กูเกิลเปิดตัว Android 12 Developer Preview ตามรอบการทดสอบที่เริ่มช่วงต้นปี โดยมือถือกลุ่ม Pixel ตั้งแต่ 3/3a ขึ้นไปสามารถเข้าร่วมโครงการทดสอบได้แล้ววันนี้
ของใหม่ใน Android 12 Developer Preview 1 (DP1) ยังไม่มี UI ใหม่ตามที่หลุดออกมา แต่มีการเปลี่ยนแปลงในระดับฐานรากของ OS เยอะพอสมควร
ฟีเจอร์กลุ่มการแจ้งเตือน
- Notification UI ปรับเพมเพลตใหม่ ข้อความแจ้งเตือน custom notification ปรับให้หน้าตาเหมือนการแจ้งเตือนอื่นๆ
- การกดที่ข้อความแจ้งเตือนจะเข้าไปยังตัวแอพได้เร็วขึ้น เพราะเรียกเข้าไปที่ Activity โดยตรง
ฟีเจอร์กลุ่มความปลอดภัย
- ปรับพฤติกรรมของ SameSite cookie ใน WebView แบบเดียวกับ Chrome
- จำกัดการใช้งาน Netlink MAC เพื่อป้องกันการตามรอย เริ่มใน Android 11 แต่พอเป็น Android 12 บังคับใช้กับแอพทุกตัว
- ปรับการทำงานของ android:exported และ intents ให้ปลอดภัยขึ้น
ฟีเจอร์กลุ่มนักพัฒนา
- media transcoding สำหรับแอพที่ไม่รองรับ codec แบบ HEVC สามารถให้ OS แปลงไฟล์เป็น AVC แทนได้ถ้าจำเป็น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยพลังเครื่องและระยะเวลาในการแปลง
- AVIF รองรับไฟล์ภาพแบบ AV1 Image Format (AVIF) ที่ขนาดเล็กกว่า JPEG
- Foreground service optimizations บล็อคไม่ให้เซอร์วิสที่รันอยู่เบื้องหลัง (background) ย้ายมารันเบื้องหน้า (foreground) ที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพระบบ
- Rich content insertion เพิ่ม API ใหม่ OnReceiveContentListener ให้แทรกเนื้อหาชนิดต่างๆ ง่ายขึ้น
- Haptic-coupled audio effect ปรับการสั่นของเครื่องตามเสียง (audio-coupled haptic feedback) เหมาะสำหรับเกม
- Multi-channel audio รองรับ MPEG-H และขยายช่องเสียงจาก 8 เป็น 24 channels
Android 12 ยังเพิ่มสัดส่วนโมดูลที่อัพเดตตรงผ่าน Google Play (Project Mainline) ให้มากขึ้นอีก โดยตอนนี้ตัวรันไทม์ Android Runtime (ART) ก็อัพเดตผ่าน Google Play แล้ว
ตามแผนของกูเกิลจะออก Developer Preview (DP) ทั้งหมด 3 ตัว, Beta 4 ตัว, Release Candidate และรุ่นจริง Final ในไตรมาสที่ 3/2021
ที่มา - Google
Comments
น่าจะมีมาตรการอะไรสักอย่างให้เครื่องทุกรุ่นทุกยี่ห้ออัพให้เป็นเวอร์ชัน 12ได้นะ
ทุกวันนี้ใช้ไปลุ้นไปว่าจะแจกแพหรือเปล่า เครื่องก็ไม่ใช่ถูกๆ
คิดเหมือนกัน รู้สึกจุดนี้ iOS ชนะขาด
Project Treble ครับ
โปรเจกต์นี้ หลายยี่ห้อยังไม่ยอมทำตามกันเท่าไหร่ หรือถึงทำแล้วก็ช้ามากๆ มีแค่กูเกิลเอง กับซัมซุงในระยะหลังนี้เท่านั้นที่มาไวมาก ส่วนเจ้าที่เคยอัพไวอย่าง OnePlus กลายเป็นเต่าไปละ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ผมว่าไปได้ 2 รุ่นก็เป็นมาตรฐานแล้วล่ะ ถ้านานกว่านั้นก็หาเครื่องใหม่ได้เลย เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ซื้อเครื่องแพงมากเกินไป แพงเกิน 10,000 รู้สึกบาป
เอาจริงๆนะ ฝั่งแอนดรอยด์ต้องแก้ปัญหาโดยการซื้อเครื่องถูกๆแทน โดยเฉพาะถ้าจะเอาไปเทียบกับฝั่งแอปเปิ้ล ที่ iPhone 5S ที่ออกตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว ยังได้รับอัพเดท iOS 12.5.1 เมื่อเดือนที่แล้วอยู่เลย ถึงจะไม่ใช่อัพเดทใหญ่ก็ตาม
ใช่ครับ เคยชั่งใจอยู่จะ จ่ายหนักแล้วใช้นานๆ หรือจ่ายกลางๆแล้วเปลี่ยนไปเรื่อยๆ. สุดท้ายก็ยอมใช้นานครับ อยากรักโลกบ้างตาม Apple 555
