มีประเด็นเพิ่มเติมหลังจากสภาผู้แทนฯ สหรัฐ ลงมติรับรองร่างกฎหมายแยก TikTok ออกจากบริษัทแม่ ByteDance มิฉะนั้นต้องหยุดให้บริการในประเทศ ซึ่งยังมีขั้นตอนการลงมติจากวุฒิสภา อย่างไรก็ตามมีคนเตรียมทีมรอซื้อ TikTok แล้ว
คนที่ออกมาให้ข่าวครั้งนี้คือ Steven Mnuchin อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ในสมัยรัฐบาล Donald Trump โดยเขาบอกว่าได้รวมกลุ่มนักลงทุนจำนวนหนึ่ง เพื่อร่วมกันลงเงินซื้อกิจการ TikTok แล้ว หากกฎหมายนี้ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ โดยเขาเองมองว่าสุดท้ายวุฒิสภาจะรับรองกฎหมายนี้ ทำให้ ByteDance ต้องขายกิจการ TikTok ออกมาในที่สุด ทั้งนี้ Mnuchin ไม่ได้ให้ข้อมูลว่ากลุ่มนักลงทุนที่เขาชักชวนมานั้นมีใครบ้าง
ด้านความเห็นจากฝั่งตัวแทนของรัฐบาลจีนนั้นก็ออกมาคัดค้าน เช่น กระทรวงพาณิชย์ของจีน แถลงว่าสหรัฐควรให้ความยุติธรรมและหยุดกดดันบริษัทต่างประเทศด้วยวิธีการนี้ ทางการจีนจะดำเนินทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างชอบธรรม เช่นเดียวกันกระทรวงต่างประเทศจีน บอกว่าคำสั่งนี้ขัดกับหลักพื้นฐานการแข่งขัน ตลอดจนข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้แม้อเมริกาจะออกคำสั่งให้ ByteDance ขายกิจการ TikTok จริง แต่ดีลนี้ก็ต้องได้รับการอนุมัติจากทางการจีนด้วย ซึ่งท่าทีล่าสุดของ Shou Zi Chew ซีอีโอ TikTok ก็บอกว่าการขายกิจการอาจไม่ใช่ทางที่ ByteDance บริษัทแม่เลือกในตอนนี้
ที่มา: CNBC และ Channel News Asia
Comments
แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับใช้กฏหมายบีบให้ขายให้ตัวเองเลยนะ
ออก กม.เอื้อให้ฮุบกิจการต่างชาติมาลงทุนในประเทศ ทำไมมันดูเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตย
พึ่งรู้?
อยากขายของบ้านใคร ก็ต้องทำตามกฎคนนั้น เรื่องปกติ
ดูจีนเป็นตัวอย่างได้
จีนแบน กูเกิล เฟส เมกา แบน ติกตอก
อย่าลืมว่า จีนก็แบนบริการ USA เพียบนะครับ
แล้วก็ทำของเลียนแบบขึ้นมาใช้เองในประเทศ
พวก SW บริการต่างๆ หากินในจีนไม่ได้
ไหนจะของก็อปต่างๆ ที่ทำในจีนได้อย่างอิสระ
ของเล่นญี่ปุ่น? มือถือ? XiaoMi? รถไฟฟ้า?
