มีรายงานมาว่าในสหรัฐฯ ผู้สมัครงานหลายคนหลังจากการสัมภาษณ์เพื่อเข้าทำงานบริษัทต่าง ๆ เริ่มโดนขอดูหน้าโปรไฟล์บน Facebook เพื่อดูข้อมูลส่วนตัวก่อนที่ผู้ว่าจ้างจะตัดสินใจว่าจ้าง โดยวิธียอดนิยมได้แก่ การต้องตอบรับการขอเป็นเพื่อนบน Facebook โดยพนักงานฝ่ายบุคลากร (HR), ให้ล็อกอินโชว์หน้าโปรไฟล์ตัวเองให้ดู ณ เวลาสัมภาษณ์ทันที หรือไม่ก็ต้องมอบชื่อและรหัสผ่านให้กับผู้สัมภาษณ์
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเมื่อถูกจ้างแล้ว ผู้สมัครงานเหล่านี้ก็จะถูกบังคับให้เซ็นสัญญา Non-disparagement Agreement ที่ไม่อนุญาตให้ด่า ว่า หรือติบริษัทตัวเองบนโลกออนไลน์ได้
Orin Kerr ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย George Washington บอกว่าการกระทำดังกล่าว แทบจะไม่ต่างจากการขอกุญแจเข้าบ้านคนอื่นเลยทีเดียว และถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างมาก
ในขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายอะไรมาควบคุมไม่ให้เกิดการกีดกันผู้สมัครงานจากการไม่ยินยอมที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวบนโลกอินเทอร์เน็ตให้แก่นายจ้าง ยกเว้นในรัฐอิลลินอยส์และแมรี่แลนด์ ที่กำลังมีการเสนอออกกฎหมายคุ้มครองผู้สมัครงานกรณีดังกล่าวแล้ว
Facebook เองยังไม่ขอแสดงความเห็นใด ๆ เกี่ยวกับกรณีนี้ นอกจากบอกว่าบริษัท "ไม่อนุญาตการเข้าใช้บัญชี Facebook ของผู้ใช้คนอื่น" ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ข้อตกลงในการให้บริการ (Terms of Service) เหล่านี้ยังมีข้อจำกัดทางด้านกฎหมายว่าสามารถนำไปใช้ได้จริงหรือไม่
Lori Andrews ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย IIT Chicago-Kent College of Law ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสิทธิส่วนบุคคลบนโลกออนไลน์ได้ออกมาบอกว่า "การขอความร่วมมือด้วยความสมัครใจ ก็คือการข่มขู่และบังคับ เมื่ออีกฝ่ายต้องการที่จะสมัครงาน"
แล้วคุณล่ะครับ ถ้าโดนนายจ้างขอแบบนี้ จะยอมหรือเปล่า?
ที่มา - The Age
Comments
บอกว่าไม่เล่น Facebook ...
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
+1 จะไปยากอะไร สมัครแอคปลอมๆมาก่อนสมัครงานยังได้ -*-
ละเมิดชัดๆ
FREE FOR ALL
ให้รหัสผ่านเสร็จก็เลิกใช้แอคเคาต์ได้เลย รุกรานเกินไป
ผมออกจากห้องสมัครเลยครับ ถ้ามาขอ Pass ผม
ผมคงด่าด้วย
ให้แอดยังโอเคนะ ขอรหัสนี่ไปตายซะ
โปรดระบุด้วยครับว่าให้ไปที่ไหน :P
สำหรับผมนะ ผมไม่ให้รหัสผ่านไม่พอ ผมแถมด้วยการโฆษณาชื่อบริษัทลง Facebook ให้ด้วย
ตอนให้เซ็น "แต่ถ้าผมไม่อยู่ที่นี่ผมก็มีสิทธิประจารบริษัทห่วยๆ นี่ได้ใช่ไหมครับ"
เฟี้ยวฟ้าวมาก
อย่าลืมหาที่อื่นเผื่อไว้ก่อน
ดินแดนแห่งเสรีภาพพพพพพพพ
เอาไปเถอะ Facebook แต่ถ้าทวิตเตอร์... อิอิบาย
ทวิตเตอร์ เอาไป เหลือ G+ สบาย!!!
