จากข่าว สมัครงานในสหรัฐฯ อาจจะต้องยอมให้รหัสผ่าน Facebook ตัวเองกับนายจ้าง มีคดีของคนที่เคยถูกไล่ออกเพราะไม่ยอมให้รหัสผ่าน Facebook มาแล้ว
คดีนี้เป็นของ Kimberly Hester ผู้ช่วยครูโรงเรียนประถมในรัฐมิชิแกน โดยเธอโพสต์ภาพถ่ายของกางเกงเพื่อนร่วมงาน (เข้าใจว่าเป็นผู้ชาย) รอบๆ ข้อเท้าของตัวเอง พร้อมข้อความบรรยาภาพว่า "Thinking of You" ทั้งหมดโพสต์นอกเวลางาน
ปรากฏว่ามีผู้ปกครองซึ่งเป็นเพื่อนของ Hester ใน Facebook ไปพบภาพนี้เข้า และทำเรื่องร้องเรียนว่าเป็นภาพไม่เหมาะสมไปยังทางโรงเรียน Lewis Cass Intermediate School District ต้นสังกัด ซึ่งเจ้าหน้าที่ของโรงเรียนก็ขอรหัสผ่านเข้า Facebook ของ Hester เพื่อเข้าไปตรวจสอบ 3 ครั้งแต่เธอปฏิเสธทุกครั้ง
ทางโรงเรียนจึงใช้มาตรการเด็ดขาดกับ Hester โดยเสนอให้เธอพักงานแบบได้เงินเดือน (และภายหลังก็ให้ออก) ซึ่งทาง Hester ก็ตัดสินใจฟ้องโรงเรียน และสู้คดีเต็มที่ โดยเธอบอกว่าไม่ได้ทำอะไรผิด และไม่มีวันจะอนุญาตให้โรงเรียนเข้ามายัง Facebook ของเธอด้วย
ที่มา - ZDNet
Comments
สนับสนุนผู้ช่วยครูครับ !
+1
+256
"Those who make peaceful revolution impossible will make violent revolution inevitable." JFK.
สนับสนุนครับ มันเป็นสิทธิส่วนบุคคล Privacy ของ Facebook ก็บอก แบบนั้น
เป็นผมให้ตายไงก็ไม่ให้หรอก ไล่ออกก็เอา ถ้าจะละเมิดกันขนาดนั้นก็นะ
-ให้ไป
-แจ้งความว่าถูกข่มขู่ให้เปิดเผย
-ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก รร.
+750,000,000 ทุกคนใน Facebook เอาใจช่วย
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ก็ดูกันไป ลูกขุนจะว่าอย่างไร
ละเอียดอ่อนมากนะครับเรื่องนี้
แต่ผมเห็นด้วยกับครูนะครับที่ฟ้องโรงเรียนกลับ คือครูจำนวนไม่น้อยก็รับแอดเฟรนเด็กเพราะว่าเห็นว่าสนิทกันและอีกจำนวนไม่น้อยก็ไม่รับแอด ผมคนนึงละไม่รับแอดเด็กนักเรียนแน่ๆ
แต่ก็เข้าใจหัวอกนายจ้างนะครับว่าบางเรื่องมันอาจจะทำให้เสื่อมเสียกับองกรณ์ได้ ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะมีการพยายามตรวจสอบเพื่อปกป้อง แต่ทางออกเนี่ยมันละเมิดลูกจ้างเกินไปหน่อยละ
ผมว่ามันเป็น account ส่วนตัวนะครับ
ไม่ใช่ account ของ โรงเรียน หรือ สมาคมครู
รวมถึงมันยังไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย หรือ ผิดศีลธรรมด้วย
+1
ลูกจ้างโพสต์รูปหรือเขียนข้อความในพื้นที่ส่วนตัว ว่าไปทำอะไรกะใครมา หรือว่ากำลังคิดถึงใคร มันถึงขั้นทำให้องค์กรเสื่อมเสียขนาดนั้นเชียวเหรอครับ
กรณีนี้ ถ้าผู้ช่วยครูคนนั้น โพสต์รูปส่วนตัวที่เด็กไม่ควรจะได้เห็นจริงๆ อย่างมากที่สุดสิ่งที่ โรงเรียน/ผู้ปกครอง ควรจะทำคือ ขอให้ นักเรียน/ผู้ปกครอง unfriend จากผู้ช่วยครูคนนั้นซะ
มันไม่ได้เกี่ยวกับภาพลักษณ์ขององค์กรอย่างเดียวครับ
มันเกี่ยวกับการเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมให้กับเด็กๆ ที่เป็นลูกศิษย์ด้วย
