอมรับความจริงตรงนี้หรือเปล่าก็แล้วแต่ละกัน
ว่ากันตามแนวทางปฏิบัติ แอพต่างๆ มากกว่า 90% เป็นของเอกชน, infrastfucture ก็เป็นของเอกชน และรัฐบาลนี้มีความชัดเจนมากกว่ารัฐบาลอื่นว่าต้องการควบคุมอินเตอร์เน็ต และพยายามเข้าถึงข้อมูลของประชาชนจากแอพในภาคเอกชน
อย่างหมอชนะ ข้อมูลก็เก็บไปแล้ว แล้วตอนนี้ก็ส่งต่อเป็นของรัฐบาลแล้ว มันก็ชัดเจนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ "แอพของใคร" แต่มันเก็บข้อมูลมากเกิน และรัฐบาลพยายามเข้าถึงข้อมูลพวกนี้เพื่อใช้ในจุดประสงค์อื่น ควบคู่ไปกับจุดประสงค์หลักของแอพ
ส่วนที่ว่าคนบ้าคนดีคนมีความคิดนี่ผมไม่รู้ ผมไม่กล่าวหาใครมั่วๆ หรอกครับ เพราะถ้าใช้ criteria ที่คุณบอก ผมว่าคุณก็คนบ้าเหมือนกันนะ ด้วยเหตุผลที่ว่าแม้แอพจะเป็นของเอกชน แต่ไม่ได้แปลว่ารัฐบาลเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ นี่คือ fact ไม่ใช่ opinion ซึ่งเป็นจุดที่คุณไม่ได้นึกถึง และไม่ได้พูดถึง
ซึ่งผมไม่คิดว่าคุณบ้า เพราะผมไม่เห็นด้วยกับ criteria ที่คุณใช้อ่ะนะ ผมว่าคุณแค่คิดไม่รอบด้านแค่นั้นแหละ
รัฐบาล abuse ทั้งระบบทั้งอำนาจ ผมพูดตาม fact อ่ะนะ จะมาอ้างว่าทำเพื่อชาติเพื่ออะไรมันก็ไม่ได้ลบล้างความจริงที่ว่า abuse ทั้งระบบทั้งอำนาจอยู่ดี
สิ่งที่ผมพูดคือ สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วครับ
อย่างเคสนี้คือ ตอน หมอชนะ เพิ่งออกมา
ก็ชูกันแล้วว่ารัฐจะเก็บข้อมูลประชาชนแล้วรณรงค์ว่าอย่าลง
โดยไม่มีการตามสืบ fact เลยว่าเป็นของอาสาสมัคร
และยังมีอีกหลายเคส ที่หลอนกันโดยไม่เช็ค fact เลย
แต่ก็ฟังตามๆกันมา แล้วบอกตามๆกันไป จนทุกคนคิดว่าจริง
แล้วถ้าจะตัดสิน criteria ของ หมอชนะ หนะ
มันต้องใช้เกณฑ์ในการสอบสวนโรคและตามตัวได้ มันจึงไม่ใช่เก็บข้อมูลมากเกินเลย
การที่อยู่ดีๆก็ชู criteria เรื่องความเป็นส่วนตัว จะให้ตามตัวไม่ได้เลย
มันก็ย้อนแย้งสิ แบบนี้รัฐบาลจะทำอะไรก็ผิด
จะตามตัวได้เพื่อคุมโรค ก็หาว่า รัฐบาลห่วย abuse ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
พอให้ตามตัวไม่ได้ ก็ตามหาเพื่อคุมโรคไม่ได้ ก็หาว่า รัฐบาลห่วย ทำไมคุมโรคไม่ได้
มองอีกด้าน คือ พยายามกำลังทำ self-prophecy คือ
ไม่ชอบรัฐบาล ก็พยากรณ์ย้ำๆซ้ำๆ ว่า รัฐบาลจะบริหารล้มเหลว
จากนั้นก็อ้างไปเรื่อยเพื่อไม่ให้คนร่วมมือกับรัฐ
