อ่านบทรีวิวในทางบวก ไปแล้ว มาดูด้านตรงข้ามกันบ้าง
Cory Doctorow นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ชื่อดัง และบล็อกเกอร์ของ Boing Boing บล็อกชื่อดัง ได้เขียนบทความชื่อ Why I won't buy an iPad (and think you shouldn't, either) บอกว่า iPad ไม่ใช่อุปกรณ์แห่งอนาคต เพราะความ "ปิด" ของมัน
เขายกตัวอย่างโปรแกรมหนังสือการ์ตูน Marvel บน iPad ซึ่งไม่เอื้อให้เกิดการแบ่งปันการ์ตูนกันระหว่างเด็กๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกของการ์ตูนกระดาษในสหรัฐ ที่เด็กๆ สามารถแลกเปลี่ยน หรือซื้อขายการ์ตูนเก่าในราคาถูกได้
ในส่วนของฮาร์ดแวร์ เขามองว่า iPad เป็นอุปกรณ์ที่เราเปิดแงะเองไม่ได้ ทำให้ไม่เกิดประโยชน์ในการเรียนรู้ ต่างจาก Apple II+ ในอดีตที่มาพร้อมกับแผนผังการทำงานของบอร์ด ในอดีตนั้น การพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์หนึ่งๆ คือเรียนรู้ว่ามันทำงานได้อย่างไร เพื่อพัฒนามันให้ดีขึ้น แต่สำหรับ iPad การทำให้มันดีขึ้นเป็นไปได้วิธีเดียวคือ "ซื้อ app" ซึ่งเป็นวิธีคิดของผู้บริโภค (consumer) ไม่ใช่ผู้ประกอบการหรือนักประดิษฐ์
สำหรับ App Store เขาโจมตีแอปเปิลเรื่อง "DRM ตั้งแต่หัวจรดเท้า" ผู้ซื้อไม่สามารถนำโปรแกรมที่ซื้อไปใช้บนอุปกรณ์อื่นๆ และผู้ขายต้องทำตามเงื่อนไขของแอปเปิลทุกประการ จึงจะส่งโปรแกรมขึ้นไปขายบน App Store ได้
เขาบอกว่าสื่อนั้นตื่นเต้นกับ iPad เกินไป ด้วยเหตุผลว่าแอปเปิลมี "การแสดง" ที่ดี และตัวสื่อเองกำลังมองหาอะไรสักอย่างที่มาช่วยฉุดความตกต่ำของอุตสาหกรรมสื่อ เขาบอกว่าการที่คนไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสื่อ ไม่ใช่เป็นเพราะสื่อที่ต้องการซื้อแจกฟรี แต่เป็นเพราะสื่อคู่แข่งอื่นๆ อีกจนำวนมากก็ฟรีด้วย นี่เป็นผลมาจากแพลตฟอร์มเปิด
สุดท้ายเขาบอกว่า อีกไม่นาน iPad จะกลายเป็นของเก่า (ภายใน 1-2 ปีถ้าไม่จ่ายเงินค่าเปลี่ยนแบต) สิ่งสำคัญไม่ใช่ส่วนประกอบข้างใน iPad แต่เป็นโครงสร้างทางเทคนิคและโครงสร้างทางสังคมที่มากับ iPad ต่างหาก
ถ้าคุณอยากอยู่ในโลกแห่งความสร้างสรรค์ ที่สามารถทดลองไอเดียใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา iPad ไม่เหมาะกับคุณ
ถ้าคุณอยากอยู่ในโลกแห่งความแฟร์ ที่คุณเลือกเก็บโปรแกรมที่ชอบ และยกโปรแกรมที่ไม่ชอบให้คนอื่น iPad ไม่เหมาะกับคุณ
ถ้าคุณอยากเขียนโปรแกรม แล้วต้องการวัดความสำเร็จจากเสียงของผู้ใช้ iPad ไม่เหมาะสำหรับคุณ
ที่มา - Boing Boing
ผมแนะนำให้อ่าน
Comments
สำหรับผม ขาดอย่างเดียว ไม่มี stylus (นิ้วเขียนลำบาก)
ก็ผู้ใช้ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้วนี่ครับ ขอแค่ใช้งานได้สะดวกก็พอ :)
"It’s about the software, stupid."
Walt Mossberg
ผมว่าตัว platform iPad เน้นไปที่ธุรกิจมากกว่าที่จะเน้นไปที่ผู้บริโภคครับ
แต่ผมว่าแบบนี้จะทำให้ภาคธุรกิจเป็นตัวผลักดัน platform นี้ให้ก้าวไปข้างหน้าไปอย่างมั่นคง
และถ้าทำได้เป็นเจ้าแรกก็จะสามารถกีดกันคู่แข่งขันที่พัฒนา platform เลียนแบบได้ด้วย
มองกลับกันถ้า iPad เป็นแค่เครื่องเปล่า ๆ สามารถยัดทุกสิ่งเข้าไปได้เอง
อยากฟัง mp3 ก็โยนไฟล์เข้าไป อยากอ่านหนังสือก็ยัด pdf เข้าไป
รับรองว่าแบบนี้ก็เครื่องก็ขายดีเหมือนกัน เพียงแต่สักพักก็จะมีเครื่องเลียนแบบ โดยเฉพาะพวกจีนหรือไต้หวัน
