Update lew: ข่าวนี้ผมได้รับอพเดตจากคุณ @Thepparith ที่เป็นนักข่าวและติดต่อไปยัง SAP Thailand ว่าเป็นทาง SAP จริงและข่าวของ Telecom Asia ผิดพลาดนะครับ ก่อนหน้าได้รับการติดต่อผมเองก็ตั้งข้อสังเกตุว่าไม่มี SAP อื่นอีก ที่ให้บริการสายไอที ตอนนี้ได้รับการยืนยันก็จะเอาข่าวนี้ลงจากหน้าแรก
จากข่าวเก่าที่ระบุว่ากระทรวงไอซีที ให้ข่าวว่าได้เลือก SAP เข้ามาทำโปรแกรมควบคุมเว็บมูลค่า 120 ล้านบาท จนเป็นหัวข้อที่มีการพูดถึงกันมาก ปรากฏว่าบริษัทผู้รับผิดชอบพัฒนาโปรแกรมนั้น เป็นบริษัทในประเทศไทยที่ชื่อ SAP เท่านั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ SAP ยักษ์ใหญ่ด้านซอฟต์แวร์จากประเทศเยอรมนีแต่อย่างใด โดยมีกำหนดเวลา 90 วันที่ต้องพัฒนาให้เสร็จและติดตั้งบนแท็บเล็ตภายในวันที่ 1 ธันวาคม
ตัวโปรแกรมไม่เพียงแต่บล็อคการเข้าถึงเว็บไซต์ที่ไม่พึงปรารถนาเท่านั้น แต่ยังทำการเก็บ log การเข้าใช้งานทุกเว็บไซต์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการระบุแผนการที่แน่ชัดว่าจะทำการติดตั้งโปรแกรมดังกล่าวได้อย่างไร ในเมื่อแท็บเล็ตทั้งหมดได้ทำการส่งออกไปยังโรงเรียนต่างๆ แล้ว นายอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.ไอซีที กล่าวในงานเซ็นสัญญาดังกล่าวว่า คงต้องขอความร่วมมือไปยังผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการควบคุมการเข้าถึงเว็บที่ไม่พึงปรารถนาด้วยจึงจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
ฝ่ายผู้ปกครองและนักการเมืองฝ่ายค้านต่างก็โจมตีโครงการแท็บเล็ตพีซีเพื่อการศึกษาไทยว่า แท็บเล็ตที่ทำการแจกจ่ายไปแล้ว ไม่สามารถบล็อคหรือกรองเว็บไซต์ใดๆ ได้เลย ทำให้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์อนาจารได้ ทั้งที่มีการกำหนดไว้ตอนชี้แจงขอผ่านโครงการต่อกรรมาธิการสภา
รมว.ไอซีทีชี้แจงถึงข้อปัญหานี้ว่า แท็บเล็ตของโครงการนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานแบบไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
ส่วนการใช้งานโดยการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตนั้น เป็นความรับผิดชอบของผู้ปกครองหรือครูเองที่อนุญาตให้มีการเชื่อมต่อได้
ที่มา - Telecom Asia
Comments
เรียบร้อยครับ :) ขอบคุณมากครับ ข่าวแรกเลยตื่นเต้น XD
ไม่ใช่แก้เป็น "Telecom Asia (อ้างอิง)" ครับ ที่ผมบอก อ้างอิง เพื่อให้รู้ว่าชื่อเว็บนั้นต้องสะกดตามชื่อเว็บของข่าวจริงๆ ดังนั้นให้แก้ชื่อเว็บที่อ้างเป็น Telecom Asia ส่วนการแทรกลิงก์ไปยังข่าวต้นฉบับเป็นตามเดิมครับ
แง่ววว เรียบร้อยครับ แอบฮาตัวเอง :)
Welcome to Contributor Club ครับ รับสิทธิ์เมนต์ไม่จำกัดทันทีครับ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ปราถนา => ปรารถนา
:) เรียบร้อยครับ
อพเดต => อัพเดต
สังเกตุ => สังเกต
ผมค้นหาชื่อบริษัท เอส เอ พี ในประเทศไทย แล้ว พบว่าที่ยังเปิดกิจการอยู่มีเพียงไม่กี่บริษัทนะครับ
อันสุดท้ายน่าจะเป็น SAP ประเทศไทยเพราะตรงทั้งชื่อย่อและชื่อเต็ม
ผมสงสัยข่าวของ Telecom Asia ว่าเอามาจากไหน เพราะกล่าวลอยๆ ย่อหน้าเดียว
lewcpe.com, @wasonliw
ข่าวแรกซอร์สก็ให้ข่าวผิดซะแล้ว XD เดี๋ยวหาอันที่น่าสนใจมาลงใหม่
ผมสงสัยว่าทำ DNS Server ให้เป็นของ ICT ไปเลยไม่ได้เหรอครับ อันไหนเป็นเว็บไม่เหมาะสำหรับเด็กก็ block ไม่ให้เข้า
คงเป็นเพราะ ที่เอา Web โป๊ เปิดบน แท็บเล็ต แล้วถ่ายรูป มาประจาน รัฐบาล ไม่ใช่เด็ก ป.1 น่ะสิครับ
ถ้าไม่ทำให้ ถึงระดับ Power User เข้าถึงได้ยาก ยังไงไม่พ้นโดนด่าแหงมๆ
ผิดกฎหมายครับ จะบล็อกเว็บต้องให้ศาลสั่ง ICT บล็อกเองไม่ได้
... เงิบ
my blog
รถผ้าป่าคว่ำกันเลยทีเดียว
โอ้โห้ ตีลังกา สีข้างถลอก ตอนหาเสียง ไม่ได้พูด ลักษณะนี้เลยนะเนี่ย
เขาเรียก "โกหกสีขาว" ครับ :)
+1
ถ้าอย่างนั้นก็ block จาก proxy server ในโรงเรียนน่าจะทำได้ (แล้วจะง่ายหรือเปล่า?)
