มีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแอปเปิล หลัง Steve Jobs เสียชีวิต และการเปลี่ยนแปลงในองค์กรยุค Tim Cook จนนำมาสู่การลาออกของ Jonathan Ive นักออกแบบที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่บุญทางจิตวิญญาณของ Jobs ในปี 2019 ซึ่งมาจากหนังสือ After Steve โดย Tripp Mickle นักข่าวของ The New York Times ที่ได้สัมภาษณ์อดีตพนักงาน ผู้บริหารแอปเปิล และคนใกล้ชิด Ive มากกว่า 200 คน
เนื้อหาบางส่วนที่เผยแพร่ บอกว่าที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของ Cook กับ Ive นั้นเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่ทำงานร่วมกันตั้งแต่สมัยแอปเปิลอยู่ในช่วงฟื้นฟูกิจการ คนหนึ่งเป็นนักออกแบบ อีกคนทำสิ่งนั้นสู่การผลิตออกมาขายให้เป็นจริง ความขัดแย้งระหว่าง Cook กับ Ive เริ่มหนักขึ้นในการเปิดตัว Apple Watch ปี 2014 ทั้งคู่เห็นตรงกันว่าแอปเปิลต้องการผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ แต่มองต่างกันในวิธีนำเสนอ
Ive ต้องการจัดงานเปิดตัวในรูปแบบสินค้าเครื่องประดับหรู เน้นไปที่นิตยสารแฟชั่นต่าง ๆ ส่วน Cook ต้องการพูดถึงในมุมฟีเจอร์ ว่าซื้อแล้วใช้ทำอะไรได้บ้างมากกว่า เนื่องจาก Cook เป็นซีอีโอเขาจึงใช้วิธีรับข้อเสนอของ Ive ในแง่แฟชั่น แล้วไปลดค่าใช้จ่ายกับฝ่ายการตลาดแทน ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าไอเดียไม่ได้รับการตอบสนอง
Apple Watch เริ่มต้นด้วยการวางตำแหน่งในฐานะสินค้าแฟชั่น มีรุ่นบนราคาหลักแสนบาท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นสินค้าถูกวางตำแหน่งมาเป็นนาฬิกาเพื่อการออกกำลังกายแทน
วันหนึ่ง Ive พูดคุยกับ Cook ว่าเขาเหนื่อยกับภาระงานที่มากขึ้น ที่ต้องดูทั้งงานออกแบบ ดูแลเรื่องบุคคลกับทีมงานขนาดใหญ่หลายร้อยชีวิต เขาต้องการลาออกจากแอปเปิล แต่ Cook กังวลว่าหาก Ive ลาออก ราคาหุ้นแอปเปิลจะตก จึงให้ข้อเสนอเป็นตำแหน่งใหม่ Chief Design Officer ที่ดูแลเฉพาะภาพรวม แล้วโปรโมตทีมงาน 2 คน มารับผิดชอบงานประจำวันแทน Ive รับข้อเสนอนี้ แต่คนใกล้ชิดบอกว่ามันไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนัก
ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มมีปัญหามากขึ้น ในช่วงการพัฒนา iPhone X ซึ่งเป็น iPhone ไร้ขอบ ไร้ปุ่ม Home ตัวแรก และเป็นรุ่นที่ทำเพื่อฉลอง 10 ปี iPhone มีข้อมูลว่าทีมงานฝ่ายออกแบบกว่า 20 คน นัดหมายกับ Ive เพื่อตรวจแบบครั้งสุดท้าย แต่ Ive มาสายไป 3 ชั่วโมง และให้ความเห็นแบบกว้าง ๆ ไม่ฟันธงว่าให้เลือกแบบไหน ซึ่งแปลกไปจากทุกครั้ง
