David Weston หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยระบบปฏิบัติการของ Windows เปิดเผยในงานสัมมนาความปลอดภัย BlueHat IL 2023 ที่อิสราเอล (อันเดียวกับข่าว ไมโครซอฟท์เริ่มเขียนบางส่วนของ Windows ด้วย Rust) ว่าระบบปฏิบัติการ Windows เวอร์ชันถัดไป (ที่คงเรียกว่า Windows 12 ตามข่าวลือ) จะสามารถรันแบบ Adminless คือไม่ต้องมีบัญชีแอดมิน ใช้งานด้วยบัญชีธรรมดาได้เลย
แนวคิดเรื่องการปิดไม่ให้เข้าถึงบัญชีผู้ดูแลระบบ (Admin/Root) ที่มีสิทธิเต็มทุกอย่าง มาจากเหตุผลเรื่องความปลอดภัย เพื่อไม่ให้แฮ็กเกอร์หรือมัลแวร์เจาะบัญชีแอดมินแล้วได้ทุกอย่างไปเลย ระบบปฏิบัติการรุ่นใหม่ๆ มักมีฟีเจอร์การให้สิทธิเป็นบางอย่างด้วยเหตุผลนี้ แม้แต่ Windows เองก็มีฟีเจอร์อย่าง User Account Control (UAC) มานานพอสมควรแล้ว
แต่ด้วยมรดกเก่าที่สั่งสมมายาวนาน ทำให้ Windows ยังไม่สามารถทำงานแบบไม่มีบัญชีแอดมินได้ 100% ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ประการคือ ตัว OS เองยังกำหนดให้ต้องใช้สิทธิแอดมินในการแก้ไขค่าบางอย่าง (เช่น เปลี่ยนโปรไฟล์สี) และแอพโลกเก่า Win32 ที่เกิดมาในยุคทำงานด้วยบัญชีแอดมินเป็นค่าดีฟอลต์
Weston บอกว่าแอพรุ่นใหม่ยุค UWP ไม่มีปัญหาเรื่องการทำงานแบบจำกัดสิทธิแล้ว แต่แอพรุ่นเก่าไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ง่ายนัก สิ่งที่ไมโครซอฟท์จะทำคือ Win32 App Isolation ห่อหุ้มแอพ Win32 เอาไว้ในคอนเทนเนอร์ เพื่อไม่ให้ทำอันตรายกับส่วนอื่นในระบบปฏิบัติการ
แนวทางการทำ Win32 App Isolation อิงอยู่บนระบบแพ็กเกจ MSIX ที่ทุกวันนี้ใช้งานกันอยู่แล้ว (บน Windows 10 ขึ้นไป) เป็น isolation แบบอ่อนๆ โดยนักพัฒนาไม่ต้องแก้โค้ดเลย สิ่งที่ต้องทำมีแค่การนำโค้ดเดิมไปทำเป็นแพ็กเกจแบบ MSIX ด้วย App Isolation SDK เท่านั้น ที่เหลือ
ไมโครซอฟท์จะเขียนส่วนการแปลงระบบไฟล์แบบจำกัดสิทธิให้เอง (mini-filter) โดยที่แอพจะไม่รู้ว่าตัวเองถูกจำกัดสิทธิอยู่ ตัว SDK จะเปิดให้ดาวน์โหลดในงาน Build 2023 ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมนี้
ในฝั่งของ OS เอง ไมโครซอฟท์จะเพิ่มบัญชีรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Least Privileged User เข้ามา คั่นกลางอยู่ระหว่างบัญชีผู้ใช้ทั่วไป (Standard) ที่ทำอะไรแทบไม่ได้เลย กับบัญชีแอดมินที่ทำได้ทุกอย่าง
บัญชีแบบใหม่จะสามารถขอสิทธิบางอย่างได้ แต่ไม่มีสิทธิค้างไว้ตลอดไปเหมือนบัญชีแอดมิน สิ่งที่เพิ่มเข้ามาจากระบบ UAC แบบดั้งเดิม คือ เพิ่มการขอสิทธิด้วยไบโอเมทริก (Windows Hello) เพื่อลดการใช้รหัสผ่านลง