ซึ่งผลิต H/W กันสบาย ๆ อยู่แล้ว
รีวิวแบบนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์
ไม่ชอบใจ ipod, iphone, ipad เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคนขายซอฟแวร์ต้องขายผ่านแอปเปิลทั้งหมด มันดูผูกขาดแปลกๆ
แต่ก็แอบทึ่งในวิธีทำธุรกิจของแอปเปิล เห็นแล้วก็ เออ ทำแบบนี้ก็ทำได้แฮะ ถ้าคุณมีแฟนบอยมากพอ
ผมเชื่อว่าคนซื้อส่วนใหญ่ไม่ใช่ Fanboy หรอกครับ :)
@TonsTweetings
ภาพลักษณ์ที่ออกมามันเป็นแบบนั้นนะครับ อย่างน้อยผมก็รู้สึกแบบนั้นคนนึง
ถ้าไม่อยากให้ภาพของแอปเปิลออกมาเป็น fanboy ก็ต้องช่วยกันสกัดดาวรุ่ง fanboy ไม่ให้เติบโตครับ
ภาพของคนกลุ่มนึงเป็นแบบนั้นจริงๆ ครับ แต่ภาพของคนใช้หลายคนที่เค้าคิดว่าดีก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น บางทีคนกลุ่มนึงคิดว่าอีกฝั่งเป็น fanboy เพียงเพราะเค้าไม่คิดเหมือนเรา เหมือนสภาพสังคมไทยตอนนี้เลย ที่บางคนพยายามจะแบ่งให้เป็นสองสีไม่มีตรงกลาง ใครคิดไม่เหมือนคืออีกสี
ผมอยากให้พวกปกป้อง apple แบบไม่ลืมหูลืมตาหายไปเหมือนกัน ไม่งั้นมีอะไรก็อ้างคนสนับสนุนเป็น fanboy ไปหมด
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ลองเริ่มจาก "พวกปกป้อง apple แบบไม่ลืมหูลืมตา" แถวๆ นี้ก็ได้ครับ ความอยากแก้ได้ด้วยการลงมือทำครับ :P
คนที่ถูกมองว่าเป็น fanboy ก็เพราะมีพฤติกรรมอย่างที่คุณว่าล่ะครับ
ไม่ยอมรับความคิดว่าสินค้า apple ก็มีหลายอย่างที่ไม่ดีหรือแย่พอๆกับคนอื่น
เรื่องของเรื่องคือ คนเรามองปัญหาไม่เหมือนกันครับ
อย่างเช่นระบบปิด บางคนบอกว่ามันบัดซบมากๆ แต่บางคนเฉยๆ เพราะถึงจะปิด แต่ก็ทำของดีๆ ออกมาให้ใช้ ก็โอเคแล้ว
แต่คนที่มีปัญหากับระบบปิดหลายๆ คน ก็พยายามยัดเยียดว่า ระบบปิดเป็นปัญหาสำหรับทุกคนบนโลก ใครไม่เห็นด้วยคือ fanboy/zealot :)
คำว่า ของดี ของผม ก็ไม่ใช่ ของดี สำหรับอีกหลายๆ คนครับ
เพราะฉะนั้น ใครชอบอะไรก็ใช้ไป เงินในกระเป๋าเราเองทั้งนั้น
ปล. ความรู้สึกของผมคือ พวกที่หลับหูหลับตาชม กับ หลับหูหลับตาด่า ผมจัดเป็นพวกเดียวกันครับ :D
ปัญหาคือ "พวกหลับหูหลับตาชม" เนี่ย มักไม่ค่อยรู้ตัวเองครับว่ากำลังทำอยู่ :D
โอ๊ะโอ O_o'
twitter.com/exfictz
ที่ถกกันมาทั้งหมด ก็มีตัวอย่างและมาขมวดปมตรงนี้นี่เอง
ใช้สินค้าแอปเปิลอยู่ให้เงียบๆ ไว้ครับ ห้ามพล่ามในเว็บนี้ :D
ใช้แล้วพล้ามได้ครับ ถ้ามี "สติ"
พล่ามได้ครับไม่มีปัญหา ลองกลับไปดูคอมเมนต์เก่าๆ ของคุณเอง ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ
"อย่างเช่นระบบปิด บางคนบอกว่ามันบัดซบมากๆ แต่บางคนเฉยๆ เพราะถึงจะปิด แต่ก็ทำของดีๆ ออกมาให้ใช้ ก็โอเคแล้ว"
กรณีเดียวกับ Shinra และ Matrix รึเปล่าครับ? ปิดหูปิดตาและเป็น absolute control(ที่บางคนตั้งชื่อให้สวยหรูว่าระบบปิด) เหมือนๆกัน แต่ถึงจะปิด ก็ทำของดีๆ ออกมาให้ใช้ (mako power, illusion world)
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ไม่ชอบใจ ipod, iphone, ipad เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคนขายซอฟแวร์ต้องขายผ่านแอปเปิลทั้งหมด มันดูผูกขาดแปลกๆ
แต่ก็แอบทึ่งในวิธีทำธุรกิจของแอปเปิล เห็นแล้วก็ เออ ทำแบบนี้ก็ทำได้แฮะ ถ้าคุณมีแฟนบอยมากพอ
by nblue
-1
แล้วทำไม
KFC ไม่ขาย Mcdonald ในร้านเขาด้วย
ทำไม Acer Shop ไม่ขายเครื้อง Dell หละ
ผูกขาดจัง?