จากเหตุการณ์นั้นคาดว่านำไปสู่ฟางเส้นสุดท้าย เมื่อ Tim Cook ปรับโครงสร้างผู้บริหาร โดยเปลี่ยนบอร์ดบริหารจาก Mickey Drexler ที่มาจากแฟชั่นของ Gap เป็น James Bell อดีตหัวหน้าฝ่ายการเงินของ Boeing ซึ่ง Ive มองว่า Cook กำลังเน้นเรื่องตัวเลขการเงินมากขึ้น
ต่อมาแอปเปิลแต่งตั้ง Peter Stern ผู้บริหารคนใหม่มารับผิดชอบธุรกิจกลุ่ม Services ซึ่งในการนำเสนอนั้น สไลด์หน้าหนึ่งบอกว่าแอปเปิลควรโฟกัสที่ธุรกิจบริการออนไลน์มากขึ้น เนื่องจากมีอัตรากำไรที่ดีกว่าธุรกิจฮาร์ดแวร์ ซึ่งจะเห็นว่าหลังจากนั้นแอปเปิลสามารถทำรายได้-กำไร จากส่วนธุรกิจนี้เป็นกอบเป็นกำ
ในเดือนมิถุนายน 2019 Jony Ive ได้เปลี่ยนสตูดิโอออกแบบของเขา เป็นโรงภาพยนตร์เล็กเพื่อฉายหนัง Yesterday ดูร่วมกับทีมงาน หนังเรื่องนี้เกี่ยวกับชายที่ประสบอุบัติเหตุ และตื่นมาพบว่าเขาเป็นคนเดียวในโลกที่รู้จัก The Beatles หลังหนังจบ Ive กล่าวว่าหนังเรื่องนี้ให้แรงบันดาลใจต่อเขามาก ว่าศิลปะจำเป็นต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสม และเมื่อคุณเติบใหญ่ขึ้นเรื่องนี้ก็ยิ่งสำคัญ
หลังจากนั้นไม่กี่วันเขาเรียกประชุมทีมงานอีกครั้ง และแจ้งการลาออกจากแอปเปิล เพื่อไปตั้งสตูดิโอออกแบบของตนเอง LoveFrom เรื่องราวของ Ive กับแอปเปิลจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่นั้น
ที่มา: The New York Times
Comments
โจนี่เก่ง แต่ต้องมีคนที่เข้าใจทั้งศิลป์ทั้งธุรกิจแบบจ๊อบส์คุมอีกที(ซึ่งหาได้ยาก..มาก) ที่จะเป็นคนตบไอเดียให้กลมกล่อมตอบโจทย์องค์กร พอเป็นทิมแล้ว ทีนี้ก็เป็นมนุษย์คนละแบบไปเลย ก็อยู่ด้วยกันไม่ได้
ทำงานกับหัวหน้าหรือลูกน้องที่เคมีไม่เข้ากัน มันก็จะฝืนๆ งานที่ออกมาก็ไม่ปัง คิดว่าหลายคนคงเคยเจอ 55+
แต่ผมก็ชอบแอปเปิ้ลยุคใหม่นะ เน้น functional ตรงไปตรงมาดี แต่ก็จะขาดเสน่ห์แบบเมื่อก่อนไปนิด
ใช่ครับหลังๆมาตามนั้นเลยเพียงแต่ว่าทำไมผมดันชอบช่วงหลังๆมากว่าซะได้ง่ายๆตรงๆเลยเนี้ยแหละ
คนนึงเป็นนักออกแบบคนนึงเป็นนักธุรกิจ จะให้ 2 อย่างสมดุล
กลมกล่อมกันได้นี่ยากจริง แต่เคสนี้ลุงทิมคิดถูกนะ
กำหนด Apple Watch ไปที่ฟีเจอร์มากกว่าภาพลักษณ์สินค้า
ไม่งั้นคงได้เป็นสัญญาณแห่งความล่มส... 😂
Cookก็ไม่ได้ผิดหน้าที่ CEO คือทำกำไรให้บริษัทให้ได้มากๆ
เวลาผ่านไป
สรุปแล้ว Cook คิดถูก มองขาด วิสัยทัศน์ดี นำพาองค์กรที่ใหญ่โค่ดๆแล้ว
ให้ใหญ่ แกร่ง ขึ้นไปอีก
Ive ไม่ถึงกับผิดหรอก แต่หัวธุรกิจไม่ตอบโจทย์โลกปัจจุบัน อนาคต
องค์กรอาจประสบความยากลำบาก ถ้าเวลานั้น เดินตามแนวทาง Ive
เห็นด้วยครับ ส่วนตัวชอบ Apple ในแบบปัจจุบันมากกว่า หลังจาก Apple Silicon ออกมานี่คือเหมือนระเบิดพลัง
แบรนด์แกร่งขึ้นปั๊บ มีสายแซะด่าดูถูกผู้บริโภคเฉยว่าซื้อเพราะโง่โดนหลอกอีก =..=
Apple Watch นี่ถือว่า Cook กับ Jeff มองขาดกว่านะ