เพราะโรงเรียนที่มี Internet ก็ต้องใช้ proxy server อยู่แล้ว
ตัว Tablet รัฐบาล ให้เด็กเอา ติดตัว กลับบ้าน ได้ครับ
มันแย่ตรง ถ้าเล่นที่บ้าน นี่แหล่ะ
พูดจริงหรือพูดเล่นครับเนี่ย ถ้าพูดแบบนั้นอะไรก็ผิดหมดนั่นแหล่ะครับ เค้าถึงบอกว่าอยู่ที่ผู้ปกครองดูแลแล้วล่ะ เคยเห็นหนังสือเรียนธรรมดา ๆ แล้วเด็กเอาปากกาวาดรูปโป๊ใส่ไหมครับ? แบบนี้ก็ความผิดคนออกแบบหนังสือเรียนที่ทำให้มันเป็นกระดาษเขียนได้หรือเปล่า?
เห... เด็กป. ๑ สมัยนี้เนี่ยสนใจเรื่องแบบนี้ถึงขนาดวาดรูปโป๊ได้เลยเหรอ? ผมจำได้ว่าตอนผมเริ่มสนใจเรื่องนี้จริงๆ เลยคือม. ๒ นะ ว่าแต่หนังสือนี่มันเข้าเว็บ(หื่นหรือเกือบหื่น)ได้เหมือนแท็บเล็ตเหรอครับ? เห็นยกมาเปรียบเทียบ
ถ้าขนาดวาดไม่เป็น คิดว่ามันจะมานั่งหาเว็บโป๊เข้าเหรอครับ? คิดแบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวหรอกครับ และที่ผมเปรียบเทียบนี่คือสมัยก่อนที่อินเทอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายแบบนี้ สื่อการเรียนการสอนที่เค้าใช้กันคือหนังสือเรียนธรรมดาถ้าคนมันจะใช้ในทางที่ผิด มันก็ทำได้อยู่ที่การดูแลของผู้ปกครอง ไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหนต่างหากครับ ถ้าผู้ปกครองไม่ดูแล หรือไปชักนำเด็ก เช่น วางหนังสือโป๊ไว้เต็มบ้าน (หรือแค่แนวเซ็กซี่ก็ตาม) หรือ ทำกิจกรรมอะไรกันให้เด็กเห็น มันก็กระตุ้นให้เด็กแอบสนใจได้เหมือนกันครับ และมันคือเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปถ้าคุณไม่คิดจะเบี่ยงเบนแบบไม่มีเหตุผลคุณน่าจะเข้าใจได้ไม่ยากครับ
โดยเฉพาะการที่เบี่ยงเบนประเด็นว่า หนังสือมันเข้าเว็บได้เหมือน Tablet หรือเปล่า อันนี้อย่าให้อธิบายเลยนะครับ
ปล.จริง ๆ ถ้าเลื่อนลงไปอ่านอีกหน่อยก็มีคนที่ออกตัวให้คุณเห็น ลองเลื่อนลงไปอีกนิดสิครับ
ผมไม่ได้ต้องการเบี่ยงเบนประเด็นครับ ผมแึค่อยากบอกว่าแท็บเล็ต กับ หนังสือเรียนในฐานะกระดาษวาดเขียนมันไม่เหมือนกัน แท็บเล็ตเป็นสื่อที่มีเนื้อหาในตัวมันเช่นเดียวกับหนังสือ วิดีโอ โทรทัศน์ ฯลฯ แต่หนังสือเรียนในฐานะกระดาษวาดเขียนนั้นต่างออกไป มันไม่มีเนื้อหาในตัวมันเช่นเดียวกับฝาห้องน้ำ กระดาษเปล่า กำแพง แอพวาดเขียน ฯลฯ ผมเลยงงว่ามันเหมือนกันตรงไหนถึงเอามาเปรียบเทียบกันได้
อืม... ที่เขียนข้างบนนี่เหมือนจะไม่ค่อยเคลียร์เท่าไหร่แฮะ งั้นเอาง่ายๆ ตรงๆ เลยละกันนะครับ ตอนนี้เรากำลังพูดถึงการป้องกันไม่ให้เด็ก"ได้รับ"เนื้อหาลามกอนาจารในแท็บเล็ต(ในอินเตอร์เน็ต) แล้วกระดาษที่เด็กเป็นคนสร้างเนื้อหาลามกอนาจารเองนี่มันเป็นสื่อลามกที่เด็กจะได้รับยังไงเหรอครับ?