Apple Store เขาบอกอยู่แล้วว่า มันขายของ Apple มันคงไม่ขายของ Acer หรอกครับ
ผมว่าที่คุณ nblue พูดถึง มันเหมือนกับว่า ทำไมต้องบังคับให้พ่อค้าแม่ค้า(AppDev) หรือ Lotus(AppCompany)ที่มีความสามารถเปิดตลาดเองได้ ขายในตลาดตลาดเดียว(AppStore) มากกว่าเรื่อง KFC ไม่ขาย Mcdonald หรือ Acer Shop ไม่ขายเครื้อง Dell นะครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เค้าพูดถึง App Store ครับ
ไม่ได้พูดเรื่อง Apple Store ครับ
อ่านดีๆ
software ของ ipod, iphone, ipad = app store น๊า
ไม่ได้พูดถึง apple store เลย
ก็ต้องรอดูเวลาครับ ไม่แน่อาจจะขายดีเหมือนไอโฟน หรือ ไม่ก็เจ๊งไม่เป็นท่าแบบ นิวตั้น
"เขาบอกว่าสื่อนั้นตื่นเต้นกับ iPad เกินไป ด้วยเหตุผลว่าแอปเปิลมี "การแสดง" ที่ดี"
ผมเห็นด้วยกับประโยคนี้แหะ --*
ผมว่า iPad ไม่น่าจะใช้โมเดลเดียวกะ iPhone ในเรื่องของการปูทางไปสู่ความสำเร็จ... ได้ดีนัก เพราะมันค่อนข้างใกล้เคียง PC อยู่มาก ซึ่งตรงนี้คงทำให้กางแข่งขันสูสีขึ้น
แต่ Apple ก็คงไม่มีทางเลือกมาก... เพราะทุกวันนี้ที่ทำให้ บ. อยู่ได้น่าจะมาจากยอดขายไอโฟน แล้วใครล่ะจะไม่เผลอเดินตามความสำเร็จเก่า... ฝรั่งเค้าชอบ Best Practice จะตาย หุหุ
ปล. Touch System ของ Apple ยอดเยี่ยมมาก... จนถึงตอนนี้ผ่านไปจะ 3 ปีแล้ว ยังไม่มีเจ้าไหนถือว่าทำไ้ด้เทียบเท่า... ตรงนี้แหละน่าจะเป็นจุดขายจริงๆ ของเค้าล่ะ
เท่าที่ทราบ รายได้หลักของ Apple ยังคงมาจากทาง Mac นะครับ
ขอแหล่งอ้างอิงหน่อยครับ
จากหน้านี้ http://phx.corporate-ir.net/phoenix.zhtml?c=107357&p=irol-reports
จากรายงานประจำปี 2009 ของแอปเปิล ฉบับแก้ไขเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2010 (2009 10-K/A filed January 25, 2010) ในหน้าที่ 11 ตรง Net Sales by Product จะเห็นว่า Total Mac net sales อยู่ที่ 13,859 ล้านเหรียญ ในขณะที่ iPhone and related products and services ตามมาติด ๆ ที่ 13,033 ล้านเหรียญ
เมื่ออ่านจากหมายเหตุด้านล่าง จะพบว่ายอดขาย iPhone ประกอบขึ้นจากตัวเครื่อง สัญญากับผู้ให้บริการ และอุปกรณ์เสริมทั้งที่เป็นของแอปเปิลและผู้ผลิตอื่น ๆ ด้วยครับ
ที่น่าสังเกตคือหากพิจารณายอดขาย iPhone ในรายงานประจำปีก่อนการแก้ไข (2009 10-K Annual Report filed October 27, 2009) ในหน้า 42 จะเห็นว่าอยู่ที่เพียง 6,754 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งตัวเลขที่เพ่ิมขึ้นเกือบเท่าตัวนี้ แอปเปิลบอกว่าเป็นผลของ 'การเปลี่ยนแปลงหลักการทางบัญชี' (the new accounting principles on a retrospective basis) ผมไม่มีความรู้ทางบัญชีเลยก็ไม่ทราบว่าหมายความว่าอย่างไรอะนะครับ - -'
twitter.com/exfictz
iPhone เนี่ยหรอปูทางสำเร็จให้ Apple
ผมว่า Fanboy มากว่ามั้ง?
ก็เห็นกันชัดเจนอยู่แล้วนะครับว่าการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ถ้าไม่มี “การแสดงที่ดี” แล้วมันจะน่าสนใจได้อย่างไร...สินค้าของคุณจะดีแค่ไหน สุดยอดแค่ไหน...ถ้าไม่พยายามเชิญชวนผู้บริโภคเข้ามาดู เข้ามาทำความรู้จัก มาทดลองใช้ แล้วมันจะขายได้เหรอ...มัวแต่นั่งภูมิใจในสินค้าของตัวเองไม่ยอมนำเสนอให้คนรู้จัก...แอปเปิลเองก็เคยเป็นแบบนี้เมื่อในอดีตจนแทบจะล้มหายตายจากไปเลย...เทคโนโลยีในโลกนี้มันก็ไม่ได้หนีกันมากหรอกนะ แต่...เทคโนโลยีอันไหนล่ะที่เหมาะกับตัวคุณเองต่างหาก...ถ้าคนขายเทคโนโลยีเค้าสามารถคิดแทนผู้บริโภคได้(ต้องแอบโน้มน้าวด้วย) แน่นอนว่าสินค้าย่อมขายได้แน่ๆ...แต่จะสังเกตุได้ว่ามีบางส่วนที่จะต่อต้านสินค้าที่มีการนำเสนอโน้มน้าวให้คิดตามจนดูเหมือนตัวเราเองไม่รู้เรื่องสินค้าตัวนั้น..ขนาดนั้นเลยเหรอ!!! หรืออาจจะคิดในใจว่า“ไม่ต้องมาอธิบายให้ฟังหรอก..ไม่โง่หรอก”...นี่คือความล่อแหลมในการขายสินค้าระบบปิด(ความคิดส่วนตัวผมเอง)...แต่มีนจะดีกับคนที่ไม่ต้องการเรียนรู้อะไรมากมายใช้งานได้ก็พอ...แต่ถ้าระบบเปิดคนกลุ่มนี้ก็จะรู้สึกว่าตัวเองอิสระ..ไม่ถูกโน้มน้าวแกมบังคับ...แต่ไม่เหมาะกับผู้บริโภคที่ไม่ต้องการเรียนรู้อะไรมากมายขนาดนั้น....
(ความคิดเห็นส่วนตัวผมเองครับ)
พีซีกับเว็บก็เป็นระบบเปิดนะครับ ทุกวันนี้คนใช้ก็เป็นหลักพันล้าน นี่คือ "ผู้บริโภคที่ไม่ต้องการเรียนรู้อะไรมากมายขนาดนั้น" ???