ตั้งแต่ออกรุ่นแรก เราก็งงว่าทำไมไม่เน้นตลาดสุขภาพ มาเน้นตลาด Luxury
ผมก็เห็นว่าดีไซน์ของ apple มันนิ่งๆมาพักใหญ่ๆละที่ต่างคือตัวเลข ตอนนี้เหมือนเอาดีไซน์เก่ามาผสมๆกับดีไซน์ใหม่ ยกตัวอย่าง ip13 ก็เปลื่ยนตำแหน่งกล้องให้แบบนี่รุ่นใหม่นะเดียวสับสนกับ 2 รุ่นที่แล้วแถมตัวกล้องนี่คิดได้ไงนูนขึ้นมา 3 ชั้น ด้านหน้าก็เหมือนตั้งแต่ตอน ipx ขอบก็ ip4 ตอนนี้สโลแกนของแอปเปิ้ลคงเป็น If it's ain't broke don't fix it.
Iphone ขยับ design ช้า ตั้งแต่ ive ยังอยู่แล้ว ตั้งแต่ iphone 6
พอไอโฟน 11Pro มา โลโก้ด้านหลังเหลือแต่โลโก้ Apple อย่างเดียวจัดให้อยู่ชิดตรงกลาง 5555
อันนี้ก็ถือว่าเปลี่ยนแปลงเหมือนกัน
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
มันเป็นเรื่อง Design Language และการสร้างการจดจำครับ มีในงานออกแบบอุตสาหกรรมมานานแล้ว เป็นหลักการตลาดแบบนึง เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้มีความน่าเชื่อถือ และสร้างการจดจำให้กับผู้ใช้ ทั้งหมดก็มาจากการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์นี่แหล่ะครับ บางอย่างที่เราเห็นว่ามันแปลกแต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่เขาศึกษากันมาแล้วว่ามันมีผลต่อความทรงจำของมนุษย์ จะเรียกได้ว่าเขากำลังสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในยุคใหม่ก็ได้ เพราะมันใช้หลักการออกแบบคล้ายกับการพัฒนาศิลปะวัฒนธรรมในอดีต เพียงแต่มาในเส้นสายที่ดูทันสมัยเข้ากับยุคสมัย และความชอบของคนในยุคปัจจุบันก็แค่นั้น
ตอน ive อยู่มันก็ช้าแบบนี้นะ
ถ้า Cook ไม่ได้เป็น CEO
Apple คงไม่มาถึงจุดนี้ จุดที่พึ่งพาตัวเองทั้งหมด แต่ยังขาดแค่เรื่องนวัตกรรมเนี่ยล่ะ ตอนนี้เท่าที่เห็นคือ M1 เท่านั้น
จริงๆมันมองคนละมุมงะแหละ Tim ก็มองในตัวเงินเพราะบริษัทมันเข้าตลาดทำไงก็ได้ให้ได้กำไรเยอะที่สุด Ive ก็มุมมองศิลปะ ซึ่งไอ้สองอันนี้ทำให้ไปด้วยกันยากอยู่ถ้าหาจุดลงตัวไม่เจอ
AW พอทำเป็น Luxury สังเกต First gen สีทองขายออกยากมาก
พอเป็นนาฬิกา Smart watch มันเปลี่ยนข้างในไม่ได้ ใช้ไปมีแต่เก่าลงๆ ไม่เหมือนอนาล็อคอื่นๆ ที่ราคามันขึ้นเรื่อยๆ
ผมว่าทิมคุกมาถูกทาง แต่ดีไซน์ AW ก็โอเคอยู่นะ สายนาฬิกาสวยและก็เจนแรกก็ใส่ได้ถึงเจนปัจจุบันอยู่เลย
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
ดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ Apple พักหลัง ๆ ดูโหลกว่าเดิมจริง แต่อย่างอื่นดีขึ้นทุกด้าน
นี่ทำกำไรจากบริการออนไลน์เหรอครับ นึกว่าทำกำไรจากการขายหัวชาร์จ สายชาร์จ และ accessory
อันนี้ถามครับ: คนที่จะทำ case ขายนี่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ให้แอปเปิลมั้ย?