Coder | Designer | Thinker | Blogger
"การขอความร่วมมือก็คือการบังคับ" ใช่ที่สุดเลยครับ มันเป็นการบังคับแบบฟังดูสุภาพนั่นเอง
ผมเล่นแค่ hi5 ครับ facebook ไม่รู้จัก
มีแอคเคาท์หลอกไว้เพื่อเวลาแบบนี้แหละ :p
ถึงขนาดไม่อนุญาตให้ติให้ว่านี่เกินไปนะ ไหนว่าประเทศเสรีไง
บอกว่าไม่ได้เล่นก็จบแล้ว เหอ เหอ
ในไทย ก็มีครับ เคยเจออยู่ครั้งหนึ่งตอนนั้นผมจบใหม่ๆ
ตอนสัมภาษณ์ บอกให้ผมกรอกFrom โดยต้องใช้ login email hotmail ของผมที่officeเขา
แสดดดดด ผมเลยว่าไป แล้วก็เดินออกมาเลย บ้า!
ANS : What is Facebook ??
คำตอบแรกเลย
อีกหน่อยคงต้องมี facebook สำรอง 5555555
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
ไม่จำเป็นตรูไม่ทำที่นั่น
もういい
งั้นสร้างบัญชีปลอมขึ้นมา
การขอความร่วมมือนั้น มันก็แค่คำพูดดูดี แต่ก็อย่างที่บอก ความจริงก็คือการบังคับนั่น
คือขอแอดผมโอเคนะ นั่งมอนิเตอร์ก็โอเค แต่ใครรับประกันได้ว่าจะไม่เ-ือก เอาแอคเคาต์เราไปโฆษณา
แล้วรับประกันได้มั้ยว่าไม่รั่ว?
ทุกคนก็พูดได้ว่า "ไม่ให้" ครับ
แต่ลองนึกภาพเศรษฐกิจอเมริกา 3-4 ปีที่ผ่านมาตกงานกันเพียบ แล้วคนที่มีลูกต้องเลี้ยงอยู่ที่บ้าน ถ้าเป็นผม ผมก็สละได้ครับ ความเป็นส่วนตัวที่เราสร้างมา กับไร่นา แก๊งมาเฟีย เมืองจำลอง ทั้งหลายแหล่
ถ้าชีวิตเหลือที่ให้สมัครงานที่เดียวแล้วก็คงต้องยอมครับ
มีเฟสบุ๊คอันที่สอง ไว้คุยกับครอบครัว และที่ทำงาน ;P
เหมือนกันเลยมีสองอัน... แบบเป็นทางการ กับแบบเพื่อนๆ
หลังจากอ่านหลาย ๆ ความเห็นพบว่า สิ่งที่นายจ้างคิดจะทำนั้นไร้ประโยชน์ เพราะลูกจ้างยินดีจะสละ Facebook ปลอม ๆ ให้แก่ท่านได้ทุกเมื่อ :D
Jusci - Google Plus - Twitter
+1 พร้อมเสมอ
จำไม่ได้ว่าเคยอ่านเจอที่ไหน แต่เหมือนกับว่าที่บริษัทเค้าขอ account facebook ไปเพราะเค้าต้องการจะประเมิณบุคลิก นิสัย และการเข้าสังคมของเราจากคอมเม้นของเราที่มีต่อเพื่อน และจากเพื่อนที่มีต่อเรา
เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าจะให้ account ปลอมไป ถ้าเกิดว่า account นั้นแทบไม่มีกิจกรรมเลย ก็แสดงว่าคน ๆ นั้นเป็นคนไม่มีเพือน หรือเพื่อนไม่คบนะครับ
ก็บอกไปว่าสมัครไปงั้นๆไม่ให้ตกกระแสเฉยๆสิครับ เพื่อนในเฟสบุ๊คไม่ได้แปลว่าต้องเป็นเพื่อนจริงๆซะที่ไหน
ผมเห็นคนมีเพื่อนในเฟซเป็นร้อย แต่ชีวิตจริงไม่มีใครคบก็มี