ส่วนเรื่องที่ว่าใครควรดูแลเด็ก(ไม่เฉพาะเด็กป.๑) ผมคิดว่าควรทั้งผู้ปกครอง ครู และแท็บเล็ตครับ เพราะเด็กไม่ได้อยู่กับใครหรืออะไรอย่างเดียวตลอดเวลา เช่น เด็กเล่นแท็บเล็ตอยู่โรงเรียนก็ให้ครูดูแล, เด็กเล่นแท็บเล็ตอยู่บ้านก็ให้ผู้ปกครองดูแล, เด็กเล่นแท็บเล็ตคนเดียวก็ให้แท็บเล็ตดูแล, หรือเด็กไม่ได้เล่นแท็บเล็ตแต่ดูทีวีอยู่บ้านก็ให้ผู้ปกครองดูแล, เด็กเล่นคอมอยู่โรงเรียน...ฯลฯ ของแบบนี้ไม่ควรเกี่ยงกัน "ถ้า"เราคิดว่าอนาคตของชาติสำคัญก็ต้องช่วยกันดูแล
@oooki ผมพูดถึงเด็กป.๑ ธรรมดาทั่วไปนะ อันนั้นมันเด็กป.๓ ไม่ธรรมดาทั่วไปแล้ว - -"
ก็ถ้าคุณอ่านที่ผมพิมพ์ตอบคนข้างบน คุณก็น่าจะเข้าใจนี่ครับว่า ถ้าเค้าถึงขนาดบอกว่าเอา Tablet กลับบ้านแล้ว รัฐบาลต้องรับผิดชอบที่จะทำยังไงให้เด็กเข้าเว็บโป๊ไม่ได้ด้วยนี่มันก็เกินไปหน่อยแล้ว ซึ่งถ้าอ่านจากที่คุณพิมพ์ด้านบน คุณก็ไม่น่าจะติดใจอะไรนี่ครับ?
ส่วนที่ยกตัวอย่างหนังสือ ก็เพราะก่อนที่เค้าจะแจก Tablet เด็กก็เรียนในหนังสือไงครับ ผมจึงบอกว่า ถ้าบอกว่าการที่รัฐบาลคิดจะเอา Tablet มาให้เด็กใช้แล้วต้องคิดถึงขนาดนั้น คนที่คิดว่าจะเอาหนังสือมาให้เด็กใช้เรียนก็ต้องโดนตำหนิเหมือนกัน เพราะเด็กก็สามารถเอามาใช้ผิดวิธีได้เช่นกัน สังเกตว่าประเด็นที่ผมโต้แย้งเขา คือ การป้องกัน "การใช้ผิดวิธี" ไม่ใช่เรื่อง ของที่เค้าแจกมา "ใช้ทำอะไรได้บ้าง" ผมจึงบอกว่า คุณเบี่ยงเบนประเด็นไงครับ ซึ่งถ้าคุณจะไปแง่นั้น หนังสือ กับ Tablet มันก็ไม่เหมือนกันหรอก
และที่คุณไปโต้แย้งอีกคนนั่นก็เหมือนกัน คุณบอกว่า "เด็ก ป.1 สมัยนี้..." เท่านั้นนะครับไม่มีคำว่า "ธรรมดาทั่วไป" พอเค้าบอกว่ามีตัวอย่างถึงจะไม่ตรงเป๊ะทีเดียว ก็ไม่ถึงกับต้องค้านขนาดการเทียบคำต่อคำแล้วมาแย้งว่าผิดหรอกครับ อย่างน้อยอายุของเด็ก ป.1 มันก็มีโอกาสบวกลบได้อยู่แล้ว เช่นเดียวกับสมัยคุณเรียนหนังสือที่เพื่อนร่วมชั้นคุณก็อาจอายุมาก-น้อยกว่าคุณ 1-2 ปี มันเป็นเรื่องปกติครับ
และถ้าถึงขนาดต้องจำกัดว่า ป.1 "ธรรมดาทั่วไป" ขนาดนั้น แสดงว่า ป.1 บางคน หรือ ป.อื่น ๆ จะเข้าเว็บโป๊ก็ไม่มีปัญหาใช่ไหมครับ?
