มีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับการนำเทคโนโลยีมาใช้กับธุรกิจ กลายเป็นเรื่องวุ่นวายที่ทางการต้องเข้ามาสั่งระงับ โดยร้านขายยา Rite Aid ที่มีสาขาหลายพันแห่งในอเมริกา ได้รับการร้องเรียนจากลูกค้า จนนำมาสู่การเจรจายอมทำตามข้อตกลงกับคณะกรรมการการค้าของสหรัฐ หรือ FTC
FTC ระบุว่า Rite Aid ได้นำเทคโนโลยีรู้จำใบหน้า (Facial recognition) มาใช้ในร้านค้าตั้งแต่ปี 2012-2020 เพื่อตรวจจับหากมีบุคคลต้องสงสัยว่ามีประวัติขโมยสินค้าในร้าน หรืออาชญากรรมอื่น เข้ามาใช้ในบริการในร้าน พนักงานในร้านก็สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นได้
ปัญหาคือระบบของร้าน Rite Aid ทำงานไม่ถูกต้อง ระบุคนผิดบ่อยครั้ง (False-positive) จำนวนเหตุที่ร้องเรียนมีหลายพันกรณี ในรายละเอียดของกรณีที่ระบบทำงานผิดพลาด มักเป็นคนดำหรือคนเอเชียด้วย
ระบบของ Rite Aid พัฒนาโดยสองบริษัทที่ไม่มีการเปิดเผย ใช้ฐานข้อมูลของข้อมูลผู้กระทำความผิดหลายแหล่ง ทั้งภาพกล้องวงจรปิด ทะเบียนรถ หรือเลขบัตรของหน่วยงานรัฐ โดยมีข้อมูลผู้ต้องสงสัยหลายหมื่นคน แต่คุณภาพข้อมูลต้นฉบับหลายครั้งเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนนัก จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการจับผิดคนบ่อยครั้ง
FTC เจรจาหาข้อตกลงกับ Rite Aid ที่ตอนนี้เป็นบริษัทยื่นขอล้มละลายตามกฎหมาย Chapter 11 โดยสั่งห้ามบริษัทใช้ระบบตรวจจับใบหน้าในร้านค้าเป็นเวลา 5 ปี รวมถึงในอนาคตหากบริษัทไม่สามารถจำกัดความเสี่ยงได้ ก็ห้ามนำมาใช้อีก ซึ่งทาง Rite Aid ก็บอกว่ายินดีกับข้อตกลงนี้ แต่บอกว่าบริษัทใช้ระบบตรวจจับใบหน้านี้เพียงไม่กี่สาขา และเลิกใช้ทันทีที่ FTC เริ่มสอบสวน
Comments
เรื่องนี้ก็มีคนเตือนมานานเเล้วว่าถ้าเอาข้อมูลที่มีการเหยียดผิวไปฝึกมันก็จะได้โมเดลที่เหยียดผิวออกมาด้วย
ผมสงสัยว่า algorithm หรือการเทรน model น่าจะมีคนดำหรือคนเอเชียน้อยกว่า ทำให้ความแม่นยำน้อยลงมากกว่าครับ ไม่น่าเกี่ยวกับการ racist
ล้มละลาย
ไปดูงานที่จีนก่อนดีกว่าไหมนะ