เข้าไปดูคอมเม้น แอดเป็นเพื่อนก็ดูได้ครับ (ถ้าตั้ง permission ไว้ก็เปิดให้เค้าหน่อยละกัน) ไม่จำเป็นต้องขอรหัสผ่านเลย
แต่เอาจริงถ้าบริษัทไหนประเมินลูกจ้างด้วยวิธีนี้ อย่าไปทำงานเลยครับ
ผมมี FB Account 3 อันครับ
อันแรกใช้จริง
อันสองใช้แอดเพื่อนลับๆ
อันสามสมัครไว้แบบลับๆ
ความลับเปิดเผย ถ้าใครมาเจอแล้วจะโดนอะไรมั้ยครับ :P
-_-" ไม่มีอะไรให้ดู แต่ก็ไม่ให้ดูหรอก เหอๆๆ
ปกป้อง | เฟสบุ๊ก | ทวิตเตอร์
ไม่ไหวอ่ะครับ เรื่องส่วนตัวก็ส่วนตัว เรื่องงานก็งานครับ ไม่จำเป็นต้องมาคร่อมกันแบบนี้ -_-''
เอา FB ปลอมไปเลย แล้วก็มาบอกเพื่อนใน FB จริงว่าโดนบริษัทเอาไป
ไม่ได้ด่าว่าติเตียนเลยนะ แต่ประจาน ;P
ตามหัวข้อข่าวนั้น ผมไม่มีความเห็นนะครับ
แต่สำหรับบริษัทผม เพราะวัฒนธรรมการปกครองไม่เหมือนทั่วไป รหัสผ่าน FB/G+ ของบุคคลากรในบริษัทผมไม่เป็นความลับครับ รู้กันและกันทั่วทุกคน
กระทั่งรหัสผ่าน iBanking/ATM ของลูกน้องทั้งหลาย ลูกพี่แต่ละคนในสังกัดก็ทราบหมด เพราะผมก่อร่างสร้างบริษัทผมขึ้นมาโดยเข้าถึงลูกน้องถึงระดับครอบครัว เราดูแลช่วยเหลือกระทั่งเรื่องการเงิน การบัญชี การสร้างวินัยในการใช้ชีวิตให้มีความสุข ความสำเร็จ
บุคคลากรของผม ไม่มีใครมีหนี้สิน ไม่มีใครต้องผ่อนอะไร รู้จักช่วงเวลาของชีวิตในวัยต่างๆ และทำงานด้วยกันอย่างอบอุ่น เราปกครองกันแบบ Family กระทั่งสาขาต่างประเทศ
สมัครงานบริษัทผม ไม่ต้องทำอย่างที่ข่าวว่าไว้ แต่สัมภาษณ์งานบริษัทผมยากกว่าบริษัทอื่นทั่วไปครับ
ส่วนตัวตามหัวข้อข่าวแล้วจึงรู้สึกเฉยๆ คิดว่ามันไม่ได้สลักสำคัญอะไร ในการแสดงความเป็นตัวตนด้วยรายละเอียดความเป็นเราใน FB ครับ
ในฐานะนายจ้าง ถ้าใครทำแบบนั้นกับผมโดยผมไม่ได้ร้องขอ ผมจะรู้สึกว่า เขาจริงใจ และผ่านหัวข้อหนึ่งในการสัมภาษณ์ทันที (ในใจ)
ปล. ตั้งบริษัทมาถึงตอนนี้ มีคนลาออกไปทั้งสิ้น 2 คนเท่านั้นครับ และนั่นคือ 2 คนแรกด้วย เพราะตอนนั้นผมเองก็ยังหนุ่ม ประสบการณ์ยังน้อยในการปกครอง แต่ 2 คนนั่นก็เป็นครูสอนบทเรียนของผม จนไม่มีใครจากไปอีกเลย อยู่กันจนถึกครับ
รวยก็รวยด้วยกัน จนก็จนด้วยกันครับ มันเป็นอย่างไร ถ้าใครอยากทราบก็ถามมาได้ ผมยินดีจะบอกวิธีการกระจายรายได้/รายขาดทุนของบริษัทผมให้ทราบ ว่าทำไมทุกคนจึงพอใจและทำเต็มที่เสมอมา แต่ขอให้ถามก่อนนะครับ ผมเป็นคนเล่ายาว เกรงใจเจ้าของ Blog
เริ่มจาก แค่เปิดเผยชื่อบริษัทก่อนดีมั๊ยครับคุณจริงใจ?