ขัดขวางไม่ให้รัฐสามารถทำอะไรได้สะดวก จะสู้กับโรคก็สู้ไม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พอรัฐบาลจัดการไม่ได้ จะได้ชี้ว่า เห็นมั๊ย รัฐบาลนี้มันห่วย บริหารล้มเหลว
ทำไมคนยังเชียร์รัฐบาลนี้อยู่ได้ สลิ่มเกินเยียวยา
แต่ไม่ใช่เลย คนเขาเห็นกันหมดว่า
ที่รัฐบาลจะล้มเหลว ก็เพราะมาปั่นให้คนไม่ยอมทำตามรัฐบาลเอง
ไม่ใช่รัฐบาลห่วย
ถ้าจะคุย หมอชนะ ต่อ
กรุณาคุยด้วย criteria ที่จะทำให้แอปนี้คุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดด้วย
ไม่ใช่ฟุ้งซ่าน ยก criteria อื่นโดยไม่สนการคุมโรค จนเกิดการย้อนแย้งทางความคิด แต่กลับภูมิใจคิดว่าคนอื่นคิดไม่รอบด้าน
แล้วเราถึงจะเห็นว่า หมอชนะ ควรจะทำงานยังไง
และต้องการข้อมูลอะไรบ้างจึงจะตามตัวมากักโรคกันได้เร็วที่สุด
เอ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดที่คุมโรคปีก่อนจนมันหยุดไปพักนึง กับตอนนี้ที่เริ่มกลับมาคุมการแพร่กระจายของโรคได้ มันก็ไม่เกี่ยวกับหมอชนะนะครับ ยิ่งอิงตามข้อมูลจากผู้พัฒนา ตัวแอพมันยังใช้งานในการแจ้งเตือนไม่ได้จริงเลยด้วย แล้วผมก็ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะล้มเหลวในการจัดการกับโรคด้วย
เรื่องการ์ดตกนั่นผมเห็นว่าปกติ เป็นแพทเทิร์นที่คาดการณ์ไว้แล้วว่ามันจะกลับมา แต่ถามว่าเกี่ยวอะไรกับหมอชนะเหรอครับ? ผมว่าไม่เกี่ยวนะ เริ่มจากเคสที่สมุทรสาคร เคสที่เชียงใหม่ (หรือจังหวัดไหนสักจังหวัด) ผมว่าก็ไม่เกี่ยวกับอะไรกับหมอชนะเลยนะ
และ criteria มันไม่ได้มีแค่เปิดกับปิด ใช้กับไม่ใช่ ใช้กับไม่ใช้ ยอมกับไม่ยอมนะครับ criteria มันมีระดับ มีความมากน้อย มันถึงเรียกว่า criteria ไม่ใช่ว่าต้องยอมให้เก็บข้่อมูลทั้งหมด หรือไม่ยอมให้เก็บข่อมูลทั้งหมด
ซึ่งจะคุย criteria ในการควบคุมโรค ผมว่าลบหมอชนะออกไปจากสมการนี้ก็ยัง make sense อยู่เลยนะ
ส่วนเรื่องการเก็บข้อมูล มันเก็บข้อมูลน้อยกว่านี้แต่ยังสามารถทำ contact tracing ได้ครับ อันนี้คุณต้องอ่านเอง ทำความเข้าใจเอง ถ้าคุณไม่เข้าใจแล้วจะบอกว่าคนนั้นคนนี้หลอน ผมว่ามันก็ไม่ได้ตั้งอยู่บนความจริงอ่ะนะ
ส่วนอื่นๆ ที่คุณถ้านั่น ถ้านี่ ... ผมไม่ได้พูด คุณอาจคาดการณ์ว่าคนนั้นพดแบบนั้นแบบนี้ แต่ผมไม่ได้พูด
ผมบอกแล้วว่าผมไม่มีปัญหากับการลงแอพ แต่มันทำงานไม่ได้จริง ผมลงไปแล้วก็ลบ ไม่รู้ว่าคุณไปเอาคำพูดของใครมาเถียงกับผมอ่ะนะ