solution ที่ผมว่าน่าจะเหมาะกับใครหลายๆ คนคือซื้อเครื่อง flagship แล้วอาศัยขายแล้วก็เปลี่ยนรุ่นเอาแทนครับ เพราะเคยใช้แบบเครื่องราคาถูกแล้วมันมีปัญหาจุกจิกเกินไป
เพราะการอัพเดท ไม่ได้ขึ้นกับกูเกิล แต่อยุ่ที่บริษัทที่ขายมือถือว่าจะอัพให้ไหม แต่ถ้าเป็นมือถือของกุเกิลก็อัพให้เร็วอยุ่นะ ค่ายอื่นก็ต้องรอเอาปรับแต่งกันต่ออีกรอบ เลยจะช้ากว่าหน่อยๆ
เคยตกวังวนนี้อยู่เหมือนกัน
ทั้งรุ่นต่ำหมื่น หมื่นกว่า สองหมื่น หรือแม้แต่ android one
รุ่นถูก เปลี่ยนเรื่อยๆ ก็รู้สึกเครื่องเก่าเป็นขยะไงไม่รู้ ขายก็ไม่ออก หรือต่ำร้อย
รุ่นแพง ขายมือสองก็ราคาตกเว่อๆ ทำใจไม่ได้
สุดท้ายหนีลูปนรก มาพึ่ง Apple ดีกว่า สบายใจอย่างน้อย 3 ปีแน่ๆ ขายมือสองก็ยังราคารับได้
ใช้รุ่นที่เป็น android one มา 2 รุ่น ผมว่าก็ใช้ได้นะครับ แค่อาจจะไม่ได้อัพเป็น wave แรกๆแบบ pixel แต่วันนี้ก็เพิ่งได้แพทช์ความปลอดภัยของ 1 Feb 2021
- moto G4 plus
- moto One Vision
ทางออกของผมต่างจากทุกคนแฮะ ของผมคือปล่อยวางมัน 55+
คือผมมองว่าการอัพเดทเวอร์ชั่นนอกจากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมันไม่ได้มีฟีเจอร์อะไรใหม่อย่างมีนัยยะสำคัญ บางทีฟีเจอร์ก็อาจจะโดนตัดออกเวลาอัพเดทเครื่องเราด้วย หรือบางฟีเจอร์ก็อาจจะได้อัพเพิ่มเข้ามาโดยที่ไม่ได้อัพเวอร์ชั่น ส่วนเรื่องระยะเวลาการใช้งาน ถึงไม่ได้อัพเวอร์ชั่นมันก็ยังใช้งานได้อยู่หลายปีกว่าจะโดนแอปสำคัญๆลอยแพ ถ้าแค่ 3-4 ปีก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรกังวลเลย
สรุปก็คือ ผมมองว่าการอัพเวอร์ชั่น Android มันไม่ใช่อะไรที่น่าลุ้นขนาดนั้นนั่นเอง เพราะงั้นถึงไม่ได้อัพก็ไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหาอะไร
แต่ก็นะ เหตุผลหลักก็คงส่วนตัวผมไม่ชอบความ Apple ด้วยแหละ ก็เลยไม่อยากใช้สินค้า Apple ซักอย่าง เลยมีแต่ต้องใช้ Android ต่อไป
ผมว่าคำตอบของคุณจริงๆ มันสรุปอยู่ในวรรคสุดท้ายนั่นแหละ เหตุผลอื่นๆ แทบจะไม่ต้องไปนึกถึงเลย
ไม่เชิงซะทีเดียวครับ วรรคสุดท้ายมันคือเหตุผลหลักที่ผมไม่ไปแค่ยี่ห้อ Apple ครับ แต่ในขณะเดียวกัน Android บางยี่ห้อหรือบางรุ่นที่อัพเดทยาวๆผมเองก็ไม่ได้สนใจเป็นพิเศษด้วยเหตุผลตามวรรคแรกๆเหมือนกันครับ
หลอกตัวเองได้ดี ชื่นชมๆ
แค่ผมจัดลำดับความสำคัญไม่เหมือนคนอื่นก็กลายเป็นผมหลอกตัวเองไปซะแล้ว 55+
ผมรู้ครับว่าการอัพเดทเป็นเรื่องสำคัญและ Android อัพเดทมันห่วย แต่แค่สำหรับผมมันสำคัญน้อยกว่าเรื่องอื่นๆแค่นั้นเอง ไม่ได้หลอกตัวเองอะไรนะครับ
อันที่ผมว่าน่าจะเป็นจุดเปลี่ยนจริงๆ คือ Project Mainline นี่ล่ะครับ เพียงแต่มันไม่ค่อยเห็น visibility มากนักในฝั่ง user เพราะดันแตก OS เป็นโมดูลย่อยๆ แล้วอัพเดตเนียนๆ แบบมองไม่เห็นไปเลย
ส่วน user เปิดดูหน้า System ก็ยังเห็น OS เวอร์ชันเดิมอยู่ ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไร ก็คิดว่าไม่ได้อัพเดต OS อยู่ดี
นั้นสิ ถ้ามี Driver มาลงเองแบบ Windows ที่สามารถ Download มาลงเองจากผู้ผลิตได้ ก็คงดี เอามาใช้บนมือถือเองเลย ใช้คู่กับ OS Android เพียวๆ ไปดัดแปลงเอาเอง ไม่ต้องง้อ Rom คนอื่น
ความล้มเหลว คือจุดเริ่มต้นสู่ความหายนะ มีผลกระทบมากกว่าแค่เสียเงิน เวลา อนาคต และทรัพยากรที่เสียไป - จงอย่าล้มเหลว
เพมเพลต => เทมเพลต