ช่วงที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ได้ผลักดัน Copilot กับการทำงานบน Windows ในหลายทาง ที่เห็นชัดเจนคือการแทนที่ปุ่มทางลัด WIN+C เพื่อเรียกใช้ฟีเจอร์ Copilot ในทาสก์บาร์ จากนั้นก็เพิ่มปุ่ม Copilot บนคีย์บอร์ดสำหรับพีซีที่ขายในปีนี้เป็นต้นไป และประกาศแนวทางของ Copilot+ PC
อย่างไรก็ตามในอัปเดต Windows 11 Insider Preview ล่าสุด ไมโครซอฟท์ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงของ Copilot บน Windows ดังนี้
ไมโครซอฟท์ให้เหตุผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยบอกว่าการเปลี่ยนแปลงส่วนแอป Copilot มาจากความเห็นของผู้ใช้งาน และทำให้การพัฒนาของไมโครซอฟท์ทำได้สะดวกขึ้น ส่วนการยกเลิกปุ่มทางลัด WIN+C บอกว่าเพราะ Copilot เปลี่ยนมาเป็นเว็บแอปนั่นเอง
เนื่องจากสถานะของ Windows 11 และ Copilot ยังอยู่ในขั้นพรีวิว จึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้อีกในอนาคต
ที่มา: The Verge
Comments
แต่ฮาร์ดแวร์ปล่อยแล้วนะพี่
รอ Windows 12 ที่จะปล่อยหลัง Windows 10 หมด support เลยดีกว่า Windows 11 นี่เหมือนเป็นหนูทดลองให้ Microsoft ทำเรื่อง AI แต่คำสาป Windows ที่ว่าชอบออกรุ่นดีสลับกับรุ่นไม่ดีนี่ยังจริงอยู่นะเนี่ย 5555
แบรนด์ที่ปล่อย Copilot+ PC มาแล้ว : WTF?
ปุ่ม Win+C ผมเสียดายนะ ใช้กดปิดหน้าจอ Copilot ที่เด้งมาด้านขวาได้
เพราะปัจจุบันคลิกที่ Desktop แล้วกดปิดไม่ได้ ไม่เหมือน Notification Pane
เหมือนนำ AI ใส่ก่อนให้ทุกคนตาม พอทุกคนเริ่มตามแล้วรีบถอนตัวเฉย
ต่อไปนี้คงยกเลิกปุ่ม Copilot แล้วกลายเป็นปุ่มที่ใช้อะไรไม่ได้
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
เดี๋ยว ถ้ามันทำงานอะไรนอกตัวแอปตัวเองไม่ได้แล้วนี่จะใส่มาทำไมอ่ะ
กลัวมีปัญหาความเป็นส่วนตัว?
ถ้าจะให้มี AI สั่ง OS ได้
น่าจะต้องเป็น local Copilot แยกต่างหาก
AI สั่งงานอะไรกับเครื่องไม่ได้ ก็ง่อยละ แล้วจะมีไว้ทำไมละเนี่ย เมื่อไรจะเหมือนโลกอนาคตในหนังสักที
ทำไมการพัฒนาทำๆไปนึกจะตัดก็ตัด แล้วกลายร่างเป็นเว็บแอป ถ้าจะมีตัวมาแทนมันต้องประกาศพร้อมกันเลยไม่งั้นจะสร้างมาตรฐาน Copilot+ PC CPU ต้องมี NPU มาทำไม แบบนี้มันดูโง่ๆ บอกไม่ถูก
พอ ๆ คิดไปแล้ว สิ่งที่ทำให้ Microsoft เปลี่ยนทิศทางได้ขนาดนี้ จริง ๆ แล้วคือ Apple ต่างหาก เพราะ Apple เปิดตัว Apple Intelligence ที่กระทบ Microsoft เข้าเต็ม ๆ ด้วยเรื่องความเป็นส่วนตัว กับ UX ที่เรียบง่ายดูดี เป็นมิตรกว่า Microsoft Copilot แถมไม่ได้ผูกติดกับ OS มากเท่ากับ Microsoft Copilot
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