เครื่องการเปิดตัว หรือโฆษณาหรืออะไรของ apple มีส่วนมากจริงๆ นะ เค้าทำได้ดีมากๆ เลย เค้าเอาจุดเด่นออกมาและสรุปออกมาโชว์ได้ดี วีดีโอแนะนำสินค้าเช่น iPad ก็ทำได้ดีมาก ดูแล้วรู้สึกว่าทุกส่วนในบริษัทมีส่วนร่วม และภูมิใจใน iPad มากๆ เอา VP ทุกด้านมาพูดเลยทีเดียว
ถ้าเทียบกับ google ผลิตภัณฑ์หลายอย่างดีมากๆ แต่พวกโฆษณาหรือวีดีโอแนะนำอะไรก็ตามสื่อได้ไม่ดีพอ ไม่เห็นถึงความเจ๋ง แต่พอลองใช้แล้วแบบว่า คิดได้ไง
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ครับ น่าชื่นชม apple ในเรื่องนี้ครับ
เห้ออออออ........ ซื้อของ มาแล้ว ใช้ไม่ดี ก็ต้องเอาไปทำเป็นที่ทับกระดาษ Upgrade ไม่ได้ ลง os อื่นไม่ได้ เซงงงงงงงงงงงงงง
ปล. อยากซื้อมากครับ แต่กลัวเป็นแบบนี้ ตอนนี้ ipod ผมเป็นที่ทับกระดาษอยู่ (อย่างน้อยน่าจะทำให้เล่น Dota ได้)
จริง ๆ มีข่าวนึงที่ยังไม่ได้เขียนกันแถว ๆ นี้ (หรือผมอ่านตกไป) นั่นคือ ... ผู้ใช้ iPad จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการอัพเกรด OS (หรือ Firmware) เอง แต่จะฟรีให้ในเวอร์ชั่นแรก (4.0)
ผมคิดว่า จริง ๆ แล้ว Apple เองก็อยากให้เป็นแบบนี้กับ iPhone ด้วย แต่ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์นั้นไม่ยอมครับ
มีคนรู้จักเพิ่งได้ที่ทับกระดาษราคา 700 ยูโรมาใช้ (iPhone) เพราะดัน jail break พลาด โดนล็อค OS ถึงขั้นเซ็งเลยทีเดียว (ไม่มีรายละเอียดมากกว่านี้ กรุณาอย่าถาม เพราะผมเองก็ไม่อยากถามเจ้าตัวรื้อฟิ้นความเซ็ง)
Restore ไม่หายหรือครับ ?
ผมยังจำเมื่อครั้งที่ได้สัมผัสใช้งานเครื่อง mac ได้
ไอ่การที่ จะใส่ๆ จะถอดแผ่นดิสก์ แล้วต้องรอให้เครื่องมันอนุญาติก่อน ถึงจะทำได้... มันอึดอัดแปลกๆ
รู้สึกเหมือนการจะใช้งานมันได้นี่ เออ เราต้องขออนุญาติมันก่อนนะ ถ้ามันไม่ยอม เราก็ใช้ไม่ได้...
ตกลง ใครเป็นนายใครกันแน่หว่า...
ตอนผมใช้ OS 9 เคยสั่งปรินท์อะไรสักอย่าง แต่ไม่สำเร็จแล้วก็มีหน้าป๊อปอัพขึ้นมาพร้อมกับเสียงจาก Mac ว่า "It's not my fault"...
มีด้วยเหรอ คอมมันฟ้อง ERROR 0000. User Error!
ระบบปิดมันก็มีข้อดีและข้อเสียของมัน และระบบเปิดก็ใช่ว่าจะดีเลิศ จำนวนผู้ใช้ ไม่ได้เป็นตัววัดทั้งหมดว่าระบบไหนดีกว่ากัน
มันอยู่ที่ว่าตอนนี้ ในเรื่องไหน เราเหมาะกับระบบแบบไหน เพราะระบบเปิดหรือปิดในทุกเรื่อง ไม่ดีแน่
เลิกสนับสนุนหรือต่อต้านอะไรฝ่ายเดียว ใครจะใช้หรือชอบอะไรก็เรื่องของเค้า
คิดว่า "บางคน" อาจจะเข้าใจ "ผิด" ว่า "เสรี" คือระบบ "เปิด"
-
เพราะคำว่า "เสรี" มันคือการที่ "เรายังเลือกได้" ว่าจะเข้าไปอยู่ในระบบ "ปิด หรือ เปิด"
+1
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
+100 เห็นด้วยสุดๆ
ผมสงสัยว่า ถ้าผมใช้ iPad ผมมีเสรีในการเลือกระบบ "เปิด"?
ตามที่คุณ lawender บอกว่า "ผมสงสัยว่า ถ้าผมใช้ iPad ผมมีเสรีในการเลือกระบบ "เปิด"?"
ขอยกตัวอย่างความเข้าใจผิดตรงนี้เลยละกัน เพราะเท่าที่ดู หลายคน(มากทีเดียว) คิดอย่างนี้
ประเด็นมันอยู่ที่ว่า
"ตราบใดที่ยังไม่มีใครบังคับให้คุณใช้ iPad คุณก็ยังอยู่ในโลกเสรีอยู่"
-
เหมือนกับว่า เมื่อคุณเดินเข้าบ้านผม คุณก็ "ต้อง" ทำตามกฎของผม แม้ว่ามันจะ "งี่เง่า" เพียงใด ถ้าไม่ชอบก็เดินออกมา เพราะไม่มีใครบังคับให้คุณอยู่ในบ้านผม
"เว้นแต่... เว้นแต่...."
