แอปเปิลเปิดตัว iPhone 14 ไปเมื่อคืนที่ผ่านมาโดยฟีเจอร์สำคัญอันหนึ่งคือการส่งข้อความขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียมที่ให้บริการฟรีสองปีเมื่อซื้อ iPhone 14 ทางบริษัท Globalstar ผู้ให้บริการการสื่อสารผ่านดาวเทียมก็ออกมารายงานสัญญาการให้บริการกับแอปเปิลต่อตลาดหลักทรัพย์
Globalstar ระบุว่าสัญญาให้บริการกับแอปเปิลจะเป็นการให้บริการคลื่นในช่องสัญญาณ n53 โดยสัญญานี้จะทำให้แอปเปิลได้สิทธิ์ใช้ช่องสัญญาณไปถึง 85% ส่วนที่เหลือทาง Globalstar จะทำตลาดขายส่งช่องสัญญาณและให้บริการ IoT ต่อไป
รายงานแสดงให้เห็นว่าแอปเปิลลงทุนกับระบบนี้อย่างหนัก โดยจ่ายเงินให้ Globalstar ทั้งการลงทุนยิงดาวเทียม ค่าใช้โครงข่าย และเงินโบนัสเมื่อทาง Globalstar สามารถพัฒนาบริการได้ตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้
ตัว Globalstar เองผลิตอุปกรณ์ขอความช่วยเหลือผ่านดาวเทียมคล้ายกับฟีเจอร์ใน iPhone 14 มาก่อนแล้ว แต่เป็นอุปกรณ์แยกที่ราคาค่อนข้างแพงและมีขนาดใหญ่ การที่แอปเปิลรวมฟีเจอร์นี้เข้าใน iPhone 14 ก็นับเป็นการเปิดตลาดให้คนจำนวนมากเข้าถึงการสื่อสารผ่านดาวเทียมได้
ที่มา - SEC.report
Comments
ผมว่า Apple น่าจะมีแผนมากกว่านี้นะ อาจจะเป็นการทดสอบไปกลายๆ สำหรับอนาคตด้วย ส่วนตัวผมว่าอาจมีการขยายบริการอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกสำหรับสื่อสารผ่านดาวเทียม
ผมเดาว่าในไทยอาจจะได้ใช้ในอนาคต เพราะไทยคมเพิ่งลงบันทึกข้อตกลงกับ Globalstar ในการพัฒนาและให้บริการลักษณะนี้ไปเมื่อตอนต้นปีครับ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
ค่าระบบฟรี แต่ทีมช่วยเหลือน่าจะไม่ฟรี (หรือเปล่า?)
ถ้าเหตุมันเกิดแล้วทีมช่วยเหลือฟรีหรือไม่ผมว่าไม่น่าเป็นเหตุผลแล้สแหละครับ
ผมว่าไม่น่าจะฟรีแหละครับ ถึงเวลานั้นไม่มีใครมาช่วยเหลือ ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ แค่ขอมีคนมาช่วย เสียเงินเเค้าก็ยอมแหละครับ
ระบบก็ไม่ฟรีครับ เดี๋ยวก็คิดเงินเพิ่ม ในงานบอกไว่แค่ว่าฟรีสองปีแรก
lewcpe.com, @wasonliw
อันเนี้ยะ นวัตกรรม จากมือถืองานระดับโปรเสาหนาๆ กลายเป็นมือถือบ้านๆ ที่ไม่ต้องมีเสายื่นออกมาเลย และผมก็คิดว่านี่ยังเป็นก้าวแรกเเท่านั้นเอง Apple อาจจะหวังไว้มากกว่านั้น ถ้าแอปเปิลอยากเล่นเกมนี้จริงจัง อาจตั้งบริษัทดาวเทียมปลอมๆมายิงล่วงหน้าก่อนก็ได้ แล้วค่อยเปิดตัวทีหลัง เป็นคู่แข่ง starlink ไป 😁
ที่ดูคือต้องเล็งหาดาวเทียมแล้วก็ส่งได้ตำแหน่งกับข้อความเท่านั้นครับ คือไว้ใช้ฉุกเฉินจริงๆ เทียบกับพวกมือถือดาวเทียมเฉพาะไม่ได้พวกนั้นโทรได้แล้วก็น่าจะจับสัญญานได้ดีกว่า เดียวก็คงมีคนลองเทียบอยู่แล้วเรื่องนี้ว่าใช้งานจริงได้ดีขนาดไหน
เห็นว่าฟรี 2 ปีแล้ว ปีที่เหลือเก็บเงินยังไงนะ ตามการเรียกหรือยังไงนะ
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
น่าจะเก็บตามการใช้งานจริงล่ะผมว่านะ
น่าจะรวมไปในแพคเก็ตค iclound+ เหมือนตอน vpn ก็รวมไปใน iclound+
จ่ายค่าเช่าดาวเทียมในรูปแบบซื้อมือถือ
Apple x Starlink?