ขออนุญาตสงวนครับ
ไม่ประชาสัมพันธ์เพราะไม่เป็นสิ่งจำเป็น/ต้องการครับ
Team ผมมีแต่ Specialist ที่ต้องหนีงานกันแล้ว จึงขอสงวนจริงๆ ครับ
ให้ได้เหลือเวลาในการได้ใช้ชีวิตส่วนตัวกันบ้าง
ผมใช้นโยบายเน้นคุณภาพคน ให้สมกับค่าสมองของแต่ละคนที่ผมใช้ตีราคาในการคิดต้นทุนสมองใน Project คือ 2,000USD ต่อวัน/คน บุคคลากรคนสุดท้าย ตอนนี้เป็นหนุ่มที่สุดที่ผ่านเข้ามาได้คือเมื่อ มีนาคม ปีที่แล้วพอดี ที่สาขาเวียงจันทน์ (แต่ละประเทศ จดทะเบียนด้วยชื่อไม่เหมือนกันในภาษาท้องถิ่น แต่ความหมายทำนองเดียวกันในภาษาอังกฤษ) ส่วนคนก่อนหน้านั้นคือปี 2544 ถ้าจำไม่ผิด (หรืออาจจะ 45)
ผมเก่ง จนสามารถหยิ่งและจองหองได้ครับ และนี่ยังหมายถึง สิ่งเหล่านี้อยู่ในวัฒนธรรมขององค์กรด้วย
ผมไม่ได้พูดว่า "เหนือฟ้า...ไม่มีฟ้า" นะครับ
ใช่คุณจักรนันท์ที่ ทำบริษัทประมาณ hardware , embeded
รวมถึงตอบใน forum ของ linux tle รึเปล่าครับ?
(ผมอาจจะต้องเปลี่ยนสรรพนามจากคุณเป็นอย่างอื่นซะด้วยมั้งเนี่ย ห่างกันหลายรอบเลยทีเดียว >.<)
ใช่ครับ
ถ้าบริษัทเล็กๆมันก็ทำได้ครับ แต่ถ้าขยายเป็นบริษัทใหญ่ๆ มีพนักงานจำนวนมากคงทำแบบนั้นไม่ได้ (ประมาณว่าพนักงานแต่ละคนไม่สามรถรู้จักกับเพื่อนร่วมงานได้ครบทุกคน)
ถูกต้องครับ ถ้าขยายบริษัทเมื่อไหร่ จะไม่สามารถปกครองแบบ Family ได้อีกต่อไป
Layer การปกครองจึงต้องเกิดขึ้นครับ
ดังนั้น การไม่ขึ้นหลังเสือของผม จึงใช้วิธี Outsource เมื่องานไปถึงจุดหนึ่ง เพื่อจำกัดการเจริญเติบโตภายในให้อยู่ในความสามารถของจำนวนบุคคลากรที่มีอยู่รับได้ เน้นเพื่อรักษาสภาพความมั่นคงของบริษัทแทน และผลของการ Outsource คือเกิดพันธมิตรทางธุรกิจขึ้นมา แทนที่จะอาณาจักรจะใหญ่โตจนรักษาความอบอุ่นเอาไว้ไม่ได้
การสร้างธุรกิจเพื่อความมั่งคั่งและการสร้างธุรกิจเพื่อความมั่นคง เป้าหมายไม่เหมือนกันครับ
เจตนาแรกของผู้ก่อตั้งเป็นเช่นไร ถ้าไม่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยและวิถีวัตถุ วัฒนธรรมองค์กรก็จะคงอยู่เช่นนั้นครับ
25 ปี เจตนาผมยังเป็นเช่นเดิมที่เคยตั้งใจ ตราบจนผมสิ้นลมหายใจไป หลังจากนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรมการที่คุมหางเสือต่อไปครับ
+1 เป็นแนวคิดที่ดีครับ ผมว่าบริษัทใหญ่ๆที่เน้นแต่ความทั่งคั่ง ทำงานเหมือนพนักงานเป็นแค่เครื่องจักร ยิ่งทำงานไปนานๆ พนักงานชักเริ่มสงสัย นี่ตูเกิดมาเป็นคน หรือเป็นแค่วัตถุชิ้นหนึ่งกันแน่
ส่วนใหญ่บุคลากรในบริษัทเป็นเครือญาติกันรึเปล่าครับ
ไม่ครับ ไม่มีญาติเลย
ผู้ถือหุ้นมีน้องสาวผมแค่คนเดียว ซึ่งเป็นหมอ และไม่เคยได้ร่วมงานใดๆ เพราะผมใช้ชื่อเข้ามาร่วมตั้งแต่จดทะเบียนก่อตั้ง ซึ่งตอนนั้นก็คิดในทำนองเผื่อแผ่น้อง