ที่ปรับเปลี่ยนหลายๆ อย่าง เพราะกลัวจะโดน Antitrust เพิ่มเข้าไป ในอนาคตอาจจะเพิ่มทางเลือกให้ใช้งานกับ AI เจ้าอื่นได้ด้วย
เปลี่ยนเร็วเกิ๊น ฮาร์ดแวร์ที่ออกไปแล้วจะทำไง
ทำใจ ทำใจ ทำใจ
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
มันจะตาม cortana ไปไหม
ไม่นึกว่าแค่ข่าว NVIDIA แซงนี้จะกระทบขนาดนี้
ข่าวถัดไป RIP Copilot ตาม Cortana ไปเพราะไม่มีคนใช้
Microsoft เป็นอะไรนักหน้ากับ WebApp
ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์มันไปไกลกว่าที่จะรันแค่เว็บแอปแล้ว
สิ่งที่ WebApp แก้ไม่หายคือกระตุก หน่วง กินพื้นที่และและกินแรม
WebApp ไม่มีทางเป็นส่วนหนึ่งของตัว OS ได้เลย นอกจากว่า Microsoft จะทำทุกอย่างใน Windows เป็น WebApp
โคตรจริงผมล่ะโคตรเบื่อ ประสบการณ์ใช้งานถ้าทำดีๆต่างกันอย่างชัดเจน Webapp เน้นพัฒนาง่าย แต่คนใช้ประสบการณ์แย่ ได้แต่หวังว่าพอปรับ Windows base เสร็จเข้าที่แล้ว จะว่างมาตรเปลี่ยนมาเขียนใหม่หมด
น่าจะเพราะคนใช้น้อย ไม่คุ่มที่จะทำเป็นnative app จะตัดทิ้งไปเลยก็ไม่ได้ ก็เลยเอาWebApp ที่มีอยู่แล้วมายัดลงไปนั้นแหล่ะ
สักเป็นห่วง เรื่อง windows on arm ล่ะ ยิ่งอิซอฟชอบยกเลิกอะไรง่ายๆ แบบนี้ด้วย
อินเทลยัดเงินไม่อยากให้ไป on arm
ผมว่าเขาปรับแผนมากกว่า มันน่าจะกลับมาอีกครั้งพร้อม OS ตัวถัดไปและน่าจะผสานกับ OS เป็นร่างเดียวแต่ฐานข้อมูลผู้ใช้น่าจะเก็บบน local แล้วจะเข้าถึงได้ต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตนบนเครื่อง local ร่วมด้วยกับความสามารถประมวลผลข้อมูลเป็น model แบบเข้ารหัสเพื่อไปรวมประมวลผลร่วมกับ data lake ข้อมูล knowledge กลาง คล้ายกับ cube ในอดีตที่สามารถแยกร่าง และรวมร่างข้อมูลได้โดยยังมีความปลอดภัยระดับองค์กร
เทคโนโลยีทั้งหมดนี้ Microsoft มีครบทุก stack อยู่แล้วเพียงแต่ปรับรูปแบบ ประกอบร่างใหม่ ลดขนาดในบางชิ้นส่วนเพื่อให้ลงใน client ได้ พัฒนาระบบ sync model จาก local ให้มีความปลอดภัยสูงขึ้น เราอาจจะได้เห็นในเวลาเร็วนี้ๆ อาจใกล้กับ Apple เปิดตัวนั่นแหล่ะ ผมว่า Edge Computing ใกล้ถึงเวลาของมันแล้ว
อ่อไม่ต้องห่วงเรื่อง NPU นะครับผมว่าได้ใช้เต็ม Limit แน่ๆ อาจะเห็นโมเดลการตลาดแบบ GPU ที่มี NPU หลายระดับแปรตามความต้องการของผู้ใช้ แต่น่าจะยังไม่มี NPU แยกในเร็วๆ นี้ แต่น่าจะ on board เลือกรุ่นจาก board เอาในอนาคต (ผมเดาล้วนๆ ไม่มีวัวผสม 555)