ในบ้านของผมมี "ขุมทองมหาศาล" ที่คุณอยากได้อยู่ คุณก็ต้องตัดสินใจเอาเองว่า คุณจะเลือกอยู่หรือไม่
-
นั่นเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่า ทำไม Apple มีกฎบางข้อ ที่งี่เง่า แต่ทำไมยังมีคนมากมายบูชาอยู่
เพราะเขาได้อะไรจากบ้านของ Apple มากพอ หรือเขาได้สิ่งดีๆด้านอื่นๆ(ที่คนมักลืมเวลาจะโจมตี) ที่คุ้มพอจะลืมกฎงี่เง่าบางข้อเหล่านั้นได้
และก็มีคนอีกมากมาย ที่ไม่ชอบบ้านของ Apple แล้วเค้าก็ไม่เดินเข้าไป
แต่ "ตัวปัญหา" มันอยู่ที่ คนที่ไม่เคยเข้า หรือเข้าไปแล้วไม่ชอบ เข้ามาโจมตีคนที่อยู่ในบ้าน หรือ คนที่อยู่ในบ้าน ทำอะไรที่มันเหม็นขี้หน้าคนที่อยู่ข้างนอกมากกว่า
ตามหลักเศษฐศาสตร์ "คนเราเลือกทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดเสมอ"
ปล.นอกเรื่อง : คน ใช้ Linux เพราะตามกระแส ผมว่าค่ามันก็เท่ากับ คนใช้ iPhone, BB เพราะตามกระแสเหมือนกัน
เอ เข้าใจผิดอะไรรึเปล่าครับ เราไม่ได้เดินเข้าบ้าน แต่ซื้อบ้านนะครับ
อาจจะหมายถึงเข้าไปอยู่ในระบบ 'ปิด'(บ้าน)ของ Apple มั้งครับ
ถ้าคุณคิดว่าบ้านของ Apple มีอะไรให้มากพอ ถึงแม้ว่าจะเป็นระบบปิดก็ตามคุณก็เลือกบ้านของ Apple
แต่ถ้าคุณมองว่าพอเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนี้แล้วไม่สะดวกสบายคุณก็ไม่เลือกบ้านหลังนี้
ละมังครับ = =
ประเด็นนี้ผมไม่มีปัญหาครับ อันนี้ผมเห็นด้วย แต่อย่างที่ตอบไปข้างล่างว่า การเปรียบเทียบ "ซื้อเพื่อเป็นเจ้าของ" (เสียเงิน) กับ "เดินเข้าบ้าน" (ไม่เสียเงิน) มันไม่แฟร์สักเท่าไรครับ
ผมก็ว่าแก่นหลักที่เขากำลังพยายามอธิบายคือความหมายของคำว่า เสรีในการเลือกของแต่ละบุคคล เท่านั้นแหละครับ ยังไม่เกี่ยวข้องกับบริบทเรื่องตัวเงินตัวทองอ่ะครับ
หรือถ้าจะมองให้เกี่ยว ก็มองว่ามันคือ "กฎหนึ่งของบ้าน (การซื้อตั๋วเพื่อเข้าบ้าน)" ที่คุณ Not เขียนไว้ก็ได้ครับ
ไม่ว่าจะซื้อบ้าน หรือเดินเข้าบ้าน "ผล" มันแตกต่างกันตรงไหนหรือครับ
scale ผมคิดว่า ซื้อบ้าน หลายล้าน เปลี่ยนบ่อยๆทุกปีสองปีไม่ได้ แต่ของเล็กๆ หลักพันถึงหลักหมื่น ผมเปรียบว่าเป็นเดินเข้าบ้าน(หรือเช่าบ้าน) น่าจะเหมาะสมกว่า
-
จริงๆก็ไม่อะไรหรอกครับ ผมแค่อยากจะย้ำว่า "เลือกของให้เหมาะกับตัวเอง" (ในเวลานั้นๆด้วย)
เพราะตอนวัยรุ่น มีพลังและเวลาเหลือเฟือ คุณอาจจะอยากได้ผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งได้เอง ราคาไม่สูง ทำทุกอย่างได้
พอขึ้นมาอีกระดับ คุณอาจจะอยากได้ของที่ใช้ง่าย ไม่ต้องกังวลปัญหาจุกจิก ไม่ต้องเรียนรู้มาก ถึงจะทำอะไรได้ไม่เยอะ เพราะอาจจะเวลาน้อยลง มีรายได้ที่สูงพอ และบางอย่าง ไม่มีก็ไม่กระทบกับการทำงาน
-
เพราะผมเชื่อว่า เมื่อเวลาผ่านไป "เวลาของคุณ จะมีค่าสูงกว่าการไปเรียนรู้การปรับแต่งคอมหรือมือถือนะครับ" (ยกเว้นว่าชอบ และทำเป็นงานอดิเรก หรือ เวลาของคุณยังมีค่า"น้อย"อยู่)
ต่างสิครับ
เดินเข้าบ้าน ผมไม่ต้องจ่ายเงินนะครับ
ประเด็นอื่นผมไม่มีปัญหา แค่อยากติงว่า การเปรียบเทียบ "เดินเข้าบ้าน" ของคุณมันแปลกๆ ชอบกล
เอ้อ "เช่าบ้าน" นี่คุณเพิ่มเข้ามาตอนหลังนะครับ อ่านข้อความของตัวเองดีๆ
ผมเพียงแค่ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆเท่านั้น
แต่ถึงยังไง การเข้าไปสัมผัสระบบอะไรก็ตามแต่ มันก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกันหมด ผมเลยให้ความสำคัญเท่ากัน ไม่ว่าจะต้องจ่ายหรือไม่จ่าย
ส่วนเรื่องเช่าบ้านผมไม่ได้ลืมครับ ผมถึงใส่วงเล็บเอาไว้ ไม่ได้เนียนๆเขียนเติมไป
คือผมไม่ได้ว่าการยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ไม่ดีนะครับ เพียงแต่บอกว่าคุณเปรียบเทียบไม่ถูก
"การเข้าไปสัมผัสระบบอะไรก็ตามแต่ มันก็มีค่าใช้จ่ายเหมือนกันหมด" ขึ้นกับความหมายในเชิงเศรษฐศาสตร์นะครับ ถ้าบอกว่าเวลาหรือการดาวน์โหลดเป็นค่าใช้จ่าย ในบางตำราจะมองว่ามันน้อยมากจนแทบเป็นศูนย์ ก็ไม่นับครับ (เช่น การโหลดบิต) ต่างจากตัวเงินที่นับได้จริงๆ
ส่วนเรื่องเช่าบ้าน ผมหมายความว่า ในคอมเมนต์แรกของคุณไม่มีครับ เพิ่งมามีในคอมเมนต์ที่สอง
โอเคเข้าใจครับ
คุณมีสิทธิ์เลือก
ที่จะไม่ใช่ iPad
แล้วไปใช้ HP Slate หรือ JooJoo แทน
เพราะคำว่า "เสรี" มันคือการที่ "เรายังเลือกได้" ว่าจะเข้าไปอยู่ในระบบ "ปิด หรือ เปิด"
Apple อธิบายให้ผู้ซื้อรู้หรือยังครับ ว่าระบบที่จะเข้าไปอยู่ เป็นระบบปิด? เพราะผมเชื่อว่าคนกลุ่มใหญ่ๆ ไม่รู้ความจริงข้อนี้ อย่างน้อยก็เพื่อนๆรอบตัวผม
ผมว่าการที่มีคนมาบอกว่า Apple เป็นระบบปิดนะ ข้อเสียของระบบปิดเป็นแบบนี้ๆ เป็นเพราะต้องการให้ผู้ใช้ ได้ทราบถึงข้อเสียก่อนจะไปเลือกใช้ต่างหาก เพราะคนที่อธิบายเรื่องนี้ "ก็ไม่ได้ไปบังคับให้ผู้ซื้อไม่เลือกซื้อแต่อย่างใด"
ให้ผมพูดก็คือ คำว่าเสรี ยังหมายถึง การมีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลทุกด้าน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจหรือที่ถูกต้องและถูกใจมากขึ้น
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ถ้า "ไม่รู้" ก็ "อย่าซื้อ" (ดีไหม?) เพราะเราไม่ได้รู้อะไรเท่าไหร่เลยใน "สินค้า" ที่เราซื้อ แต่ทำไมยัง "ซื้อ" เพราะไม่มีทางเลือก?
