จากการที่โซเชียลมีเดียแบนบัญชีโดนัลด์ ทรัมป์ และแบน Parler แอปโซเชียลฝ่ายขวา จุดประเด็นบทบาทของบริษัทเทคโนโลยีว่า ใช้อำนาจเกินขอบเขตหรือไม่ ล่าสุด Tim Cook ซีอีโอ Apple ออกมาตอบเหตุผลถึงการแบน Parler ออกจาก App Store
Tim Cook ให้เหตุผลว่าที่ต้องแบนเพราะมันมีความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงอยู่ ซึ่งเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น กับการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงนั้น เป็นคนละเรื่อง ไม่มีจุดร่วมที่เหมือนกัน Apple เองไม่ใช่ผู้ควบคุมสิ่งที่ควรจะอยู่บนอินเทอร์เน็ต และไม่เคยมองว่าแพลตฟอร์มของ Apple คือภาพจำลองของสิ่งที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต
Tim Cook บอกด้วยว่าถ้า Parler มีนโยบายที่เหมาะสมในการกลั่นกรองเนื้อหาได้ ก็สามารถกลับเข้ามาอบู่บน App Store ได้
จนถึงตอนนี้ Parler ถูกแบนจากแพลตฟอร์มใหญ่ทั้ง Google, Apple, AWS เพราะมีเนื้อหารุนแรง และคาดว่าเป็นแหล่งที่ม็อบใช้คุยประสานงานกันเพื่อโจมตีรัฐสภาสหรัฐฯเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมาด้วย
ที่มา - CNN
Comments
โอเค เราเข้าใจตรงกัน
แล้วในบ้านเราจะมีมากน้อยแค่ไหนที่เข้าใจ
แล้วที่ไทยคืออะไร...
จุ๊ๆ อย่าเอ็ดไปครับ
ความยากน่าจะเป็นเพราะเนื้อหาเป็นภาษาไทยครับ
อย่างบนเฟสบุคผมรายงานไปหลายรอบ เฟสบุคก็ตอบกลับมาว่าไม่ผิด/ไม่ลบ/ไม่จัดการตลอด มีน้อยครั้งมากๆ ที่จะยอมลบ ไม่ใช่แค่เนื้อหารุนแรงนะ แต่รวมถึงภาพโป๊เด็ก เหยียดเชื้อชาติ และ ฯลฯ ด้วย
บ้านเรามีแต่ โชว์พาว บอกว่าไม่มีความเป็นกลาง ใครๆม่ใช่พวก คือศัตรู มิน่า ศัตรูทั่วไปหมด
เนาะ... บ้านเรา ฝ่ายที่ยั่วยุให้ใช้ความรุนแรง คือ IO ครับ ยุให้ใช้กำลังบ้างหละ ยุให้ใช้กฎหมายที่โลกเจริญแล้วเขาไม่ใช้มาเป็นร้อยปีบ้างหละ แต่ back มันดีไง แถมได้ทุนจากภาษี ทั้งจากฝั่งตรงข้ามและฝั่งเดียวกันด้วย ทั้งโลก social ทั้งไทยและสากล ไล่ลบไล่แบน กันสนุก
หันมามองบ้านเรา
Fake News เต็ม Twitter ไปหมด
(รีทวีต 30,000+ ทั้งน้านนนนนน)
“พี่ของเพื่อนของลุงของน้าบอกมาว่า ................”
มั่นใจได้อย่างไรว่าเรื่องเหล่านั้นเป็น fake news แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าข่าวจากสำนักข่าวอย่างเป็นทางการเป็นข่าวจริง แล้วมั่นใจได้อย่างไรว่าข่าวจากสำนักข่าว out-source ที่ลงพื้นที่จริงเป็นข่าวจริงหรือ fake news?