รัฐบาลจะล้มเหลวในการสู้กับโควิดก็เพราะไม่จริงจังกับการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของประเทศอ่ะครับ ไม่เกี่ยวกับว่าคนจะลงแอพหมอชนะหรือไม่ลง
ส่วนเรื่อง abuse ระบบกับอำนาจที่ผมบอก ... ระบบหมอชนะถูกออกแบบมาโดยต้องมีจนท.รัฐบาลเป็นผู้ระบุตัวผู้ติดเชื้อ แต่ถูกขัดขวางโดยผู้มีอำนาจครับ ทำให้ระบบไม่สามารถแจ้งเตือนผู้ป่วยได้ และแม้จะเสี่ยงสูงมากๆ แต่แอพก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเสี่ยงสูง เพราะ criteria ที่ถูกบังคับลงมา ทั้งๆ ที่ "ความเสี่ยงสูง" ตือระดับการประเมินของแอพ ไม่ใช่ของแพทย์ และเป็นข้อมูลเพื่อให้ผู้ป่วยตัดสินใจไปพบแพทย์ แต่ดันเกิดปัญหาเพราะทางผู้มีอำนาจในรัฐบาล ... อันนี้ผมว่าผมก็ไม่ได้พูดเกินเลยนะ ว่า abuse ระบบและอำนาจ
คุณสนับสนุนหมอชนะ ผมก็สนับสนุนหมอชนะ แต่ผมพูดตามจริงว่ามันมีปัญหา แก้ปัญหามันก็จบ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณพยายามค้านผม พยายามชี้ว่าแอพไม่มีปัญหาเพราะอะไรอ่ะนะ
หรือว่าคุณแค่อยากชี้ว่ามันเป็นความทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล และพยายามพิสูจน์ว่าคนมันหลอนกันจริงๆ จนไม่ลงแอพหมอชนะมั้ง ... ซึ่งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการระบาดของโรครอบล่าสุดเลยอ่ะนะ เพราะหมอชนะมันยังใช้งานไม่ได้ตามที่มันควรจะเป็น
ใช่ ผมชี้ว่า
1) มีพยายามจะให้หลอนแอปหมอชนะมาตั้งแต่การระบาดรอบแรกแล้ว
แม้แต่การระบาดรอบสองก็ยังไม่เลิกรา
ไม่เกี่ยวกับการ์ดตกอะไรเลย
2) มันเป็นการดีกว่า ถ้าไทยจะมีระบบ tracking คนอย่างหมอชนะ
ต่อให้การ์ดตก มันจะทำให้ สืบโรคได้เร็ว กักโรคได้เร็ว = คุมโรคได้เร็วโดยไม่ต้องล๊อคดาว์น = เศรษฐกิจไปต่อได้ = ทุกคน happy
และสาเหตุนึงที่หมอชนะไปไม่ถึงจุดนั้นคือ คนของเราไม่ให้ความร่วมมือ ลงแอปไม่มากพอ
ซึ่งการที่แอปยังไม่เสร็จสมบูรณ์ก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ไม่เกี่ยวกัน
และต่อให้พัฒนาแอปจนสมบูรณ์ สธ.มีระบบ mark สีแดงแล้ว
มันก็ป่วยการถ้ายังเล่นแง่รณรงค์ไม่ให้คนใช้กันแบบนี้
การอ้างว่า แอปมันใช้ไม่ได้จริงเลยลบ
มันจะพาไปสู่ตรรกะ ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อน
เพราะพอคนใช้น้อย มันเลยไม่ work
พอมันไม่ work คนเลยใช้น้อย
มันจบครับ มันจะไม่มีวัน work
