ไม่ได้มีแต่แอปเปิลเท่านั้นที่มีประเด็นเรื่องหนังโฆษณา ล่าสุดกูเกิลประกาศถอดโฆษณาที่ฉายเกาะกระแสโอลิมปิก เนื้อหาเป็นพ่อแนะนำให้ลูกใช้ Gemini ช่วยเขียนจดหมายถึงนักวิ่งที่ชื่นชอบ
โฆษณาชิ้นนี้เป็นกูเกิลร่วมกับทีมนักกีฬาสหรัฐ (Team USA) เนื้อหาเป็นพ่อที่สอนลูกสาวซึ่งสนใจกีฬาวิ่ง และเป็นแฟนของ Sydney McLaughlin-Levrone นักกรีฑาทีมชาติสหรัฐ จึงอยากเขียนจดหมายไปหา Sydney เพื่อแสดงความชื่นชม และบอกว่าในอนาคตอยากจะทำลายสถิติของ Sydney ให้ได้
ประเด็นที่เป็นปัญหาของโฆษณาชิ้นนี้คือการใช้ Gemini ช่วยแต่งจดหมายให้ แทนการให้ลูกสาวเขียนเอง ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าไม่สะท้อนความตั้งใจของตัวลูกสาว และเรื่องแบบนี้ควรเขียนเองมากกว่าใช้ AI เข้ามาช่วย
กูเกิลถอดโฆษณาชิ้นนี้ออกจากการฉายตามช่องทางต่างๆ แต่ยังสามารถชมคลิปได้บน YouTube
ที่มา - Engadget
Comments
นานๆ ทีจะเห็นกูเกิ้ลปิดคอมเม้นต์ ถถถ
มีอีกเรื่องแล้วที่ต่อไปถาม Gemini มันคงบอกให้ไปคิดเอาเอง 555 เวอร์ชั่นคนภายนอกใช้ก็คงต้องเป็นแบบนั้น
คงต้องออก version hardcore สำหรับนักพัฒนาแล้วมั้ง เพราะตัวปรับค่าศิลธรรมมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ปรับลดก็ติด error เหมือนเดิม ความจริงเขียน agreement แล้วให้นักพัฒนายอมรับไปก็น่าจะพอทำได้ แต่ก็เข้าใจเรื่องกลัวโดนฟ้องเรื่อง content แหล่ะ เพราะน่าจะยังเจรจาเรื่องข้อมูลไม่แล้วเสร็จ ตอนนี้ผมใช้วิธีใหม่แล้ว ให้มันช่วยสร้างตัวกรองยิงไปที่ api ตัวอื่นเพื่อเอาข้อมูลแทนแล้ว ขี้เกียจรอ ต้องยอมรับอยู่ข้อนึงคือ Gemini มันมีความสามารถทางภาษาในระดับเดียวกันกับเด็กแล้ว บางคำสั่งที่ในอดีตต้องเขียนคำสั่งเพื่อกรองยาวๆ ตอนนี้เขียน บรรทัดเดียวจบ เช่น ถ้ามันบรรยายเวิ้นเว้อ ก็พิมพ์ต่อท้ายไปเลยว่า ไม่ต้องอธิบาย จบ
ตอนเห็น Apple AI ก็คิดอยู่เลยว่า ไม่ควรให้ AI เขียนให้ คือไม่ควรเป็นฟีเจอร์พื้นฐานติดมากับเครื่อง
มันลด interaction ของมนุษย์ สร้างปัญหาหลายอย่างเช่น ความสุภาพลดลง เพราะใช้คำพูดไม่ถูก ความเกรงใจลดลง
จากประสบการณ์ฝั่ง Gemini มันตรงกันข้ามเลยครับ
มันอยู่ที่คำสั่งที่คุณป้อนมันเข้าไป
เวลาที่ผมให้มันเขียนจดหมายอย่างเป็นทางการ บางอันมันก็เป็นทางการสุภาพมากเกินไปจนกระทั่งเยิ่นเย้อและบางครั้งมันก็ทำให้คนทั่วๆไปไม่คุ้นเคยกับศัพท์แสงสูงๆแบบนั้นจนอ่านไม่รู้เรื่อง