"ทำเอง" "ควบคุมเอง" ดีสุด (แต่ทำได้ไหม?)
กินไก่ รู้ไหมว่าเป็นไก่จากไหน ใช้ฮอร์โมนเร่งโตรึเปล่า - ผมว่าคนที่กินรู้นะครับ ว่าไก่เลี้ยง(ไม่ใช่ไก่บ้าน)เกือบทั้งหมดนั้นใช้ฮอร์โมนเร่งโต
ซื้อครีมมา ก็ไม่รู้มีสารปรอทรึเปล่า (หรือถึงมันบอกไม่มี จะเชื่อได้ไหม?) - เป็นหน้าที่ของ อย. ที่จะต้องตรวจสอบครับ และผมเชื่อว่าครีมทุกชนิดที่ผ่าน อย. นั้นไม่มีปรอท หรือถ้ามีคุณก็สามารถเอาผิดได้ แต่ถ้าคุณไปซื้อครีมจากนอกหรือครีมที่ไม่ได้รับการตรวจสอบจาก อย. อันนี้คงต้องยอมรับความเสี่ยงเอง
อยากทราบว่าคุณต้องการสื่อถึงอะไรหรือครับ เพราะผมก็บอกไปแล้วว่า "ให้ผมพูดก็คือ คำว่าเสรี ยังหมายถึง การมีเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลทุกด้าน เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจหรือที่ถูกต้องและถูกใจมากขึ้น"
กินไก่ - ถามว่าบริษัทที่ผลิตเนื้อไก่เอาเปรียบไหม > เอาเปรียบ ผู้บริโภครู้ไหม > รู้ รู้ได้อย่างไร > คนอื่นที่ไม่ใช่บริษัทที่ผลิตเนื้อไก่บอกมา เป็นเสรีภาพในการรับรู้ไหม? ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องขึ้นไหม?
ซื้อครีม - บริษัทที่ขายครีม จึงต้องกำกับส่วนประกอบที่สำคัญให้ผู้บริโภครับรู้ รวมถึงการกำกับปริมาตรสุทธิ เป็นเสรีภาพในการรับรู้ไหม? ทำให้เกิดการตัดสินใจที่ถูกต้องขึ้นไหม?
กรณีที่ผมพูดถึง ก็คงเป็นกรณีเดียวกับคนบอกว่าไก่ใช้ฮอร์โมนเร่งโต - ผมว่าการที่มีคนมาบอกว่า Apple เป็นระบบปิดนะ ข้อเสียของระบบปิดเป็นแบบนี้ๆ เป็นเพราะต้องการให้ผู้ใช้ ได้ทราบถึงข้อเสียก่อนจะไปเลือกใช้ต่างหาก เพราะคนที่อธิบายเรื่องนี้ "ก็ไม่ได้ไปบังคับให้ผู้ซื้อไม่เลือกซื้อแต่อย่างใด"
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เรื่องกินไก่นี่ผมก็ไม่รู้นะครับ...
:p
ที่ผมต้องการสื่อก็คือ มันดีกว่าไหมที่มีคนให้ข้อมูลคุณ(และคุณได้รับรู้)ว่าสิ่งไหนมันมีข้อดีข้อเสียอะไร ไม่ใช่บอกแต่ข้อดีแต่ไม่ได้บอกข้อเสีย ลองอ่านcommentของผมดูก่อนครับ
เช่นคนที่ไม่รู้ว่าไก่ถูกฉีดฮอร์โมนบางคนพอรู้แล้วอาจจะเลิกกินไก่(หรือไม่)ก็ได้ อย่างเช่นที่คุณไม่รู้ ผมก็ถือว่าเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างหนึ่งของผู้ผลิตเนื้อไก่ ซึ่งได้พูดไปใน comment ที่แล้วแล้ว
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ดีกว่าแน่นอนครับ แต่คุณบอกว่า
งั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของ Apple ที่จะต้องมาบอกแล้วครับ ผู้บริโภคก็ต้องหาข้อมูลเอาเอง
ความเห็นของคุณมันขัดแย้งกันในตัวนะครับ
มีคนชอบบ่นด่าว่าคนที่พูดถึงข้อเสียของ iPad แต่คุณกลับพูดว่า 'งั้นก็ไม่ใช่หน้าที่ของ Apple ที่จะต้องมาบอกแล้วครับ ผู้บริโภคก็ต้องหาข้อมูลเอาเอง'
ถ้าไม่มีคนที่พูดถึงข้อเสียของ iPad แล้ว ผู้บริโภคจะหาข้อมูลได้จากที่ไหน และนี่ก็เป็นใจความสำคัญของ comment แรกของผมที่คุณมาโต้แย้งอยู่แล้ว แต่คุณเลือกที่จะมองคำว่า Apple เป็นประเด็นหลัก(ทั้งที่จริงมันเป็นประเด็นเสริมใจความ) และมองข้ามใจความสำคัญไปเอง
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อันนี้มันเรื่อง chain of trust ครับ
เราเชื่ออย. เชื่อเจ้าหน้าที่ เลยเชื่อสินค้า เหมือนเราเชื่อ Thatwe VeriSign GoDaddy
เราท้ายแล้วเราต้องเชื่อใครสักคน
lewcpe.com, @wasonliw
ผมว่า iPad เนี่ยพอเริ่มมีคนใช้ยังไงก็มีคนตามแน่นอน ก็ของมันเอาไว้ประดับความเท่ห์หนิ
ไม่ว่าระบบจะปิดหรือเปิดพวกสาวๆ หนุ่มๆ ที่ซื้อมาใช้เค้าสนใจด้วยเหรอ?