3) มันดีกว่ามากถ้าประชาชนร่วมมือกับรัฐบาลแล้ว มันยังเน่า
คราวนี้เราจะสามารถด่า รบ.ได้เต็มตีนกว่า การเล่นแง่/ขัดขวางไปด้วยแบบนี้
แต่จากที่ผ่านมา สาเหตุหลักของการระบาดไม่ได้อยู่ที่มีแอพหรือไม่มีแอพเลยนะ และการ tracking ก็ไม่ได้ช้าด้วย พอมีการระบาดปุ๊บก็รู้ต้นตอได้โดยใช้เวลาไม่นาน
กรุณา focus ก่อนครับว่าเรากำลังพูดเรื่อง หมอชนะ
ซึ่งเป็นการ tracking เพื่อดักไม่ให้เชื้อกระจายต่อเป็นวงกว้าง
ไม่ใช่เพื่อย้อนไปหาต้นตอของการระบาด ซึ่งมันไม่ใช่เป้าหายหลักของหมอชนะเลย
ถ้าตาม concept หมอชนะ ที่คุยกัน
หมอชนะมีไว้ track ระดับบุคคล ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ระบบปัจจุบัน
ขั้นตอนปกติ/ปัจจุบันคือ
พอเจอคนติดเชื้อ ก็ต้องถามว่าไปไหนมาบ้าง อาจลืมบ้าง ไม่ครบบ้าง ได้แล้วค่อยประกาศออกมา
ซึ่งจะมีผลคือ ปิดพื้นที่ตรงนั้น และ แจ้งทางสื่อว่า
ใครไปพื้นที่นั้นเวลาเดียวกัน ให้กักตัวเอง ถ้ามีอาการก็ไปตรวจเชื้อ
ซึ่งคนที่ตกข่าว ก็มีสิทธิแพร่เชื้อต่อได้
มันจึงไม่มีประสิทธิภาพในการดักไม่ให้เชื้อกระจายต่อ
แต่ถ้ามีหมอชนะ ที่ทำงานได้จริง
เวลาคนเจอติดเชื้อ ก็เอา qr คนนั้น mark เป็นสีแดง ป้อนกลับเข้าระบบ+ระบุช่วงเวลา
ระบบจะไล่สถานที่ได้แบบไม่มีลืม พร้อม mark คนที่เข้าใกล้ทั้งหมดที่ bt เก็บได้ ให้เป็นสีเหลือง
และอาจทำ recursive เป็นทอดๆ ได้ด้วย
ซึ่งจะมีประสิทธิภาพในการดักไม่ให้เชื้อกระจายต่อได้มากกว่า แม่นยำกว่า
ระบบนี้ จะทำงานไม่ได้ผล ถ้าคนลงแอปไม่เยอะ
เช่น A เจอ B, B ไปเจอ C
ถ้าลงกันหมด แล้วพบว่า A ติดเชื้อ
ก็ recursive A -> B -> C ก็จะเตือน B,C ได้
แต่ถ้า B ไม่ลงแอปก็จบเลย
B จะไม่ได้รับแจ้งว่าเคยเข้าใกล้ A
และระบบจะ recursive ไปแจ้ง C ไม่ได้ด้วย
สรุปว่ายังไงครับ อ่านไปอ่านมาก็มีการสืบย้อนกลับขึ้นไปอยู่ดี
ถ้าแยกการแจ้งเตือนว่าใครเสี่ยงติดเชื้อ
กับการย้อนหาต้นตอว่าติดเชื้อจากไหน ไม่ได้
ผมขอหยุดพูดเพราะจะเหนื่อยเปล่าครับ
ถ้าทุกคนใช้ app หมอชนะดังที่คุณสมมติไว้ ยิ่งไม่มีความจำเป็นต้องเก็บ location เลยครับ เพราะการแพร่ระบาดเกิดจากคนไปหาคนเป็นหลัก ไม่ได้เกิดจากการสัมผัสวัตถุหรือสถานที่
สิ่งที่สนใจคือผู้ติดเชื้อไปสัมผัสใกล้ชิดกับใครมาบ้าง ดังนั้นการใช้ Exposure Notification API ก็เพียงพอแล้ว branch scan ได้อย่างที่คุณยกตัวอย่างมาเช่นกัน
That is the way things are.