จริงๆ แล้วผมไม่เห็นด้วยนะ ที่ครูจะโพสท์ภาพอะไรล่อแหลม ในกรณีที่ครูรับพ่อแม่ หรือลูกศิษย์เข้าเป็นเพื่อน เห็นชัดๆ ว่ามันเสี่ยงอยู่แล้วที่จะเกิดแรงต้านครับ ไม่ว่าจะทำในเวลางาน หรือนอกงานก็แล้วแต่
ตัดปัญหาด้วยการไม่รับเป็นเพื่อนไปเลยก็ดีครับ หรือจะตั้งไว้ไม่ให้ใครเห็นก็ดี ตำแหน่ง/หน้าที่บางอย่างก็ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมสูงกว่าระดับปกติครับ
ส่วนการที่โรงเรียนจะมาขอพาสเวิร์ด ... เป็นผมก็ไม่ให้ครับ ไล่ออกก็ได้ แต่ผมคงตอบโต้เหมือนกับครูคนนี้ แล้วก็จะบอกทาง FB ด้วย
อันนี้สมมติว่าผมเป็นครูที่ USA อ่ะนะ อยู่ในไทยฟ้องไปก็เท่านั้น
ต้องตัดปัญหาด้วยการที่บอกว่าไม่มีเฟส หรือไม่งั้นก็สมัครอีกบัญชี ถ้าผู้ปกครองแอดมาคือพลาดแล้ว เขาแอดมาแล้วไม่รับมันจะดูน่าเกลียด อย่างน้อยคนแอดก็ต้องมีขุ่นๆในใจอยู่บ้าง
วิธีการคือ ปรับโปรไฟล์เป็น private จากนั้นก็ไปปรับ timeline ไม่ให้แสดงอะไรมั่วๆ (ถ้าใช้ timeline)
แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาการรับเป็นเพื่อนแล้วครับ อ้างได้ว่าไม่ได้ใช้นานแล้ว หรือจะอ้างอะไรก็แล้วแต่ ผมว่าอเมริกันชนยอมรับฟังเหตุผลนะครับ
ยกเว้นว่าคุณพ่อคุณแม่ ดันเป็นเพื่อนของครูมาก่อน
คิดถึงคดี ikea ที่ลงเว็บดราม่าไป คนไทย(ที่เขียนในโปรไฟล์ว่าทำงานที่ ikea เยอรมัน) เขียนวิจารณ์นโยบายเศรษฐกิจพอเพียงในเฟสบุ๊ค, ikea ไทย โดนด่าเละ
Facebook ทำให้ทุกคนกลายเป็นบุคคลสาธารณะกันได้ง่ายๆเลย ถึงจะไม่ได้ add friend กันไว้แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ไม่รู้วิธีตั้งค่าความเป็นส่วนตัวหรอก ทำให้รูปส่วนตัวต่างๆสามารถดูได้ทุกคน
"กางเกงเพื่อนร่วมงานรอบๆ ข้อเท้าของตัวเอง" พยายามนึกภาพตาม กางเกงอยู่รอบข้อเท้า สงสัยเอากางเกงมามัดข้อเท้าไว้รึยังไง
ผมก็งงอยู่ตั้งนาน น่าจะใช้แบบนี้จะเข้าใจง่ายกว่า "กางเกงของเพื่อนร่วมงานกองอยู่ที่ข้อเท้าของตัวเอง"
ถ้าครูชนะก็จะกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคมไปเลย
สนับสนุนเต็มที่ครับ สิทธิส่วนบุคคล อย่ามาละเมิดกันเลย
ป.ล. ข้อความนี้โพสท์ในเวลางาน อิอิ
ผมยังไม่แอดเฟซบุ๊กเพื่อนร่วมงานซักคนเลยครับ ขนาดบ้านติดกัน :3
ผมก็ว่าจะไม่รับ Add ใครง่ายๆ แล้วครับถ้าไม่สนิทจริงๆ
ช่วงนี้พยายาม unfriend คนออกไปเรือยๆ
เพราะไอ้เกม Social นี่หล่ะ ทำให้มีเพื่อนเยอะ น่าเบื่อมาก
มีพันกว่าคนเซ็งสุดๆ
ทำไมคดีปัญญาอ่อนจัง -_____-"
ลองข้ามไปอ่านข่าวที่มีสาระดีกว่ามั้ยครับ :D
แนะนำให้ข้ามไปอ่านของวันอาทิตย์ที่ผ่านมาน่าจะเหมาะครับ สาระอัดแน่นมากๆๆๆๆๆ
โรงเรียนเยอะอ่ะ น่าจะเป็นที่ผู้ปกครอง
ผมเองก็เป็นครู และเคยมีปัญหาเรื่อง Facebook เหมือนกัน
Educational Technician
ผมรอฟังอยู่ครับ เล่าเลยครับ :D
"tell me about it" #แซว 55
ปล. พี่เสก(ไฮโซ) คอมเม้นเยอะนะครับ น่าจะติด top10 แล้วมั้งเนี่ย ^^ โดยเฉพาะข่าวนี้ สงสัยว่ามีอะไรพิเศษกับ "ครู" หรือเปล่า :D
@ Virusfowl
I'm not a dev. not yet a user.
