Bloomberg รายงานข่าวว่าธนาคารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง เช่น Bank of America, Citigroup, Deutsche Bank, Goldman Sachs, Wells Fargo เริ่มแบนการใช้งาน ChatGPT และเครื่องมือของ OpenAI ในคอมพิวเตอร์ขององค์กรแล้ว ด้วยเหตุผลว่ากลัวความลับขององค์กรรั่วไหล จึงขอเวลาตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน
ระบบของธนาคารเหล่านี้มักแบนการใช้งานแอพหรือบริการที่ไม่ได้รับอนุญาตอยู่แล้ว (เช่น ใช้ WhatsApp คุยงาน) ล่าสุดคือ ChatGPT เข้าไปอยู่ในรายการบล็อคของธนาคารกลุ่มนี้แล้ว
โฆษกของธนาคาร Wells Fargo เป็นรายเดียวที่ออกมาให้ความเห็นเรื่องนี้ โดยบอกว่าบล็อคเพื่อขอเวลาศึกษาและประเมินความเหมาะสมในการใช้งานก่อน
ที่มา - Bloomberg
Comments
เพื่อนเล่าให้ฟังว่า ที่บริษัทน่าจะบล็อคการเข้าใช้งาน chatGPT เรียบร้อยแล้ว
อ้างว่ากลัวจะมีการเรียนรู้ข้อมูลของบริษัท
มันก็มีความเป็นไปได้แหล่ะครับ เวลาที่เราตั้งคำถามมันจะมี input ที่เป็นคำนามปนอยู่ ซึ่งบางครั้งมันก็มีชื่อเฉพาะ ทำให้หาพอเดาแหล่งที่มาได้ ทำให้สามารถรู้ว่าต้นทางคือใคร แล้วนำไปดูว่าค้นหาเรื่องอะไร สืบย้อนไปยังเรื่องที่อาจเป็นความลับของบริษัทโดยไม่ตั้งใจได้ (เน้นนะว่าไม่ตั้งใจ เพราะบางที Ai มันก็คาดเดาพฤติกรรมย้อนกลับของเราได้) ซึ่งไม่ผิดที่องค์กรขนาดใหญ่จะระวังเพราะข้อมูลบางอย่างกว่าจะได้มามีการลงทุนมหาศาลทั้งการตลาด การวิจัย
ถ้าเปรียบเทียบ Ai ก็เหมือนเราคุยกับเพื่อนที่มีความเชี่ยวชาญเดียวกัน พอคุยด้วย keyword บางตัวเพื่อนก็อาจเดาได้ว่าเรากำลังพูดเรื่องอะไร และอาจหาย้อนกลับไปยังข้อมูลที่เพื่อนอยากรู้ได้ เช่น สมมุติเราพูดถึงนาย A บ่อยๆ ในประโยคสนทนากับ ทั้งที่บุคคลภายนอกไม่มีใครรู้ว่านาย A เกี่ยวข้องอะไรกับธุรกิจเรา ซึ่งมันก็จะเกิดความสงสัยและเชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลบริษัท ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนาย A อาจเป็นนักลงทุน หรือนอมินี ที่บริษัทต้องการปกปิดเป็นความลับก็ได้
อันบนอาจดู dark และห่างตัวไปหน่อย เอาอีกตัวอย่างนึง อาจมีนักวิจัยคนหนึ่งของบริษัท คิดอะไรไม่ออก ก็เลยไปถาม Ai โดยระบุข้อมูลองค์ประกอบสำคัญของสินค้าลับที่กำลังอยู่ระหว่างพัฒนาลงไปในประโยคสนทนา ซึ่งจากข้อมูลส่วนบุคคลที่ระบบเก็บไว้ รวมกับบทสนทนาอาจคาดเดาย้อนกลับได้ว่า อาจเป็นสูตรของผลิตภัณฑ์ชนิดใด ของบริษัทใด
ai มาจากากรเรียนรุ้ข้อมูลต่างๆ ข้อมูลก็หาได้ทั่วๆไป
เค้าใช่อะไรคุยงาน