ไม่ให้เก็บ location นี่
กะจะไม่ให้ทำความสะอาดสถานที่ ที่คนติดเชื้อเคยไปเลยเหรอครับ?
?
คือ มันไล่ recursive แล้วแจ้งสถานที่ที่ต้องฆ่าเชื้อ แบบออโต้ได้ทันที
มันดีกว่าไปตามตัวมาแล้วค่อยสอบถาม ผิดบ้างลืมบ้างแถมช้า
ทำให้เสี่ยงคนไปสัมผัสสถานที่เพิ่มด้วยนะครับ
ผมคิดว่าการทำความสะอาดสถานที่ไม่ได้มีผลมากขนาดนั้นนะ ทุกคนที่ติดเชื้อผมเชื่อว่าเข้า 7-Eleven กันหมดแต่ผมไม่เคยเห็น 7-Eleven ปิดเพื่อฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อทุก ๆ x ชั่วโมงเลย
การสอบถามย้อนหลัง อาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่ผมว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่ยอมรับได้ เมื่อแลกกับความเป็นส่วนตัวของคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ติดเชื้อ
อีกวิธีหนึ่งที่เป็นไปได้คือเก็บ location แบบ local และให้ upload ขึ้น server ได้ก็ต่อเมื่อยืนยันได้แล้วว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อ Covid เก็บ location เฉพาะผู้ป่วย แบบนี้ผมว่าแฟร์
That is the way things are.
เชื้อมันอยู่นอกร่างกายได้ไม่นานก็ตาย การทำความสะอาดสถานที่นี่แทบไม่จำเป็นนะครับ แล้วข่าวเก่าๆ พอสืบ timeline การเดินทางได้ ก็ไม่ใช่ทุกที่เค้าจะทำความสะอาดฆ่าเชื้อครับ เห็นๆก็มีแต่ที่ใหญ่ๆกลัวจะมีปัญหาเลยรีบฉีดยาฆ่าเชื้อออกข่าวก่อน
เซเว่นไม่เห็นต้องฉีดเลยครับ คนเข้าออกวันนึงตั้งเท่าไหร่
มันไม่ใช่แค่ 7 หรือ ห้างนะ
ที่จีน และบ้านเรารอบ 2 นี่คือตลาดสด/ตลาดนัด
หรือแม้แต่รถตู้
ไม่มี GPS จะตามยังไง?
ตอนนี้ที่เห็น เป็นเรื่อง mindset มากกว่าละ
แทนที่จะมี mindset ว่า "ถ้าจะทำแอปที่ตามโควิดได้มีประสิทธิภาพที่สุดต้องทำอย่างไรบ้าง"
แล้วก็เริ่มคิดถึงการดักคน(bt) และ ดักสถานที่(GPS)
การไล่ recursive ทั้งคนและสถานที่
สุดท้าย มันต้องมีระบบตามตัวได้ กรณีเสี่ยงสูง
ไม่ใช่ แจ้งสีส้มแล้วอีกฝ่ายไม่ยอมไป รพ. ก็ทำอะไรไม่ได้
ที่ทำทั้งหมดก็จะสูญเปล่า
กลับมี mindset แบบจะให้แอปเก็บข้อมูลให้น้อยที่สุดไว้ก่อน
โดยไม่สนใจว่าจะทำให้ติดตามโควิดแย่ลง จนอาจถึงขั้นแทบไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่เลย
เป็น mindset ที่หลุด focus จากปัญหาหลักที่จะ solve
คือ เป็น mindset ที่ไม่ได้คิดจะสู้โควิดตั้งแต่ต้นแล้ว
ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่ายครับ คุณยอมจ่ายมากไม่ได้แปลว่าคนอื่นต้องคิดเหมือนคุณ
ขนาด 7-Eleven ที่แคบ counter ติดกัน 3 counter ตอนจ่ายเงินก็ยืนต่อคิวกัน อากาศเย็น ยังไม่เห็นจะต้องมีกระบวนการทำความสะอาดฆ่าเชื้อแต่อย่างใด เปิดขาย 24 ชั่วโมง แล้วตลาดสดที่เปิดขายเป็นเวลา ตอนเย็นก็เลิกขายแล้วนี่ คุณจะให้เขาเก็บหมู เก็บผัก เก็บเนื้อ ฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อเสร็จแล้วย้ายของทั้งหมดกลับมาวางขายใหม่เหรอครับ ?