"Tell me about it" กับ "You don't say" เป็นแสลงที่ผมคิดว่าใช้ยากที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ
Tell me about it จะหลอนผมไปอีกหลายปี
ปอลอที่หนึ่ง ผมชอบฟังเรื่องเล่าน่ะครับ
ปอลอที่สอง ผมติดอันดับสี่แฮะ
Ethical Issue
FREE FOR ALL
แม่พิมพ์ของชาติน่าจะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีหน่อย แต่เรื่องขอ พาสเวิร์ดเนี้ยโรงเรียนเองก็ไม่ไหวนะ
ในแง่ของสิทธิส่วนบุคคล ก็หวังว่าเธอคงจะชนะ และคดีนี้จะเป็นบรรทัดฐานต่อไป
แต่ในแง่ของศีลธรรมแล้ว เธอเองก็ไม่ได้รักษาภาพลักษณ์ที่ดีของครู
เรื่องนี้คงต้องแยกแยะให้ชัดเจนนะครับ
คิดกลับไปกลับมาก็ละเอียดจริงๆ
-โพส Facebook ปัจจุบันเหมือนป่าวประกาศในที่สาธารณะ โพสเรื่องดีก็ดีไป โพสเรื่องร้าย(หรือส่อ)ถือว่าเสียภาพพจน์ตนเอง,ครอบครัว,องค์กร เราคงไม่อยากให้ลูกเรียนกับครูที่คุยกับใครต่อใครว่าเป็นคนเหยียดศาสนา(สมมุติ)
-ขอรหัสผ่าน Facebook ปัจจุบันเหมือนละเมิดความเป็นส่วนตัว ขอรหัสเข้ามาเหมือนขอค้นบ้าน
ในเมื่อสถานะเครื่องมือ Facebook มันเปลี่ยนไปแบบนี้ ผมว่าโพสอะไร ขำขันอะไร ถ้ารู้ตัวว่ามีคนที่ไม่ควรได้เห็นโพสเหล่านั้น จำกัดสิทธิ์ในการดูดีกว่าครับ
มีเพื่อนที่เป็นครู นิสัยห่ามๆ
เวลาโพสคุยกัน ก็ใช้ภาษาพ่อขุนราม กันเนืองๆ
อีกตัวอย่างเช่น เชฟหมีไงครับ
ในไทยอาจจะคิดว่าไม่เกี่ยวเป็นเรื่องส่วนตัว
แต่บางครั้งเกี่ยวกับ วิชาชีพเหมือนกันนะครับ
เช่น เป็นครู แล้วไปรับทำงานเป็น เด็กเสริฟ ในร้านอาหาร
มีลูกค้ามากินข้าว แล้วให้ทริป ก็คงเป็นเรื่องไม่เหมาะ ทั้งๆที่ เป็นเรื่องส่วนตัวที่จะทำอะไรก็ได้ ทำอาีชีพอะไรที่สุจริตก็ได้ แต่ในทางสังคม มันดูขัดแย้ง
นี้ขนาดทำเรื่องดีนะครับ เป็นเด็กเสริฟ แล้วยิ่ง ไปโพสอะไรไม่ดี ก็ยังไปกันใหญ่
เรียกว่า เกิดอาการ สับสน "บทบาท" เป็นกันบ่อยครับ ก็ต้องคิดดีๆ ทำอาชีพอะไรก็ต้องรับผิดชอบ บทบาทของตัวเองนอกจากหน้าที่ในอาชีพ ^^
มีลูกค้าไปกินข้าวแล้วให้ทิปนี่มันไม่เหมาะตรงไหนครับ
ให้ทริปครับ ไม่ใช่ให้ทิป :P
@TonsTweetings
tip || trip || trick || threat
คิดเหมือนกันครับ ว่าไม่เห็นจะไม่เหมาะตรงไหนเลย ครูไปรับจ้างเสริฟอาหารเนี่ย