ทำไมต้องจ่ายหว่า design เขามีให้โหลดฟรี
ส่วนอุปกรณ์เสริม ถามจริง มีคนซื้อของ apple เยอะขนาดนั้นเหรอ ให้แต่ใช้แบรนด์จีนกัน
Case นี่เข้าใจว่าถ้าไม่แปะ MFI ก็ไม่ต้องจ่ายนะครับ และ Apple ก็มีแบก Guideline เคสให้ด้วย
เคสต้นทุนผลิตไม่ถึงสิบบาท อะ ตามเหรดตลาดทั่วไป คุณว่าเขาเสียปะ
เหมือนไอ้วลีแซะค่า accessory พวกสลิ่มไอทีชอบแซะแหละ เวลาเขากำไรรายได้มากมาย ก็ยังเห็แขวะ ตอนแนวเดิมๆ ถ้ามันจะขนาดนี้ มันไม่โตเรื่อยไ หรอกครับ
หืม ใครบอกว่าเน้นขาย accessory แล้วจะไม่โตอ่ะ ผมพูดเหรอ?
Apple watch ถือว่ามาถูกทาง เพราะ ไปทาง luxury ไม่น่า เวิค เพราะ ของมันเสื่อมราคาเร็ว เพราะมันมี แบต และ โอเอส hardware ที่ตกรุ่นเร็ว
ต่างจากพวก นาฬิกา luxury มันใช้ได้เริ่อยๆ
Apple ในยุคหลังๆ มันขาดเสน่ห์ไปแล้ว ทำได้แค่ขายของเก่าวนๆ ไป อัดสเปก บลา บลา
M1 นี้ถือว่ามาถูกทาง มีนวัตกรรม แต่ภาพรวมๆ สินค้ามันไม่น่าดึงดูดแล้ว
ยุคหลังนี่นับตั้งแต่จ๊อบตายเหรอครับ
mouse นี่ของ Ive หรือเปล่า ที่ออกแบบว่าตอนชาร์ทต้องหงายขึ้นมาเนี่ย
ขอบคุณผู้เขียนมาก ๆ อ่านเพลินครับ
เรื่องดีไซน์นี่นา ๆ จิตตังนะผมว่า คนไม่ชอบอาจบอกดูโหล ขาดเสน่ห์ ไม่ออกแบบใหม่ เอาเก่ามาย้อมขายเปลี่ยนใส้ใน แต่ผมมองว่ามันเป็นภาษาการออกแบบอ่ะ อย่าง BMW ThinkPad Mazda SonyXperia เนี่ย เห็นใกล ๆ รูเลยไม่ต้องรอเข้ามาใกล้ ๆ
แต่ก็นิดนึงตรงที่ว่าก่อนหน้านี้ดีไซน์และการใช้งานมันเข้ากันนะ อย่าง iPhone 4 5 เนี่ยเหลี่ยมแต่ด้วยเครื่องเล็กและเบาเลยไม่ติด พอมาใหญ่อย่าง 6 - 11 เนี่ยสันข้างมนเลยไม่ติด พอมา 12 - 13 Pro Max เนี่ยเหลี่ยมสวย (ชอบ) แต่จับไม่สบายมือเลย ต้องใส่เคส ใช้มา 6 เดือนเพิ่งเจอเคสที่เข้ามือ และไม่หนัก ทำให้น่าใช้ขึ้น คือ เคสหนังของ apple เคสใสของ Apple ไม่ผ่านมือชุ่มลื่นและมัน เหมือนหลวมนิด ๆ ด้วยข้อดีคือไม่เหลืองเลยกับอายุการใช้งาน 5 เดือน ซิลิโคนยังไม่ได้ลองแต่น่าจะใส่กระเป๋ากางเกงแล้วฝืด
คิดถึงเสียง British Accent ของ Jony Ive ฟังแล้วรู้สึกสินค้ามันดูหรูขี้น