practical หรือ over-react ?
ผมคงไม่มาตอบแล้วนะครับ รู้สึกไม่ค่อยชอบคุยกับพวกที่หลงตัวเองยกตนข่มท่านสักเท่าไร หลงคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดถูกต้องเสมอ วิธีคิดของคนอื่นแก้ปัญหาไม่ได้ แต่ไม่เคยแม้แต่จะหวนคิดว่าตัวเองมอง "ปัญหา" ที่ว่าถูกจุดไหม รอบด้านหรือไม่
That is the way things are.
เดี๋ยวนะ
มาตรการ สธ. คือ trace สถานที่ว่าคนติดเชื้อเคยไปตรงไหน
ค่อยส่ง จนท. ไปพ่นฆ่าเชื้อตรงนั้น แล้วปิดตรงนั่น 2-3วัน
การมีหมอชนะ คือ สธ.จะส่ง จนท.ได้เร็วขึ้น เพราะขั้นตอนสอบถามคนติดเชื้อสั้นลง
ทำไมคุณเปลี่ยนบริบทเป็น
ให้พ่นฆ่าเชื้อทุกวันโดยไม่สนว่ามีคนติดเชื้อมาหรือไม่ละ?
อันนี้เหมือนพยายามชนะด้วยการยัดความคิดไร้เหตุผลใส่อีกฝ่าย
แล้วมาชี้ว่าอีกฝ่ายไร้เหตุผลละ
ซึ่งอีกฝ่ายอย่างผม คงได้แต่ยืนงงๆว่า เคยพูดอะไรแบบนั้นด้วยเหรอ ?
ไม่รวมการโจมตีกล่าวหาตัวบุคคลว่าอีกฝ่าย
เช่น ยกตนข่มท่าน หลงตัวเอง มองไม่รอบด้าน
นี่คืออาการที่ไม่สามารถพูดในเหตุผลเนื้อหากันได้ จึงต้องใช้วิธีโจมตีตัวบุคคล (Ad hominem)
การกระจายตัวของ COVID-19
ผมเห็นคนที่ออกมาท้วงก็มีแต่ใช้แล้วมันไม่เวิร์ค จุดที่อ้างถึงมันก็ไม่เวิร์คจริงๆ นี่ครับ การจัดเก็บข้อมูลเราก็พูดกันว่าเราไม่ไว้ใจเพราะเราไม่รู้เลยว่าระบบมันเป็นยังไง รู้แต่ขอ permission แล้วยิ่งมารู้ทีหลังว่ารัฐไม่ได้จัดการก็ยิ่งตอกย้ำความมั่วซั่วไปอีกทั้งการจัดการระบบหลังบ้านลามไปถึงการสื่อสารกับภาคประชาชน
ผมว่าคนที่อ่านส่วนใหญ่เค้ามีวิจารณญาณมากกว่าที่อื่นพอสมควรนะครับ หรือการจะเลือกเข้าใจในมุมไหนมันก็เป็นสิทธิของทุกคนนี่ครับ มันควรจะเป็นหน้าที่ของเจ้าของเรื่องที่สื่อสารออกมายังไงให้มันน่าไว้ใจสิ ไม่ใช่ทำตัวแบบนี้แล้วจะมาโทษว่าคนอื่นหลอนไปเองเอาแต่จับผิดยังงี้เหรอ?