มีหลายกรณีที่โดนแหกมาแล้ว โดยเอาข้อมูลอ้างอิงมาหักล้าง แต่ฝ่ายที่ปั่นก็ได้ Engagement ไปแล้ว และไม่มีการออกมาแก้ข่าวให้ ปล่อยให้เข้าใจผิดไป
นั่นไม่ใช่เหตุผลที่อธิบายได้ว่าแหล่งไหนเป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอม ในเมื่้อมันเกิดขึ้นได้จากทุกแหล่งข่าว
ผมไม่เข้าใจ คิดตามโลจิคยังไงก็ไม่เข้าใจ ขอถามหน่อย
1.การที่ "แบนparler คือเพราะยั่วยุความรุนแรง" นี่มันไม่ใช่นี่โยงซะจนฟังดูดีเลย
จริงๆต้องพูดว่า "แบนparler เพราะparlerไม่ยอมควบคุมอะไรเลย" แบบนี้ต่างหากไม่ใช่เหรอ
ทำตัวเหมือนกระดาน ใครจะเขียนอะไรก็ได้ กระดานขาวที่ไม่ควบคุมอะไรทั้งนั้น
ซึ่งพอพูดแบบประโยคที่สองแล้ว มันก็จะดูเทามาก ขึ้น
2.ทีนี้ ก็ต้องถามว่า จริงๆแล้ว เราควรควบคุมหรือไม่ควบคุม การพูด มากกว่ากัน
ละถ้าควบคุม ใครเป็นคนควบคุม ใครเป็นคนตัดสินว่าอะไรถูกผิด
ผมไม่ชอบทรัม มันเป็นคนที่แย่จริงๆ แต่ตามหลักการ เสรีภาพในการพูด
เราต้องให้ข้อมูลอีก ด้าน ประชาสัมพันธ์อีกด้าน เพื่อโน้นมน้าว ความคิด
หากเราแพ้ในการประชาสัมพันธ์ จนคนเป็นล้านๆ เห็นผิดเป็นชอบ เราก็ควรต้องยอมรับ ไม่ใช่เหรอ
เพราะ "ผิด" หรือ "ชอบ" นั่นมันมุมมมองเรากับหลักการของเรามองว่าดี
ถ้าเรายึดหลักการของเรา มากเกินไป จนไม่สนเสียงของคนเป็นล้าน นั่นคือเราทำถูกรึเปล่า
ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมายส่วนถ้าผิด ก็ต้องจับคนทำผิดเป็นคนๆ ไป ตามความผิดที่เข้าทำ ถึงจะmake sense สิ
3.การควบคุมแบบนี้ ถ้า ลบแต่ข่าวปลอม ฟังดูมันก็ดีนะ แต่พอมาใช้จริง
อะไรคือขอบเขต ของข่าวปลอม ความคิดเห็นที่ ไม่ฟันธงใดๆ ถือเป็นข่าวปลอมไหม
ใครเป็นคนตัดสินว่าอะไรบ้างเป็นข่าวปลอม ถ้ามีข่าวปลอมทั้งสองฝ่าย แต่โดน ฝ่ายเดียวถือว่าโอเคไหม
ทุกวันนี้ผมเห็นปัญญาชนฝ่ายขวา ของสหรัฐ ในอินเตอร์เนต นี่ต้องระวังตัวมากในการทำ คลิป เพราะกลัว โดนแบน
(ตรงข้ามกะไทยเลย ไทยฝ่ายซ้ายจะโดน ไม่กล้าพูดไรมากในโลกความเป็นจริง)
นั่นเป็นบรรยากาศ การ แข่งขันประชาธิปไตยแข่งขันประชาสัมพันธ์ทางความคิดที่ถูกแล้วรึ
4.เรื่องนี้ เหมือนต่างอะไรกับCharlie Hebdo ผมอยากได้ยืินความเห็น
ของคนทีเ่ห็นด้วยกับฝั่ง Charlie Hebdo แต่เห็นดีเห็นงามกับ เรื่องนี้ มากที่สุด
ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วย กะ Charlie Hebdo ผมเข้าใจ
ว่าคงเห็นด้วยอยู่ละล่ะ ซึ่งผมเคารพ ในความคิดของคุณ พอเข้าใจในโลจิคจิคได้
5.ถ้าเราไม่พูดถึงคน โพส ว่าโพสเรื่องอะไร ผิดหรือไม่ผิดอย่างไรบ้าง
อันนั้นเป็นอีกประเด็นที่ต้องตัดสินแยกเป็นโพสๆไปด้วยซ้ำ
หลักการ แอพกระดานขาวที่ไม่ควบคุมอะไรเลยของ parler มัน ผิดจริงๆเหรอ