ไม่ครับ หมายถึง AI น่ะ เขียนดี
แต่ทำให้มนุษย์จริงๆ เขียนไม่เป็น เพราะให้แต่ bot เขียน
สังเกตได้ว่าหลังจากที่คนอยู่หน้าโทรศัพท์มากขึ้น ความเกรงใจในชีวิตจริงมันลดลงมาแบบรู้สึกได้ เพราะเราชินกับการคุยแบบไม่เห็นหน้า ไม่ต้องกลัว reaction จากอีกฝั่ง แต่เรายังเป็นมนุษย์เหมือนเดิม
ยุคหลัง Covid ก็เป็นอีกระลอกนึง
เราอาจจะกำลังเข้าสู่ยุคที่ผู้ส่ง email ใช้ AI เขียน email สวย ๆ และในทางฝั่งผู้รับก็ให้ AI สรุปข้อความสวย ๆ ที่อ่านยากพวกนั้นเป็น bullet point
หวังว่าคงไม่ถึงขั้นที่พอต้องคุยกันตรง ๆ ไม่ผ่าน AI แล้วจะคุยกันไม่รู้เรื่องเลย
เห็นด้วยที่จะไปทางนั้นถ้ามันทำให้ทุกฝ่ายทำงานได้ง่ายขึ้นแบบไม่กระทบคุณภาพงานนะฮะ
เคยคิดด้วยว่าอีกหน่อยเวลาดูหนังจะมีให้ปรับเอง อยากได้นักแสดงรูปร่างแบบไหนสเปคยังไงไปปรับกันเองเลย จบๆ ไป
งงด้วยว่าผ่านมาได้ยังไง ประเด็นเบสิกมากๆ แบบนี้
เหมือน echo chamber กันเองในห้องประชุม แล้วลอจิกก็เลยเพี้ยนไปหมด (บอกว่าให้ gemini เขียนคอนเซปโฆษณานี้ให้ก็เชื่อนะ 😆)
อันนี้แปลกใจจริงๆนะว่ามาเป็นประเด็นนี้ได้ยังไงถือว่าปลาตายน้ำตื้นมาก ปกติเรื่องแบบนี้ในกรณีทั่วๆไป เขาจะขายความใฝ่ฝันความจริงใจของเด็ก ครับมักจะออกมาเป็นลายมือเด็กเขียนด้วยภาษาง่ายๆ แล้วนักกีฬาอ่านเราเกิดความซาบซึ้งในความตั้งใจของเด็ก
อันนี้ไม่รู้คิดอีกท่าไหนทำไมโฆษณาถึงกลายเป็นให้ AI เขียนจดหมายถือว่าไม่แปลกที่กระแสมันจะออกมาเป็นแบบนั้น เพราะคนทั่วไปถูกปลูกฝังด้วยภาพจำของโฆษณาในรูปแบบที่ผมพูดถึงในด้านบนกันหมดแล้ว เพราะกลายเป็น AI เขียนจดหมาย ก็กลายเป็นความจริงใจความซาบซึ้งทั้งหลายมันหายหมดไป ก็เลยทัวร์ลงอย่างที่เห็น
ถ้าเด็กพิการเขียนหนังสือไม่ได้ ยังพอว่านะ แต่นี้ครบ 32 เอามาเขียนแทนความจริงใจเลยดูเฟค
ผมว่าเป็นเด็กพิการก็โดนวิจารย์อยู่ดีครับ เข้าข่ายด้อยค่าความสามารถของคนพิการ
เพราะเอาเข้าจริง คนพิการ (ที่ไม่ร้ายแรงแบบขยับตัวไม่ได้เลย) จะใช้คอมกันได้หมด เขียนไม่ได้ ก็พิมพ์เอาได้ หรือสั่งพิมพ์ด้วยเสียงได้
แม้แต่คนพิการที่ขยับไม่ได้ในอนาคต ยังอาจใช้งานคอมด้วยสมองได้ ดังที่มีข่าวว่ากำลังอยู่ในขั้นลองกันอยู่
ต่อไป โฆษณา ต้องคิดเยอะ