"หลอนมา 1ปี ถึงค่อยรู้ว่าไม่เกี่ยวกับรัฐ"
เนี่ย ทำไมเราต้องเข้าใจผิดมา 1 ปีอ่ะครับ มันความผิดเราเหรอที่เข้าใจผิด?
เสริม
จะบอกว่าไม่เกี่ยวกับรัฐ เพียงเพราะคนพัฒนาไม่ใช่รัฐนี่มันห่างจากความจริงมากครับ อำนาจและทิศทางในการระบุตัวผู้ติดเชื้อก็ต้องได้รับการอนุญาตจากบุคลากรของรัฐ และมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ใส่ข้อมูล ในที่สุดก็ตกไปอยู่ในมือของรัฐซึ่งทุกคนก็คิดไว้แล้วว่ามันเป็นแบบนี้
ก็ไม่เกินจากความจริงที่เค้า "หลอน" กันเท่าไรนะครับ
ถ้ามองในแง่ของผลิตภัณฑ์ ในแง่ของ UX ตัวแอพมันสอบตกมาตั้งแต่แรกแล้วครับ คือไม่รู้ว่าเก็บข้อมูลแล้ว มันให้ประโยชน์อะไรกับคนที่ลงแอพและให้ข้อมูลเหล่านี้บ้าง ยิ่งพอได้รับคำตอบในช่วงหลังๆ ยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่า แอพมันไม่มีประโยชน์ใดๆ เพราะวิธีคิดวิธีการเอาข้อมูลไปใช้งานมันไม่ได้อิงกับความโปร่งใส มีคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบเกิดขึ้นเต็มไปหมด
ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารคืออำนาจ คุณควรดีใจเสียด้วยซ้ำที่ประชาชนเห็นและให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
ถ้าเป็นแอพของเอกชนทั่วไปอย่างมีการข้อสิทธิ์เข้าถึงนั่นนี่ตัวอย่างเช่นกล้องก็คือเพื่อจะได้ใช้ถ่ายรูป เข้าถึงพื้นที่เก็บข้อมูลก็เพื่อให้สามารถเซฟรูปได้ ฯลฯ มันก็ดูเป็นข้อแลกเปล่ียนที่สมเหตุสมผล แต่ย้อนกลับมาที่แอพนี้คือมันยังทำให้รู้สึกว่ายังไม่มีความโปร่งใสชัดเจนจนสามารถให้ข้อมูลได้อย่างสบายใจ
อันนี้คือผมจะแย้งด้วยความเป็น "หมอชนะ" ก่อน 8 มกราคม 2564 นะครับ
Opensource ไว้บน Github
นี่คือไม่โปร่งใส ชัดเจน?