เห็นต่างเรื่องวิชาชีพครับ
แถวบ้านมีตำรวจชั้นผู้น้อยที่หลังเลิกงานแกมาขายอาหารรถเข็น หารายได้พิเศษเพื่อครอบครัว ซึ่งอาชีพเสริมแกดูจะแตกต่างจากอาชีพตำรวจที่เป็น 'วิชาชีพ' ที่เราคิดว่าน่าจะต้องมีเกียรติ ศักดิ์ศรี(จนบางคนลำพองและลืมตัว) สามารถให้คุณและให้โทษแก่คนทั่วไปได้
แต่ผมเชื่อว่า คุณยินดีเห็นภาพตำรวจขายของรถเข็นนี้ มากกว่าตำรวจตั้งด่านรีดไถแน่นอน
เรื่องตั้งด่านรีดไถนี่ ผมไม่รู้นะ คือ บ้านเราอาจจะมีอคติกับการตั้งด่านมากไปหน่อย (ดันไปเชิดชูตำรวจที่ "ไม่เคยออกใบสั่ง" ซะงั้น)
อ.ชั้นม.ต้นผมท่านนึง หลังเลิกงานเขาไปทำงานพิเศษเป็นคนขับแท๊กซี่ ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติตรงไหน (ถึงแม้ว่าคนขับแท๊กซี่จำนวนมากทำตัวให้ไม่มีเกียรติเอง แต่นั่นก็คือเขาทำตัวเองนะ ไม่ใช่ตัวอาชีพ) ผมคิดว่าไอ้อาหารรถเข็นมันก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเกียรตินะ
ลองอ่านความเห็นผมดีๆ ผมก็มีความเห็นเหมือนคุณแหละครับ เพราะผมก็นึกนิยมตำรวจท่านนั้นจึงมาเล่าต่อ(ไม่ได้บอกว่าอาหารรถเข็นไม่มีเกียรตินะครับ) ส่วนเรื่องตั้งด่านถ้าเราส่วนใหญ่ ไม่โลกสวยจนเกินไปเราจะได้ยินเรื่อง 'ด่านเถื่อน' กันมาบ้างแล้วล่ะครับ
ผมเห็นต่างความคิดเห็นข้างบนโน้นครับ
แถวบ้านผมตั้งด่านจับหมวกกันน็อคแทบทุกวัน(แบบแจกใบสั่ง) แต่ยาบ้านี่ขายกันสบายใจยังกับขายลูกอม รวยกันไปหลายคนแล้ว จะไม่ให้อคติยังไงไหวล่ะครับ สงสัยเพราะคนขับมอไซค์ไม่พกอาวุธหรือป่าว จับง่ายกว่า กินนิ่ม
ผมเคยเจอมากับตัว นั่งแท็กซี่กับเพื่อนเมื่อห้าปีที่แล้ว คนขับรถเป็นทูตครับ ที่นั่งคนขับแขวนสูทอย่างดี กับบัตรประจำตัวทูตที่เค้าหยิบให้ดู เหตุผลที่มาขับ เค้าบอกว่าเบื่อเวลาว่างๆ ผมก็ไม่เห็นว่ามันจะกระทบต่อวิชาชีพเค้าตรงไหนนะ
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
ถ้าให้ทิปก็ไม่เหมาะครับ
ข้างบนเค้าบอกมา =_=
ถ้างั้นต้องงด Service Charge ด้วย :D
ชื่อ : Not Available at this Moment (N/A)
ยังงงๆ ว่าอะไรไม่เหมาะครับ? ให้ทิปครูไม่เหมาะ, ให้ทิปเด็กเสิร์ฟไม่เหมาะ, ให้ทิปครูที่มาเป็นเด็กเสิร์ฟไม่เหมาะ หรือยังไงครับ