ตอบทั้งหมด มันขึ้นอยู่กับเรื่องสิทธิมนุษยชน เรื่องการใช้สิทธิและเสรีภาพ โดยไม่คุกคามคนอื่นครับ คุณมีเสรีภาพใช่ แต่คุณคุกคามคนอื่นด้วยการพูดจา ข่มขู่ หรือคิดจะแสดงความรุนแรงไม่ได้
คุณก็ต้องยอมรับก่อนว่า ทรัมป์เอง เรียกร้องให้มีการต่อต้าน มีกลุ่มที่ยุยงให้เกิดความรุนแรง หรืออะไรมากมาย
ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ผิดในระบอบประชาธิปไตย หรือสิทธิมนุษยชน แต่ก็นั้นแหละ บางทีคนไทย ซึ่งตกอยู่ใต้การครอบงำของเผด็จการ มีช่วงที่มีประชาธิปไตยจริง ๆ ไม่กี่ปี คงไม่เข้าใจหรือทำความเข้าใจลำบากในเรื่องนี้
ก็เหมือนคนจีนไม่เดือดร้อนกับเรื่องเผด็จการของรัฐ หรือประเทศแถบแอฟริกา ไม่เดือดร้อนกันเผด็จการนั้นแหละครับ
เพราะเค้าไม่เคยรู้ว่า เสรีภาพที่แท้จริงมันเป็นยังไง
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า ความนิยมฝ่ายขวาลดลงอย่างมาก เปิดสื่อไหน ๆ ก็เจอแต่ฝ่ายซ้าย และภาพลักษณ์ของฝ่ายขวาเดิมนั้นย่ำแย่ต่อสายตาชาวฝ่ายซ้าย (ที่มีจำนวนมากกว่าอย่างชัดเจน) มาแต่ไหนแต่ไร
เรื่องของข่าวปลอม จริง ๆ แต่ละแพลตฟอร์มที่แบนเนื้อหาฝ่ายขวาไม่ใช่เพราะเป็นข่าวปลอม แต่เป็นเพราะการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรง เนื้อหาที่คาดการณ์ว่าเป็นข่าวปลอมมักจะแปะ fact check แทนเสียมากกกว่า เรื่องขอบเขตข่าวปลอมนี่ก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่มีใครนิยามคำว่าข่าวปลอม นอกจากว่าเป็นข่าวที่ไม่มีมูลความจริง ซึ่งในโลกความเป็นจริงแล้ว พวกข่าวปลอมที่ว่ามามักจะเผยแพร่เชิงทรรศนะ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดกฎหมายในหลายรัฐ ที่เหลือก็ขึ้นกับแพลตฟอร์มว่าจะมองข่าวปลอมเป็นแบบไหนและจะจัดการอย่างไร ซึ่งแน่นอนแนวคิดก็รู้ ๆ กันว่าจะไปทางไหน และย่อมไม่ถูกใจชาวฝ่ายขวาอย่างแน่นอน
กรณืของ Parler ไม่ได้โดนแบนเพราะเป็นสื่อสังคมออนไลน์ฝ่ายขวา แต่โดนเพราะไม่ควบคุมเนื้อหาที่เป็นชนวนความรุนแรงได้ หากถามว่าในกรณีของ BLM ล่ะทำไมไม่โดนบ้าง ก็ให้ย้อนไปดูย่อหน้าแรก
โลกนี้ไม่ได้มีความยุติธรรมมาแต่ไหนแต่ไร เพราะความยุติธรรมอยู่ในมือฝ่ายซ้ายที่มีจำนวนมากกว่าอยู่แล้ว แล้วเสรีภาพของชาวฝ่ายขวาอยู่ที่ไหน คำตอบคือมันมีอยู่แล้ว นั่งพูดอยู่กับชาวฝ่ายขวาด้วยกันก็คงไม่มีใครว่าอะไร แต่ถ้าตั้งใจเอาไปเป่าหูชาวฝ่ายซ้ายเมื่อไรก็ต้องพร้อมรับผลตอบกลับด้วย ซึ่งปกติชาวฝ่ายขวาก็ตอบโต้ไม่เก่งอยู่แล้ว เพราะเหตุผลของชาวฝ่ายขวามันไม่ใช่สำหรับชาวฝ่ายซ้ายตั้งแต่แรก เอาง่าย ๆ วัดแค่จำนวนคนก็รู้ๆ กันว่าใครชนะ
สลิ่มไทยไม่ถูกใจสิ่งนี้