จีนมาถึงทุกวันนี้ก็เพราะก็อป ทำตามแบรนด์อื่นนี่แหละ ถ้าไม่ทำอะไรเลยตลาดโลกพังหมด เพราะจีนออกของมาขายตัดราคา ในขณะที่แบรนด์อื่นต้องเสียค่า R&D มากมาย แต่จีนเน้น reverse-engineer ไม่เน้นจดลิขสิทธิ์
ข่าวนี้ USA อาจเหมือนผู้ร้าย
แต่จีนทำมานานแล้วจนเราคิดว่ามันปกติ ไม่มีคนว่าจีน ถ้าไม่แบนก็เหมือนเราเข้าไปขายของบ้านเขาไม่ได้ แต่เขามาขายของบ้านเราได้ปกติอะครับ (ราคาถูกกว่า แย่งลูกค้าเราไปอีก)
อันนี้คือตรรกวิบัตินะครับ ad hominem ต้องมองด้วยหลักการทั้งคู่
1.ประเทศที่อ้างตลาดเสรีอยู่ๆ หาหาเรื่องคนอื่น เหมือนกุ้งไทยก็เหมือนกันอยู่ๆ ก็โดนหาเรื่อง เป็นการสร้างมาตรฐานว่าใครๆ จะแบนใครก็ทำได้ ข้อตกลงต่างๆ ที่เคยทำมาไม่มีความหมาย นึกอยากจะยกเลิก ก็ยกเลิกตามใจชอบ ยิ่งพี่ใหญ่ทำ มันคือการยืนยันหละ ว่ากฏที่เคยลงนามกันมา ไม่มีผล มันทำให้กฏเกณฑ์ระหว่างประเทศไม่ศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไม่มีกฏ อนาคตก็เหลือแค่การใช้กำลัง
ข้อ 1 ท่านจะมองแบบนั้นก็ถูกครับ
USA ก็เล่นบทพระเอกต่อไป เพราะหลักการเสรี 100% มีแข็งไม่มีงอ ห้ามแบนใคร จีนจะแบน Windows, Facebook, YouTube, Google ก็แบนไปแต่เราไม่แบนกลับ USA เข้าไปขายของในจีนไม่ได้ แต่จีนเข้ามาขายของได้อิสระ USA ยินดีต้อนรับ
สุดท้าย USA ได้อะไร? นอกจากความหล่อ?
หลักการมันก็เท่ดีนะ แต่กินได้ไหมล่ะ? USA อาจเสียความเป็นผู้นำ ทางเทคโนโลยี ทางเศรษฐกิจ โดนจีนแซง สุดท้าย USA จะเลือกอะไร? ก็เห็นอยู่ว่าเลือกที่จะไม่หล่อแต่อยู่รอด เลือกแบนกลับทั้ง ASML, TSMC, Nvidia, AMD, Intel, TikTok
ผมว่ามันก็เหตุผลเดียวกัน
ย้อนกลับไป 10-20 ปี ถ้าจีนไม่แบน USA เล่นกติกาเดียวกัน ตอนนี้จีนก็คงพึ่งพา USA หลายอย่างและ USA ก็คงครองโลกไปแล้ว (แล้วใครจะคานอำนาจ?) ทางกลับกันตอนนี้ USA ก็เริ่มเสียเปรียบบ้าง TikTok จะแซงเฟสบุ๊ค BYD แซงเทสล่า พอจนตรอกก็เริ่มเห็นแก่ตัว USA ก็เช่นกัน
ข้อ 2 ใช่ครับ
แต่ก่อนรถยนต์ญี่ปุ่นก็ลอกรถ USA ส่วน Samsung ก็ลอกทีวี Sony ไอโฟน Apple แต่ถ้าจะบอกว่า "ประเทศใหนอยากจะมีของขายต้องทำทั้งนั้น" อันนี้ไม่น่าใช่ครับ มันไม่ใช่เส้นทางเดียว บริษัทที่มีสินค้าใหม่ๆ แนวทางตัวเองก็มีนะ
จีนแบนคือ ไม่ให้นับ1
แต่เคส ตต.ไม่ใช่การแบน แต่เป็นการบังคับขาย
ถ้ามีข้อหาดีๆก็คงยัดไปแบบหัวเห่ว
usa แอ๊บแมนครับ เขาเล่นตามกติกาเมื่อเขาได้เปรียบ
และพร้อมฉีกกฏเดิม แล้วเขียนใหม่เพื่อบรรลุเป้าหมาย
เข้าใจที่จะสื่อครับ และเห็นด้วย
แต่จะบอกว่า มันก็เป็นแบบนั้นทุกประเทศแหละครับ ถ้ามีอำนาจต่อรองมากพอ ทุกคน(ประเทศ)เห็นแก่ตัวทั้งนั้น
เห็นด้วยกับทั้งสองท่านครับ