ตัว OS จะแก้ไขเรื่องสิทธิที่จำเป็นบางอย่าง (เช่น การเปลี่ยนโปรไฟล์สีตามตัวอย่างข้างต้น) ให้สมเหตุสมผลมากขึ้น, เพิ่มบัญชี local admin ปลอมๆ (shadowing) ที่ไม่มีสิทธิเต็มเหมือนแอดมินจริง และหารือกับแอพ 3rd party ยอดนิยมเพื่อให้ปรับแอพเข้าสู่แนวทางนี้มากขึ้น รวมถึงแอพของไมโครซอฟท์เองด้วย
ตัวอย่างการขอสิทธิการรัน Java SE ด้วย Windows Hello
คลิปเต็ม
Comments
ส่วนแบ่งการตลาด 11 ยังไม่เท่าไหร่ 12 พี่มาแล้ว ^_^ เบิร์นเลขกันไวมาก
Windows 10 is the last version, they said
อยากให้ไปทำใหม่ไปเลยนะ ไม่ต้องอิงกับแบบเดิม จะปรับยังไงก็ได้
สภาพจะเป็นแบบ Windows Phone ที่เลิกทำไปก่อนหน้านี้
ถ้าโทรศัพท์ยังพอเข้าใจได้ แต่ผมว่า PC คงไม่เหมือนหรอก
เพราะ Windows แทบจะเป็น OS ที่ผูกขาด PC ในแง่ความเคยชินของผู้ใช้อยู่แล้ว ถ้า Microsoft อยากโละจริง ๆ แล้วเกิดเหมือน Windows Phone ขึ้นมา ผมว่าคนก็ยังใช้อยู่ดี ต่อให้ต้องใช้เวลานานกว่าจะเสถียรหรือมีแอปรองรับพร้อมทุกอย่างเหมือนเดิม ก็ไม่มี OS คู่แข่งไหนไล่ตามทันหรอก Windows มีแต้มต่อนี้เป็นทุนใหญ่อยู่แล้ว แถมยังมี Office เป็นไม้ตายอีก โห โค่นยาก
ถ้าสักสิบห้าปีก่อนผมอาจจะเห็นด้วยก็ได้นะครับ
ถ้าย้อนไปยุค windows ce นี่ ตอนนั้น microsoft ก็ครองตลาดเบ็ดเสร็จเลยนะครับ palm ตามมาที่ 2 แบบห่างมากๆ (ก่อนหน้านั้นเป็นผู้นำตลาด) ตอนนั้น iphone/android นังไม่เกิด
แม้แต่คอน ios ออกใหม่ๆ windows ce ก็ยังได้เปรียบเรื่อง แอพที่มากกว่าอยู่ดี
จนมาทำ wp7 นั่นแหละครับ รื้อทำใหม่หมดเลย
ผลคือ 1. แอพเก่าใช้ไม่ได้ 2. Api ไม่ครบ
จากที่ 1 กลายเป็นถอยรูดจนไม่เหลือที่ยืนเลย
แต่ปัญหาจริงๆของ ms ไม่ใช่การรื้อทำใหม่ แต่เป็นการ transition แบบหักดิบและเชื่อว่าคนจะตาม แถมตัวเองก็ยังไม่พร้อม
เทียบกับ apple ที่ transition จาก intel -> apple silicon ที่เตรียม rosetta ไว้ และยังทุ่มทำ app ของตัวเองให้พร้อมตั้งแต่ day 1
Ms จะรื้อใหม่หมดก็ได้ แต่ 1. App เก่าควรจะเล่นได้ สัก 70-80% 2. “เกม” เก่าไม่เกิน 2 ปี ทุกเกมควรจะเล่นได้ 3. มี api มากพอ
เกมนี่สำคัญเลย ขืนทำมาใหม่แล้วเล่นได้น้อยกว่าเล่นบน proton นี่คงตลก
เนี่ยอย่างการตัดสิทธิ์ admin นี่ก็เรื่องใหญ่ ก็ต้องทำ isolation มาครอบให้ app win32 ยังรันได้
Apple ออกแนว ๆ สร้างแผน transition แล้วทิ้งของเก่าไปเลย ซอฟต์แวร์เก่าทำงานไม่ได้อีกต่อไปและกลายเป็น Abandonware ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้ใช้งานบางกลุ่มที่ต้องการใช้งานซอฟต์แวร์เก่าต่อไป ซึ่ง Apple ไม่ตอบโจทย์สำหรับ legacy