@zumokik
แผ่คลื่นไปถึงระยะของดาวเทียมได้ด้วย ใช้ความถี่เท่าไหร่หว่า
n53 เป็นย่าน 2.4GHz ครับ ต่อท้าย Wi-Fi/Bluetooth ไปหน่อยเดียว แต่ช่องสัญญาณแคบมาก แค่ 11.25MHz เท่านั้น ความเร็วสูงสุดนี่ 32KBps เท่านั้น
lewcpe.com, @wasonliw
น่าจะเป็นความเร็วที่หลายๆ คน (ที่อายุเยอะหน่อย) มีความหลังกับมันครับ
modem ตัวแรกของผมความเร็ว 9600 bps ซักพักเปลี่ยนเป็น 14,400 bps และปิดท้ายที่ 56kbps ก่อนเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีอื่น
ผมได้ใช้ครั้งแรกตอน 14.4 Kbps ของ CS Loxinfo ครับจบที่ 56.6 Kbps ก่อนย้าย ไป ADSL
ผมจำได้แค่ 14.4 33.6 56
32KBps นี่ยุคบูมของ ADSL เลยนะครับ
32 KByte/s (256 Kbit/s) น่าจะเป็นความเร็วตอน ADSL เข้ามาให้บริการในไทยตอนแรกๆ เลยมั้ง แต่ถ้า 32 Kbit/s นี่ ระดับ dial-up V.34 ที่ผมไม่ทันได้ใช้แน่นอนครับ
ในข่าวนี้เป็น kilobytes/second ครับ
32KBps นี่เหมือนจะเยอะ (เทียบกับ AIS Easy Free Net 64kbps ที่ผมยังใช้อยู่ 2 เครื่อง)
แต่อันนี้มันต้องหารกับทุกคนด้วยใช่มั้ยนะครับ 😨
ไม่แน่ใจครับ แต่เป็น ความเร็ว "สูงสุด" ต้องระวังว่า Wi-Fi, LTE, หรือ 5G ทุกวันนี้เคยประกาศความเร็วสูงสุดไว้แค่ไหน เวลาใช้จริงเจอความเร็วอย่างไร พวกไร้สายก็จะเจอคล้ายๆ กันล่ะครับ
Starlink ทุกวันนนี้อาศัยว่าพอพื้นที่ไหนแน่นเข้าก็เริ่มไม่รับลูกค้า แต่กรณีนั้นเป็น fixed กรณีนี้เคลื่นที่ได้ก็จะคาดเดายากมาก
lewcpe.com, @wasonliw
ว้าวซ่ามาก รอดูว่าวันข้างหน้าจะต่อยอดยังไงได้
ต่อยอดด้วยการซื้อ "Globalstar" ครับ
ในทางเทคนิคแล้วไม่น่าจะส่งจากมือถือไปหาดาวเทียมได้ตรงๆ
เห็นว่าใช้การสะท้อนพื้นโลกจากดาวเทียม แล้วแจมสัญญาณเอา จริงหรือปล่าวครับ
ไปเอามาจากไหนครับ ใครว่า?
lewcpe.com, @wasonliw
ชนพวกอุปกรณ์ Garmin ไหมนะ คุ้นๆ มีอุปกรณ์พวกนี้ขายอยู่ เป็น GPS แต่มีฟังก์ชั่นฉุกเกินอะไรแบบนี้เหมือนกัน พวก inReach งี้ แค่เอามาใส่ในมือถือ
ฝั่งนาฬิกานี่ก็ดูชนด้วย ชนรุ่นใหญ่ EPIX ไรงี้
นาฬิกาถูกกว่า Garmin ด้วย 😑 อาจจะสู้ไม่ได้ในเรื่องอุปกรณ์เสริมแบบ extreme บางอย่าง แต่ถ้าใช้แบบไม่สุดทาง (ค่าแม่นยำสูงมาก ค่าประหลาดๆ แบบเชื่อมต่อกับถังออกซิเจนอะไรแบบนั้น) ขนาดนั้น Apple Watch ให้ค่าต่างๆ ได้เยอะมากๆ แล้ว