คนเรามีหลายด้าน ถ้าเฟสบุคมันเชื่อม ให้คนที่เห็นเราด้านหนึ่ง ได้เห็นอีกด้านหนึ่ง มันก็มีข้อดี และข้อเสีย (แต่ผมเห็นว่าข้อเสียมีมากกว่า)
ด้านที่บางคนไม่ควรเห็น ก็ได้เห็น.... เฟสบุคนี่ ตัวดีเลย
การโพสอะไร การด่า บ่น ใครในเฟส มันสะท้อนถึงตัวเราได้ มันสะท้อยถึงความคิด วิธีคิดได้ โดยที่เราไม่รู้ตัว
ทุกๆอย่างที่เราทำในเฟส เมื่อต่อกัน มันจะเป็นตัวตนเรา (ได้)
จากที่อ่านจากข่าวรู้สึกว่าผู้ช่วยครูโพสต์ข้อรูปที่เป็นมีความลึกลับซับซ้อนของคนสองคน งงว่าทำไมไม่ส่งข้อความให้คู่รักตัวเอง ทำไมต้องโพสต์ลงwall ต้มมาม่าหาเรื่องโรงเรียนหรือเปล่า รักสามเส้าระหว่างเพื่อนอาจารย์กับผู้ปกครองต้องโพสต์ลงwallเยาะเย้อ อย่างผมถ้าจะถ้ามีเรื่องส่วนตัวผมก็ส่งข้อความเอามันส่งได้ทั้งรูปทั้งวิดีโอ
ผมเพิ่งมาคิดออก ว่าความเข้าใจในระบบเฟซบุคของคนแต่ละคนมันก็ไม่เท่ากัน
อย่างผมก็ไม่ต้องไปดูไกลตัวครับ แม่ผมนี่แหละ
ผม: แม่เข้ากูเกิลก่อนนะ
แม่: เข้าที่กูเกิล ... แล้วพิมพ์ในช่อง search ว่า google แล้วกด enter
พ่อ: อึ้ง
มันอยู่ที่ว่าคุณจะถือหัวโขนหลายใบหรือถือหัวโขนอันเดียว แต่ผมบอกได้เลยว่าไม่มีใครถืออันเดียวแน่ๆ อาชีพเป็นสถานะอย่างนึงในสังคม แต่เพื่อนและแวดวงก็อีกสังคมนึง เราจะเอาสองอย่างนี้มาตีบรรทัดฐานเดียวไม่ได้ครับ ยิ่งประมาณว่าครูยังเป็นแบบนี้แล้วจะสอนเด็กได้หรือนี่เลิกคิดไปได้เลย เพราะเวลาเราคิดกับคนต่างสถานะกันความคิดมันจะคนละอย่างเลย อย่างสมมุติคุณเป็นครูแล้วเจอเด็กน่ารัก กับเจอเพื่อนร่วมงานน่ารัก คุณจะตีหม้อกับใคร??
ขึ้นต้นด้วยศีลธรรม, จริยธรรม ... ปิดท้ายด้วยตีหม้อ
อ่านแล้วคล้อยตามดีมากๆ เลยครับ
หักมุมมาก ตามไม่ทันเลย -*-
ผมว่าครูคนนี้ก็ควรจะจัดระดับ privacy ไว้บ้าง ภาพมันล่อแหลมกับเด็กๆ ผมว่าครูคนนี้สอบตกเรื่องการปฏิบัติตัวต่อนักเรียน แต่โรงเรียนก็เกินไป ควรจะตักเตือนให้ครูคนนี้ตั้ง privacy ของภาพ ไม่ให้เด็กไม่เห็นได้เสียก่อน (จะทดลองโดยจับนักเรียนมาขึงพืดล็อกอินเฟซบุ๊กแล้วกดดูว่าเห็นภาพหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง)
บรรยา => บรรยาย
แหม ขอตรวจสอบแค่แอดไปก็ได้นี่นา หยั่มมาเนียน