มันมีประโยชน์แค่ 'ประดับความเท่ห์' หรอครับ - -'
แล้ว netbook ที่จ๊อบส์อ้างว่า iPad อยู่ตลาดเดียวกันเนี่ย มีไว้ 'ประดับความเท่ห์' เหมือนกันหรือไม่ครับ
twitter.com/exfictz
นี่แหละครับ ตัวอย่างความเห็นนึงเลย ตัวเองคิดว่ามันใช้ไม่ได้ ไม่คุ้ม ไม่เหมาะ ก็คิดว่าคนที่เลือกใช้เลือกเพราะความเท่ แต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ บางคนคิดเค้าสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้จริง ส่วนที่ซื้อเพราะความเท่ก็มี แต่ผมว่าเค้าไม่ค่อยเข้าเว็บนี้หรอกครับพวกนั้น
อคติทำให้คนรับเหตุผลด้านเดียว
ลูกค้าเลือกในสิ่งที่หาได้ในตลาดครับ ถ้า Apple ตอบโจทย์ลูกค้าที่ไม่ต้องการความสามารถทั้งหมดของ Notebook ก็อาจเกิด Segment ใหม่ขึ้นในตลาดก็ได้ อย่างที่เห็นในตลาดนี้มีผู้ผลิตเพียงไม่กี่ราย แนวถนัดของบริษัท
ผมว่าประเด็นที่เขาพูดไม่ค่อยเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ หรือการใช้งานหลัก ๆ ของผลิตภัณฑ์เท่าไหร่นะครับ
รู้สึกมันไม่ค่อย make sense เพราะรู้สึกมันเป็นสินค้าในฝั่ง Consumer มากๆ คนที่ซื้อมา (ยกเว้น early adopters/bloggers ที่ซื้อมา review หรือถอดเป็นชิ้นๆ) น่าคิดว่า ซื้อมาแล้วใช้ได้ในราคาสมเหตุสมผล ก็จบ มากกว่าที่จะคิดว่า เป็นระบบปิด หรือหรือเพิ่มนู่นเพิ่มนี่ได้ไหม
ทีนี้ในเมื่อมันเป็น platform และรูปแบบการทำธุรกิจ ที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล? ที่หลอมรวมเหมือน iPod และ iPhone แบบนี้แล้ว มีประโยชน์อะไรที่จะมาพูดแบบนี้ในตอนนี้? ถ้าต้องการการพัฒนาเพิ่มขึ้น (แต่ต้องแลกด้วยการ void warranty/break EULA) ก็รอ jailbreak
ซึ่งจริงๆ ส่วนตัวแล้วก็ชอบในเรื่องความเสรีนะ คือ ถ้าขาย eBook ก็น่าจะขายในรูป PDF หรืออะไรแบบนั้น ที่ไม่ต้องการอุปกรณ์เฉพาะ ใช้ได้ทุกเครื่อง อะไรก็ว่าไป หรือเพลงที่ไม่ติด DRM เอาไปเล่นเครื่องไหนก็ได้ หรือซื้อเกมแล้ว platform หนึ่ง ก็น่าที่จะมีสิทธิ์เอาไปเล่นบน platform อื่นที่มีได้โดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม lol
ปล. เกิดมาในยุคที่ Apple ][ มันแพงเกินเอื้อมซะด้วย กว่าจะมีคอมพิวเตอร์ใช้ก็ปาเข้าไป ม.๖ แล้ว เลยไม่เคยแกะ ไม่ค่อยได้เขียนโปรแกรม หรือแงะ หรือ reverse engineer อะไรเล่น
We need to learn to forgive but not forget...
เหตุผลข้อนึงที่ผมไม่ซื้อ iPad (รวมทั้ง iPod Touch, iPhone) ก็คือ ผมไม่อยากได้เครื่อง Mac ผมเห็นว่ามันเป็นการขายผูกกันทางอ้อมในฐานะผู้ใช้ (เพราะ iTune บน Windows มันอืด+กินแรมเหลือเกิน 555 เข้าใจว่าเขียนให้มันห่วย ๆ คนจะได้ด่า Windows อันนี้ล้อเล่นนะครับ) และผูกขาดกันตรง ๆ ในฐานะผู้พัฒนา คือจะพัฒนาอะไรลง Mobile MacOSX นี่ต้องซื้อ Mac สักเครื่อง ยังกะซื้อ DevKit ของ Console (แถมราคาก็พอ ๆ กันซะด้วย) 555
คือผมก็เป็นโปรแกรมเมอร์อ่ะนะ ก็อยากเขียนโปรแกรมของตัวเอง ลงไปในอุปกรณ์ของตัวเอง ซึ่งจริง ๆ มันก็ทำได้ไม่ยากหรอกไอ้การเขียน (ถึงแม้ว่า ObjC จะเป็นอะไรที่ไม่ค่อยมีคนใช้กันสักเท่าไหร่ และถ้าจะใช้ผมต้องหัดใหม่อีก ...) แต่การที่เขียนเสร็จแล้วจะลองเอาไปใช้บนเครื่องนี่มันดูทุกข์ระทมชอบกลนะ (ไม่แน่ใจ)
ผมเคยคุยกับอ.ผมที่ทำธุรกิจด้านเกม คุยกันเล่น ๆ ว่า ถ้าทำเกมเสร็จแล้วช่วยโหลดมาลงเครื่องผมหน่อย (ตอนนั้นใช้ iPod Touch) ซึ่งปรกติผมก็ได้ฟรีมาเรื่อยแหละ เกม PC มั่ง มือถือมั่ง แต่งวดนี้ไม่ได้เพราะติดอะไรสักอย่าง (ลืมแล้ว มันนานมาก) ของ Apple ก็เลยอด ฮ่าๆๆๆ
สรุป จริง ๆ มันก็โอเคแหละที่จะปกป้องผลิตภัณฑ์ของตัวเองซะแน่นหนา คนใช้ก็รู้สึกอุ่นใจ เหมือนตัวเองอยู่ในห้องเล็ก ๆ อันหรูหรา มีคนเดินรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. บางทีเขาเลยคิดว่าการที่จะต้องทำอะไรตามที่รปภ.สั่งมา ...
