ทีมวิจัยจาก Wyss Center for Bio and Neuroengineering ในสวิตเซอร์แลนด์ประกาศความสำเร็จในการเชื่อมต่อสมองเข้ากับคอมพิวเตอร์ (brain-computer interface - BCI) จนทำให้ผู้ป่วยกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS ระดับไม่สามารถขยับร่างกายใดๆ (completely locked-in) สามารถสื่อสารกับโลกภายนอกได้อีกครั้ง
ที่ผ่านมาผู้ป่วย ALS ที่ยังสามารถสื่อสารได้บ้าง มักต้องอาศัยกล้ามเนื้อบางส่วน เช่น การกระพริบตา หรือขยับลูกตา แต่เมื่อผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ การสื่อสารเช่นนั้นก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
ทีมงานอาศัยการจับสัญญาณสมองและส่งเสียงกลับไปให้ผู้ป่วยได้ยิน โดยทดลองให้ผู้ป่วยควบคุมเสียงทุ้มแหลมได้สำเร็จในวันที่ 86 หลังผ่าตัดติดตั้งเซ็นเซอร์ ฝึกให้สร้างเสียงตามเสียงที่เล่นให้ฟังได้ในวันที่ 98 และสามารถควบคุมจนเลือกตัวอักษรได้ในวันที่ 106
ผลที่ได้ผู้ป่วยสามารถพิมพ์ตัวอักษรได้ 131 ตัวอักษรต่อวัน โดยใช้เวลาอักษรละนาที แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงหลังของการทดลอง โดยผู้ป่วยสามารถสื่อสารได้มากมาย เช่น ขอให้เปิดเพลงให้ฟัง, ขอให้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับสื่อสารทิ้งไว้, หรือเลือกอาหารที่ต้องการ, ไปจนถึงชวนลูกชายดูภาพยนตร์
ผู้ป่วยรายนี้ไม่สามารถพูดได้ตั้งแต่ปี 2015 และไม่สามารถสื่อสารผ่านสายตาได้ตั้งแต่ปี 2019 การผ่าตัดใส่ BCI ครั้งนี้ใช้ microelectrode ของบริษัท Blackrock Microsystems เชื่อมต่อเข้ากับส่วนควบคุมร่างกายอ่านสัญญาณ 30,000 ครั้งต่อวินาทีแล้วกรองเอาสัญญาณในช่วง 250-7,500Hz เท่านั้น จากนั้นซอฟต์แวร์จะอ่านค่าและส่งเสียง (neurofeedback) ในช่วง 120-480Hz โดยเปลี่ยนความถี่ทุกๆ 250ms จากนั้นเริ่มฝึกด้วยการถามคำถามแบบใช่/ไม่ใช่ แล้วให้ผู้ป่วยจินตนาการความเคลื่อนไหวจนได้เสียงสูงต่ำที่เป็นคำตอบในที่สุด
ที่มา - Nature, ArsTechnica
Comments
ALS = amyotrophic lateral sclerosis
เป็นโรคที่เกิดพยาธิสภาพที่เซลล์ประสาทชนิดสั่งการ ทำให้เซลล์ประสาทสั่งการเสียหายและเกิดการฝ่อตัวของกล้ามเนื้อลายตามมา
ดีใจกับผู้ป่วยด้วย ใกล้ Full drive VR เข้าไปอีกขั้น แบบนี้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ แค่สวมหัว แล้วก็คิดเพื่อสังการพอ เรื่อง feedback ทางด้าน physical ไว้ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะ ประมาณใส่เกราะเหมือน Ready Player One กำลังดี ไม่ต้องถึงขนาด SAO หรอก อันนั้นกลัวสมองไหม้ หึหึหึ
ถ้าผมเป็นแบบนี้
อย่างแรกที่จะขอคือ
ขอตายได้ไหม
คือเราชื่นชมคนที่มีความตั้งใจจะมีชีวิตอยู่แม้จะมีอาการแบบนี้ แต่ถ้าเป็นเราก็ อืม....
เราก็ขอชื่นชมเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเรา ปล่อยเราไปเถอะ เราไม่อยากให้คนรอบข้างเดือดร้อน เราเกลียดถ้าตัวเองไร้ความสามารถ
ขั้นตอนถัดมา ก็ต้องมาพิสูจน์กันอีกว่าข้อความที่ส่งว่าขอตาย มาจากผู้ส่งจริงๆ ไม่ได้โดนแฮกหรือ AI แกง
อะเนอะ
ถ้าเป็นผม ผมจะฝึกสมาธิ แล้วอัปโหลดตัวเองเจาะระบบ AI เข้าไปในคอมพิวเตอร์เลย วันหนึ่งข้าจะลุกขึ้นมา 5555
ถึงตอนนั้นก็เป็นคนละคนกันละครับ 555
อ่านแล้วรู้สึกเหมือน คนเป็น computer เครื่้องนึง ที่เราติดตั้ง debugger แล้วทำการอ่านค่า console log ออกมา
ผมว่าไม่ขนาดนั้นนะครับ มันเหมือนอ่านคลื่นไฟฟ้าให้สั่งการต่างๆ มากกว่า เพราะตามข่าวคือต้องหัดสื่อสารใหม่ น่าจะไม่ใช่การคิดแบบปกต์ แต่เป็นการใช้สมองบังคับเขียนอักษรออกมา (คล้ายๆ กับต่อแขนใหม่เข้าไปแล้วหัดให้สมองเขียนออกมา)
ผู้ป่วยมีความพยายามและอดทนอย่างมากเลย เครื่องไม่ได้ช่วยอ่านความคิด แต่ผู้ป่วยต้องฝึกการควบคุมและทีมงานต้องปรับจูนกับ 3 เดือนถึงสั่งออกเสียงได้ถูกต้อง
ดีใจที่เทคโนโลยีพัฒนามาถึงจุดนี้ แต่ก็เศร้าใจที่คนเราต้องเจ็บป่วยอะไรแบบนี้ด้วย
..: เรื่อยไป
สวิตเซอร์แลนด์
เป็นการจับคลื่นเสียงใช่มั้ยครับ ไม่ใช่จับคลื่นสมองจริงๆ ?
The Dream hacker..
จับคลื่นสมองครับ คนป่วยต้อง "คิด" (จินตนาการว่ากำลังขยับร่างกาย) แล้วเซ็นเซอร์จะพยายามตรวจว่าคิดเป็น pattern ไหน จึงบอกกลับไปยังคนไข้ด้วยเสียง
lewcpe.com, @wasonliw
ว๊าว ตรวจจับคลื่นสมองและตีความได้ แบบนี้จะสร้างภาพในสมองก็อีกไม่นานแระ
Noise เยอะมาก แต่ทำได้ขนาดนี้โครตเจ๋ง
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