Microsoft ไม่ได้มี GPT-4o ตัวเล็ก หรือโมเดลขนาดเล็กที่ทำได้เหมือน Google กับ Apple เพราะ Phi ก็ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับงานเหล่านั้นเหมือนเจ้าอื่น แถม stack ปัจจุบัน windows ไม่ได้แยกขนาดแบบ Mac และไม่ได้มือถือ อุปกรณ์ที่ติดตัวกับผู้ใช้งานมากที่สุดยิ่งกว่า PC สองเจ้ามีมือถือ มีข้อมูลซิงค์มากกว่า ประมวลผลอะไรจบในตัวมากกว่า เพียงแค่ไม่มีมือถือก็แข่งยากแล้ว แต่ผมว่ามันจะเป็นจุดจบ Windows เองมากกว่า ยิ่งกั๊ก ยิ่งพัง
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
ผมว่ารอดูกันต่อไปดีกว่า อย่าไปยึดติดกับ Model ในปัจจุบันมากนัก เพราะมีตังค์ก็ปั่นมันขึ้นมาได้ จะ slice ข้อมูลให้เล็กลงแล้ว focus เฉพาะจุดก็ได้ ให้สนใจ core เทคโนโลยีที่แต่ละเจ้ามีอยู่ในมือ แล้วจะมองออกว่า Microsoft จะเป็นคู่แข่งรายสำคัญของ Apple และ Google แน่นอน โมเดลมันคือ Pattern ที่วิเคราะห์จากอัลกอลิทึ่มและเครื่องมือที่บริษัทมี มันจะสร้างมาใหม่กี่ครั้งก็ได้ แล้วก็จะปรับแต่งอย่างไงก็ได้ ส่วนเรื่องมือถือ หรืออุปกรณ์พกพา Microsoft จะไปทุกที่ไม่ใช่แค่ Android จะไป iOS ด้วย โดยพัฒนา Client ที่สามารถ run โมเดลเข้ารหัสที่ sync ระหว่างกัน ซึ่งก็ต้องยืนยันตัวตนผ่านอุปกรณ์เช่นกัน ส่วน Layer ล่างไม่ต้องห่วงหรอกครับ เขาไม่ได้ต้องการเข้าถึงทุกส่วน เขาต้องการเฉพาะ Sensor ที่เหมือนเป็นหูเป็นตา หรือประสาทสัมผัสให้ AI ซึ่งมัน public อยู่แล้ว
เอาเป็นว่าในมุมของผม
ถ้าผมเป็นคู่แข่ง OpenAI นะผมจะรอให้เขาขึ้นจุดสูงสุด แล้วไปรวมหัวบริษัทเจ้าของ Content ฟ้องเรียกค่าลิขสิทธิ์ และให้เปิดอัลกอริทึ่มสู่สาธารณะ เพื่อพิสูจน์แค่นี้ก็ถ่วงความสามารถทางการแข่งขันได้แล้ว
ถ้าผมเป็น OpenAI ผมจะไปอิงแบ็คที่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดกลัว นั่นคือ รัฐบาลสหรัฐ เชื่อผมไหมล่ะ ว่าอีกไม่นานจะมีข่าวลือว่า OpenAI ทำงานให้รัฐบาลสหรัฐ แต่ทุกฝ่ายปฏิเสธ แล้วก็เงียบกันไปเหมือนไม่มีอะไร แต่บริษัทอื่นๆ ก็จะไม่กล้าทำอะไร OpenAI เช่นกัน นั่นคือ ช่องทางที่มีคนวางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อให้เหยื่อเดินตามทางมาเรื่อยๆ
Microsoft ประสบการณ์เยอะนะ ตั้งแต่ผุกขาดด้วย IE
หรือเปลี่ยน OS ให้เอง จนถูกฟ้อง ก็ต้องระวังตัว ไม่ให้ถูกฟ้องในอนาคต
MS เห็น Apple Intelligence นั่นแหละ เลยรีบกลับลำ ตัว copilot มัน integrated มากับ OS เลยมันดีจริงแต่ ms ก็ไม่ได้พูดถึง data ที่จะเก็บจากคนใช้เลย ในขณะที่ apple เปิดตัว ก็พูดถึงวิธีจัดการ data เสร็จสรรพ
ถ้า ms ไม่ถอด copilot ออกตอนนี้ วันหน้า EU ก็จะสอบสวนหนักแน่ แล้วตัว copilot ที่พึ่งเปิดตัวไปจะทำไง ก็ยุบเป็น web app ไปก่อนจนกว่าจะหาวิธีทาง process data ได้ดีกว่านี้นะแหละ
MS: คนจะเกิดโดนคุมกําเนิดซะงั้น