ตัวน้องสาวเอง ก็มี Clinic มีธุรกิจเป็นของตนเอง มีครอบครัวของตนเองอยู่แล้ว แต่ผมก็คงคาไว้อย่างนั้นจนปัจจุบัน
อีกอย่างคือ ที่จริงยอมรับครับ ว่าราวสองปีแรก พยายามรวมญาติเข้ามาทำงานด้วยกัน เพราะน้องชายผมก็วิศวกรเหมือนกัน เครื่องกลคนหนึ่ง คอมพิวเตอร์คนหนึ่ง ซึ่งทำให้ได้ประสบการณ์ว่า เมื่อจะปกครองแบบ Family ในบริษัทแล้ว ไม่สามารถให้มีคนจาก Family จริงๆ ของผู้มีอำนาจในกิจการเข้ามาอยู่ร่วมได้ครับ เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไร ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกของผู้อื่น ว่าไม่เท่าเทียมกัน ออกไปได้ (Real family member != Team member) อีกทั้งทำอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้คนในครอบครัวเราเองนี่แหละ ลดการคิด/ทำ/วางตัวพิเศษกว่าคนอื่นไปได้อย่างสนิท สำหรับตัวผมเอง ทำอย่างไรก็ต้องมีเผลอ Spoil ญาติออกไปบ้างเหมือนกัน
หลังจากได้ประสบการ์ณแล้ว ธุรกิจพี่ๆ น้องๆ ผมจะสนับสนุนกันในเรื่อง Consulting, Investing และ Supporting เฉพาะทางที่แต่ละฝ่ายถนัด แต่ไม่เข้าไป Involve ใดๆ เลยในการดำเนินธุรกิจ ถือว่าเป็น Out source ซึ่งกันและกันครับ เราระวังการวางตัวไม่ไปทำให้เกิดโอกาสเสียการปกครองในอาณาจักรของแต่ละคนครับ
ญาติทั้งหมด Individual own kingdom setup ทุกคนครับ ไม่เคยมีปัญหากัน ไม่มีทะเลาะเบาะแว้ง ตอนปีต้มยำกุ้ง พวกเราไม่สะเทือนเลยสักนิด เพราะหนุนกันครับ ไม่มีปีไหน ที่ธุรกิจทุกอย่างย่ำแย่ ปีไหนสิ่งใดไม่ดี อีกหลายสิ่งมันก็ดีถึงดีมาก ทำให้เวลาที่คนอื่นคุยเรื่องธุรกิจการเมืองกับผมแล้วจะรู้สึกหมั่นไส้ผมได้ง่าย ที่ผมมักแสดงความเห็นเหมือน "ไม่ยี่หระใดๆ" เพราะผมทำสำเร็จและรู้จัก "ความสามัคคี" ในชีวิตแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่พูดเป็น
ขอบคุณครับ อ่านเพลินดี
+1
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ผมว่ามันก็เป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทที่ใช้ facebook ในการทำงานหารายได้นี่ครับ ไม่เห็นจะแปลก
เช่นพนักงานตอบคำถามการใช้งานสินค้าผ่าน facebook หรือพนักงานประสาสัมพันธุ์ โฆษณาส่งเสริมการขายผ่าน facebook
คนเหล่านี้ต้องทำงานอยู่แต่หน้า fascbook ทั้งวันอยู่แล้ว มันก็ไม่แปลกที่บริษัทจะขอดูหน้า profile เพื่อประเมินว่าจะรับ หรือไม่รับเข้าทำงาน
ที่สำคัญหากพนักงานไปด่าบริษัทตัวเองใน facebook ก็มีแต่เจ๊งกับเจ๊งล่ะครับ
ปล.อันนี้ผมเดาเองนะว่าเป็นกรณีที่ตำแหน่งงานต้องใช้ facebook ในการทำงาน
"ปล.อันนี้ผมเดาเองนะว่าเป็นกรณีที่ตำแหน่งงานต้องใช้ facebook ในการทำงาน"
ไม่เกี่ยวครับ เค้าแค่ต้องการป้องกันไม่ให้ด่ายริษัทแบบกระจายเสียงแค่นั้น
บอกแล้วก้อเปลี่ยนทีหลัง หุหุ