ฝั่ง MS ขึ้นชื่อเรื่องทำทุกอย่างให้ backwards compatibility โปรแกรมหลายตัวเมื่อสิบยี่สิบปีก่อน ตราบใดที่เขียนด้วย WinAPI ล้วนก็แทบจะทำงานได้ทันที (ผมเคยลองใช้โปรแกรมจาก Windows 3.1 บน Windows 7 ปรากฏว่ายังใช้งานได้ และบางโปรแกรมก็ยังใช้งานได้ปกติบน Windows 10) หรือ Xbox รุ่นใหม่ล่าสุดที่ยังเล่นเกมบางเกมของ OG Xbox และ Xbox 360 ได้
สำหรับเรื่อง Windows CE ไป Windows Phone ผมไม่เห็นด้วยนะ เพราะ Windows CE กับ Windows Phone ถือว่าเป็นคนละตลาด ในฝั่ง PDA มันใกล้จะตายอยู่แล้วเพราะการเข้ามาของ Smartphone และ PDA เองมัน niche มาก ๆ (ซอฟต์แวร์เพื่อความบันเทิงเองก็แทบไม่มี ไม่ต้องพูดถึงเกม) คู่แข่งแทบจะมีอยู่แค่สองเจ้าเท่านั้น คือ Palm และ Windows CE แม้ว่าทั้งสอง OS จะสามารถพัฒนาออกมาให้รองรับสมาร์ตโฟนได้ แต่สุดท้ายแล้วซอฟต์แวร์ 3rd party ของยุค Palm/Windows CE ก็ยังไม่เหมาะสำหรับยุคนี้อยู่ดี MS คาดการณ์ว่าไม่ว่ายังไง การเอาซอฟต์แวร์จาก CE มา WP ไม่มีประโยชน์เท่าที่ควร (อุปกรณ์ PDA มีหลายรูปแบบมาก และซอฟต์แวร์ก็ใช่ว่าจะเหมาะสมสำหรับการรันในทุกเครื่อง) และยุคนั้นเอง Smartphone ก็ยังอยู่ในช่วงต้น ๆ ทั้ง iOS และ Android ก็ไม่ได้ Advanced ขนาดนี้ แต่ WP ตายเพราะ MS ล้วน ๆ เลย ทั้งรู้ตัวช้ามาก มัวแต่คิดว่า iOS และ Android ยังมีความสามารถไม่เท่าของตัวเอง ซึ่งจริงแค่บางส่วน แต่ที่ iOS และ Android เกิดได้เพราะแอปยุคทัชสกรีนเลย, มีค่า Licence (ในสมัยนั้น Android ยังไม่มีค่า GMS) ที่แพงมาก และไม่ผลักดันและสนับสนุนเครื่องมือให้ผู้พัฒนาให้นำแอปมาลงมากเท่าที่ควรจะเป็น ผู้พัฒนาต่างพากันโฟกัสกันที่ iOS และ Android กันหมดแล้ว แทบไม่มี dev เจ้าเล็ก ๆ ที่สนใจ Windows Phone เลย ความพยายามผลักดันให้กลายเป็นเครื่องมือธุรกิจก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเจ๊ง ต้องกลับมาซบอกกับ Android
ปัจจุบัน maya, zbrush, photoshop, autocad, after affect ยังไม่ทำลง windows store เลย ถ้าเป็นนักปั่นหุ้น ซื้อมาใช้ ms office ก็ได้อยู่
ไปใช้ mac ซะ หมดเรื่องหมดราว
ถ้าทำได้ดีจริง ๆ ต้องลบแอป แล้ว trail 7 วัน 30 วันหายไปด้วยนะ 🤣 บีบให้ user ไปสมัคร เพื่อขอ trail มากกว่าจำในเครื่อง
/me มอง Steam
รอดูว่าพวก anticheat ที่เข้าถึงสิทธิ์ system ระดับสูงจะเป็นอย่างไรถ้าทำแบบนี้
หรือจะทำ isolate แยก environment แต่ละแอพออกจากกันเลยก็ได้นะ
ผมว่าน่าจะเป็นแบบนั้น แต่คงจะกินสเปคมากโข รอดูว่าจะตอบโจทย์เกมเมอร์มั้ย