แต่สำหรับผม ผมมองว่า รปภ.ที่ว่าเนี่ย คือผู้คุมเรือนจำ มากกว่า และคงมีหลาย ๆ คนคิดเหมือนกัน เลยตั้งชื่อการปลดล๊อกความปลอดภัยว่า Jailbreak ไงครับ :-)
@Witna ผมเห็นด้วยนะครับว่าเวลาจะ eject ซีดีออกถ้าเครื่องมันกำลังอ่านอยู่แล้วคุณบังคับให้มันออกซีดีรอมมันจะพังอ่ะครับ เราจึงต้องขออนุญาติมันก่อน และถ้าเราขออนุญาติมันแล้วระบบจะไป kill process ที่อ่านอยู่ทิ้งแล้วจึง eject ออกให้เราครับ
ส่วนตัวผมไม่ได้เป็นสาวกapple ไรหรอกครับ ซึ่งบางทีระบบปิดมีดีและไม่ดีครับ
ยกตัวอย่าง os x กับ windows
สรุปแล้วผมคิดว่าอยู่ที่มุมมองครับ
สมัยก่อน Redhat รุ่นแรกๆ ก็ Unmount ยากมากครับ กดเป็นสิบๆ รอบยังนิ่ง
อ่านไปอ่านมา พอจะแกะได้ว่า "มันไม่เหมาะกับ geek" ???
แป่ว ทำไมรีวิวหลายหน้าลดเหลือประโยคแค่นี้ไปได้
twitter.com/exfictz
แต่ยังไงถ้า geek จริงก็คงได้ผ่านมือเล่นบ้างแหละ จะได้เปรียบเทียบกับชิ้นอื่น ๆ ได้
มีใครพอทราบมั่งครับว่าเฉพาะ iPad ที่วางขายอยูที่เมกาตอนนี้ ซัพพอร์ต ภาษาไทยรึยัง ? .. | (・ε・)ノ
อินู๋ครับ มันน่าจะรองรับในระดับแกนแล้วนะ :)
ปล. ชื่อคุ้นๆ
อ่านได้ พิมพ์ยังไม่ได้ครับ
ผมคิดว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ผู้บริโภคอยากได้ระบบเปิด หรือระบบปิด เพราะคนที่แคร์เรื่องนั้นมันก็ไม่ใช่ผู้บริโภคส่วนใหญ่จริงๆ แต่ประเด็นที่สำคัญผมว่ามันอยู่ที่การล้อมคอก developer เกินไปมากกว่า
ถ้าจะมีเหตุผลที่ทำให้ apple ต้องเข้าสู่ช่วงขาลง ก็น่าจะเป็นเพราะการทำตัวเป็นเอกเทศมากเกินไป
เมื่อเลือกไม่ได้ ผมจึงไม่เหมาะกับสินค้าของ apple
ผมชอบการเลือกทำอะไรก็ได้ แม้ต้องแลกด้วยการต้องปวดหัวกับปัญหาต่างๆ
เพราะ สุดท้ายผมจะได้ประสบการณ์และองค์ความรู้ จากปัญหาเหล่านั้น
เหมือนกับการใช้ opensource เพราะ ถึงมันจะฟรี แต่ต้องเสียเวลาเรียนรู้
แต่อย่าลืมว่าประสบการณ์และองค์ความรู้ที่ได้มา มันจะติดตัวคุณไปตลอด
มีเรื่องนึงที่ผมแคลงใจ จากความเห็นทั้งหมดคือ
ตอนนี้แอปเปิลเริ่มมีปัญหาระหว่าง การควบคุมความสมดุลของความปลอดภัยที่แอปเปิลจะล้อมคอกให้ผู้ใช้ กับความอิสระในการพัฒนาของฝั่งผู้พัฒนาแล้ว???
พอมองดูแล้วรู้สึกถึงจุดเปราะบางอย่างนึงคือ แอปเปิลจะรักษาความสมดุลระหว่าง มีคนอยากพัฒนาโปรแกรมให้เพราะมีคนใช้เยอะ แต่คนพัฒนาก็ไม่อยากให้ทำโปรแกรมให้แอปเปิลเพราะมันยากและน่าอึดอัด ได้นานแค่ไหน
แอปเปิลก็น่าจะรู้ตัวดีว่ามีคน Jail Break iPhone มากแค่ไหน
แอปเปิลกำลังคิดอะไรอยู่
หรือจะเล่นกับความเสี่ยงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันทำเงินได้มากที่สุด และรักษาภาพลักษณ์ได้มากที่สุด
แค่นั้น?
ผมมาคิดอีกที apple อาจจะมองว่า ถ้าหากเปิดกว้างให้กับ developer มากเกินไป จำนวน app จะเพิ่มขึ้นแต่คุณภาพลดลง ซึ่งดูเหมือนว่า apple จะไม่แคร์เรื่องปริมาณอยู่แล้ว และถ้าเป็น developer อิสระที่ไม่ค่อยมีทุนก็จะเสี่ยงเกินไปถ้าจะมาลงทุนกับ apple ซึ่งศักยภาพของ developer อิสระนั้น ผมคิดว่ายังไงๆ ก็สู้พวกองค์กรที่มีทุนมากมายและมีทีมพัฒนาเฉพาะทางไม่ได้อยู่แล้ว ซึ่งผลออกมาแบบนี้ยังไง apple ก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องครับ
สรุปคือ ถ้าคุณเป็น developer อิสระและทุนน้อย คุณคงไม่เหมาะกับ platform ของ apple
ถ้า่ไม่มีรถขับ ก็ไม่ซื้อ 55+
รอไปเล่นที่ร้านใกล้บ้าน ช้าหน่อยไม่เป็นไร ไม่พอใจก็ไม่ซื้อ
ทำไมคุณถึงไม่ควรซื้อ iPad - นอกจากจะซื้อมา blend...
เป็นขี้เถ้าเลย o.O
เครื่องปั่นพลังเทพ