พูดในแง่ของ UX ครับ หน่วยงานที่จัดทำแอพนี้มีหน้าที่สื่อสารทำให้ผู้ใช้ในระดับ End user เข้าใจได้ง่ายๆ ครับ ถ้าหากบอกว่าการ Opensource ไว้บน Github นั่นคือเพียงพอแล้ว ก็ตามนั้นแหละครับ
ถ้ารัฐบาลชัดเจน ทำงานตาม KPI มีหลักการที่ชัดเจน ตรวจสอบได้ ไม่หมกเม็ด ตัวแอพเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ผมว่าผมก็จะลงนะ แล้วคนอื่นก็คงจะลงด้วย
ผมเองก็ลงอยู่อาทิตย์นึง แต่แอพมันไม่ทำตามที่คาดหวัง คือไม่แจ้งเตือนอะไรเลยขนาดว่าบ้านคนติดอยู่เลยไปไม่ถึง 100 เมตร และวันนี้สาเหตุที่รู้ล่าสุดตามข่าวก็คือเพราะคนในรัฐบาลเองที่เข้าเกียร์ว่าง
ถ้าคุณเคารพตัวเองมองว่าตัวเองมีปัญญา คุณก็น่าจะเคารพคนอื่น มองคนอื่นบ้างว่าคนในนี้ก็มีปัญญาพอจะแยกแยะออก ไม่ได้หลอนเพราะแค่ฟังใครต่อใครพูด ... คือถ้าหลอนง่าย/เชื่อง่ายขนาดนั้นก็คงเชื่อที่รัฐบาลบอกทุกอย่างด้วยอ่ะนะ
กลุ่ม Code for Public ถอนตัวแอปดัง “หมอชนะ” เจอปลัดพูด “ถึงเธอมีเฟอร์รารี ฉันก็จะเอามาขนถ่าน”
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000004441
แยกออกไปทำกันเองไหม exposure notification เนี้ยะ คงไม่ต้องไปหวังกับรัฐบาลแล้ว
exposure notification นี่เข้าใจว่าสร้างมาให้รัฐบาลแต่ละประเทศใช้ เอกชนจะเอาไปใช้น่าจะต้องผ่านรัฐบาลก่อนอยู่ดีอ่ะครับ
ทำแอปใหม่ครับ
ถ้าไม่มีคงแย่ ดังนั้นทางออกคือทำแอปใหม่
รัฐบาลนี้มันเชื่อถือไม่ได้ นี่ถ้าไม่เป็นข่าว ผมก็คงนึกว่าแอปนี้เป็นโครงการของรัฐไปแล้ว
ทำไม่ได้ครับ
หลายเรื่อง ต้องไปติดที่ต้องได้รับอนุญาตจากกระทรวงอยู่ดี
และบางเรื่องก็ต้องให้รัฐหนุนหลัง เช่นการนำแอปขึ้น Store ครับ
แอปเกี่ยวกับ COVID-19 เป็นแอปที่ต้องมีรัฐบาลรับรองครับ จึงจะขึ้น Store ได้
เฟอร์รารี่ขนถ่าน
That is the way things are.
ไทยชนะ ทะเลาะกับ Dev แยกทีมทำหมอชนะ ตอนนี้ทิ้ง ไทยชนะ ไปบังคับเอา project หมอชนะ เค้ามาอีก แล้วแบบนี้ ใครเขาจะร่วมมือกันคุณในอนาคตครับ ?
ผมหงุดหงิดเล็กๆ มาตลอดที่ขึ้นรถไฟฟ้าแล้วก็ได้คำแนะนำให้ใช้ทั้งหมอชนะและไทยชนะ
redundant เหลือเกิน
บังคับมั้ยครับ?
ราชกิจจาฯ ยังบังคับ5จังหวัดอยู่นะครับ ไม่เห็นตัวประกาศแก้ไขนะ
วันดีคืนดี เขาก็ยกเรื่องนี้มาจับคุณได้ แม้ปากนายกจะบอกว่าไม่ใช้ เพราะข้อกฎหมายยึดเอกสารเป็นหลักครับ
ดีนะช่วงนี้อยู่แต่บ้าน
สงสัยอย่างทำไมต้องยก source code ให้รัฐดูแลต่อด้วยละเนี่ย
อยากรู้ความคิดเห็นของ user ที่ชื่อ "อวยโจร" น่ะครับ เห็นเค้าอวยแอพนี้จังเลย ไอ้ระบบที่เค้าอวยว่ามันดี ให้อ้างอิงตามนั้น เค้าได้ลองใช้เองแล้วมันใช้ได้หรือมีคนบอกให้อ้างแบบนั้นก็ไม่รู้