Zipmex ออกเอกสารชี้แจงเพิ่มเติม หลังจากเมื่อคืนนี้ได้ชี้แจงว่าส่วนที่เกิดปัญหาคือบริการ ZipUp+ ซึ่งเป็นการนำเงินคริปโตไปฝากกินดอกเบี้ยกับ Babel Finance มูลค่ารวม 48 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ Celsius มูลค่าร่วม 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เนื่องจาก Celsius นั้นเข้าสู่กระบวนการล้มละลายแล้ว ความหวังที่จะได้ทรัพย์สินคืนมาเต็มจำนวนคงมีค่อนข้างน้อย แต่สำหรับทาง Babel นั้นทาง Zipmex ระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการประเมินทางเลือก
สำหรับการแก้ไขทางอื่นๆ ยังคงเหมือนที่ ดร.เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Zipmex Thailand แถลงเมื่อคืนที่ผ่านมา คือ ทาง Zipmex มองช่องทางการระดมทุนเพิ่มเติม, การดำเนินการตามกฎหมาย (ดร.เอกลาภระบุถึงการฟ้องแบบกลุ่มเพื่อขอทรัพย์สินกลับมา), และการปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่
ที่มา - Facebook: Zipmex Thailand
Comments
เคส Celcius นี่ WSJ เคยทำสกุ๊ปอยู่ก่อนจะประกาศล้มละลาย เค้าระบุในเงื่อนไขอยู่แล้วว่า ถ้าล้มละลายนี่ทรัพย์สินที่เอามาฝากไว้คือเค้าไม่รับผิดชอบ...
สถานะการณ?แบบนี้ยังหวังระดมทุนได้อีกเหรอ
ฟ้องแก้เขินรึเปล่าน
แต่อยากรู้จัง
ลงทุนแบบนี้เค้ามีโมเดลคิดคำนวนความเสี่ยงมั้ยนะ
ฟ้องเพื่อให้เวลาขึ้นศาล กรรมการจะได้บอกได้ว่าเราทำสิ่งที่ควรทำแล้วครับ
ฝากถึงตลาดทุกเจ้า รวมถึงบริษัทประกันนะครับ
คราวหน้าจ้างคนลักษณ์ 6 ไปทำงานด้วยครับ คนพวกนี้คิดลบก็จริงแต่ก็มองเห็นความเสี่ยงเสมอ ไม่ใช่จ้างคนลักษณ์ 1 กับ 7 สายบ้าพลังไปอย่างเดียว แบบนี้ได้กอดคอกันตายหมดสิ
ทำไมถึงใช้ enneagram ผมว่าถ้าใช้ mbti จะเข้าใจง่ายกว่านะ
ส่วนตัวผมไม่เข้าใจอะไรเลย
มันคืออะไรหรอครับ
personality typing น่ะครับ อิงตำราคนละเล่มกัน
โดยรวมก็จัดคนที่มีลำดับการทำงานของสมอง/กระบวนคิดของสมองไว้เป็นกลุ่มใหญ่ๆ เวลาที่บอกว่าใคร type ไหนก็จะสามารถเดาบุคลิคโดยรวมได้
อย่างคำว่า introvert / extrovert ก็มีการแบ่ง type ไว้เหมือนกัน
มันดูง่ายครับ ส่วน mbti นี่ถ้าไม่ใช้เครื่องมือวัดต้องคลุกคลีกับเค้าระยะเวลานึงเลย
ก็คงฟ้องไปเท่าที่ทำได้ แต่คงไม่ได้กลับคืนมาครบแล้วล่ะ (อาจจะได้นิดหน่อย และกระบวนการนานมาก) เพราะทางนั้นก็ล้มละลายกันหมดแล้ว
ฟ้องแล้วก็ใช่ว่าจะได้เงินคืนเสมอไปน่ะครับ ถ้าไม่มีสินทรัพย์ให้ยึด เดาว่าเงินสดก็คงไม่น่าเหลือพอให้ชำระกับเจ้าหนี้ทุกคน เพราะเค้าก็มีระดับเจ้าหนี้การค้าที่ต้องจ่ายเหมือนกัน เช่น พวกงบดำเนินงานที่ค้างจ่ายศาลน่าจะบังคับให้จ่ายก่อน ส่วนลูกค้าที่เป็นผู้ลงทุนน่าจะอยู่ท้ายๆ ทรัพย์สินที่เป็นพวกอสังหาอาจจะยึดมาแล้วจะขายได้ไหม หรือทรัพย์สินที่ไม่มีตัวตนที่ถืออยู่ เช่น สิทธิบัตร ลิขสิทธิ์ สัมปทาน สิทธิการเช่าก็ไม่น่ามีแน่เลย จากใจคนที่เคยเป็นเจ้าหนี้ธุรกิจที่ล้มละลาย ฟ้องชนะแต่กว่าจะบังคับคดีได้เงินคืนอ่ะนานมาก จนต้องขายสิทธิ์การเรียกชำระหนี้ให้ธนาคารไปบริหารแทนเพราะจะขยับเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่น ส่วนตัวยังไม่เคยลงทุนในคริปโตเหมือนกัน ผมยังชินกับการลงทุนแบบเก่าๆ อยู่