อันนี้ขอนอกเรื่องสำหรับ Design ของ iPhone
ผมเป็นคนที่ไม่เคยมี iPhone เป็นของตัวเองเลย (ก่อนหน้านี้ใช้ Android มาตลอด)
ล่าสุดต้นปีเพิ่งจะย้ายมาใช้ iPhone เป็นครั้งแรก ซึ่งเหตุผลหลักหนึ่งในนั้นคือ Design iPhone13 มันเหลี่ยม ๆ เรียบ ๆเหมือนสมัยตอน iPhone4 ซึ่ง Design แบบนี้ผมชอบมันมาก ๆ
ในอนาคตหวังเล็ก ๆว่าไม่อยากจะให้ Apple กลับไปใช้ design แบบมน ๆกลม ๆกระจกโค้งอีก ไม่ชอบแบบนั้นเลย
+13 ชอบดีไซน์แบบนี้เหมือนกันครับ (ถึงจะไม่ได้ชอบตัว iOS ในเรื่องการจัดการไฟล์สักเท่าไหร่ก็เถอะ)
กลับไปแน่ เพราะเดี๋ยวคนก็เบื่อแบบแบนๆเหลี่ยม
คิดว่ากลับไปแน่ๆเหมือนกันครับ เลยแค่หวังเล็ก (แม้จะไม่มีหวัง) ฮ่าฮ่า
+++
ผมก็เป็นสายดีไซน์นี้มาตลอด ตั้งแต่ Ip4 > Ip5 > IpSE1st
แล้วก็ไม่ชอบมือถือใหญ่กับทรงมนๆ เลยยึกยื้อใช้ SE1st ไม่เปลี่ยนซักที
จนล่าสุด SE กลับมา ก็ทำใจเปลี่ยนไม่ได้เพราะทรงมนๆนี่แหละ
สุดท้ายเลยต้องไป 13 เหมือนกัน
แต่...ทรงเหลี่ยมๆ ไม่ใช่ Original Shape นะ
ยุคกำเนิดของ Ip จริงๆแล้วเกิดมาด้วยทรงมนๆ
Jobs น่าจะมองออกเลยเลือกที่จะตั้ง Tim เป็น CEO
ผมสงสัยว่า Mac ทั้งหมดที่มีแต่ type C ต้องซื้อ docking แยก
กับเอา Mac safe ออก คือการออกแบบของ Ive จัง
มีพอร์ตเยอะช่องมันเล็กใหญ่ไม่สวยจริงๆ เลยตัดออก
ยุคหลัง Apple ฟังเสียงคนใช้งานมากขึ้นมาก Mac ที่ครบทุกพอร์ต
ไม่เน้นบาง เน้นประสิทธิภาพ
ตรงข้ามนะ ผมอยากให้เป็น type c ให้หมด แล้วผู้ผลิตค่ายอื่นทำตาม ต่อไป type a (ที่ต้องหมุน 2 ครั้ง เพื่อจะเสียบให้ถูกด้าน) ก็จะหายไป แต่มันดันไม่เป็นอย่างนั้น
แต่เห็นด้วยที่ ควรมี sd card slot กับ hdmi แบบ mbp รุ่นล่าสุด
แต่ปัญหาคือ magsafe ใหม่ดันได้แค่จ่ายไฟ
ถ้ามันทำมาเป็น magnetic tb4/usb4 จะแจ่มมาก สายเส้นเดียวทั้งไฟ data จอ แถมยังเป็น magnetic
อย่างนั้นก็ไม่ใช่พอร์ตมาตรฐานน่ะสิครับ กลายเป็นพอร์ต Lighting2 แล้วราคาสายน่าจะแพงพอสมควร ผมว่าแยกอย่างนี้ดีแล้วล่ะ
ดีดคนขวางออก(ซาตีฟน้อย)ออก ผลเป็นไงตัวเองวิ่งออกตามคิดไว้อยู่แล้ว