ตอบย่อหน้าหนึ่ง : ถูกแล้ว ผมไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องเกินไปหรือไม่ในความเห็นของคุณตั้งแต่แรกแล้วครับ ส่วนในความเห็นของผมคือไม่เกินไป ผมไม่กังวลว่าเด็กจะเข้าเว็บโป๊โดยตั้งใจหรอก เพราะคิดว่าเด็กขนาดนั้นคงไม่ประสีประสาอะไร ผมกังวลว่าเด็กจะไปเจอเนื้อหาลามกอนาจารโดยไม่ตั้งใจมากกว่า อย่างน้องผมไปหารูปการ์ตูนในกูเกิ้ลแต่ดันมีรูปลามกติดมาในผลการค้นหาด้วยซะงั้น (ตอนนี้ไม่ติดมาด้วยแล้ว เพราะเปิดระบบกรองเรียบร้อย - -") ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าเด็กป.๑ มีพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างไรบ้าง แต่เชื่อว่ากันไว้ย่อมดีกว่าแก้
ตอบย่อหน้าสอง : ถ้าคุณเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการสื่อแล้วก็ขอบคุณครับ แต่เรื่องประเด็นโต้แย้งนั่นผมขอสารภาพตามตรงว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจครับ ขอความกรุณาขยายความอีกซักหน่อยนะ
ตอบย่อหน้าสาม : ไม่ถึงกับโต้แย้งครับ ผมแค่ย้ำเฉยๆ ว่าผมกำลังพูดถึงเด็กป.๑ และเป็นเด็กธรรมดาทั่วๆ ไป ที่คุณพูดเรื่องความต่างของอายุนั่นก็ถูกครับ แต่ที่ผมคิดว่าต่างมากไม่ใช่อายุแต่เป็นพฤติกรรม เพราะงั้นถึงได้ใช้คำว่า"ธรรมดาทั่วไป"ต่อท้ายไงล่ะ หรือก็คือผมไม่ได้คิดว่าเขาพูดผิด แต่คิดว่าเขาพูดผิดที่ครับ เพราะผมคิดว่ามันต่างกันพอสมควร อันนี้คือถ้าเขาตอบผมนะ แต่ถ้าเขาบอกเฉยๆ ว่าเด็กแบบนี้ก็มีนะ อันนี้ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรและขอบคุณสำหรับข้อมูล :) ส่วนทำไมถึงบอกว่าหมายถึงเด็กป.๑ ธรรมดาทั่วไป นี้ผมคิดเอาเองครับว่าคนที่อ่านแล้วต้องนึกถึงเด็กป.๑ ธรรมดาทั่วไป ถ้าผมคิดผิดก็ขออภัยด้วยที่ไม่ได้เขียนให้ชัดเจนแต่แรก
ตอบย่อหน้าสี่ : ผมคิดว่าวิธีการป้องกัน/ความคุม 1 วิธีเหมาะกับเด็กที่มีพฤติกรรมแบบหนึ่งหรือใกล้เคียงเท่านั้นครับ ถ้าเด็กมีพฤติกรรมแบบอื่นที่ต่างออกไปก็ต้องใช้วิธีป้องกัน/ควบคุมแบบอื่นที่ต่างออกไป
มีประเด็นอะไรเพิ่มเติมก็มาเถียง..เอ๊ย! แลกเปลี่ยนความเห็นกันได้เรื่อยๆ เลยนะครับ ผมจะได้ถือโอกาสนี้ฝึกเรียบเรียงความคิดให้เป็นระบบระเบียบไปด้วยเลย ;D
เคยเห็นเด็กป.สาม วาดรูปโป๊เฉพาะจุดลงหนังสือเรียนครับ รายละเอียดครบยังกับลอกลายมา
เคสนี้เมื่อสิบกว่าปีก่อน
ถ้าจากประโยคด้านบน ตัดไวไฟออกไปเลยก็ได้ครับ --"
ใครก้อได้ช่วยเอา Tablet ที่แจกฟาดปากไอ้คนแถ ให้หน่อยครับ เอาตรงขอบนะ อย่าเอาด้านจอฟาด เสียดายของ
พูดมาได้ว่าไม่ได้ออกแบบให้ต่อเครือข่าย
Tablet เปนอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย ในตัวมันเองอยู่แล้ว
Destination host unreachable!!!
เงิบจริงๆ ถ้าออกแบบมาให้ใช้งานแบบไม่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต แล้วจะทำ LSystem ทำไม
เอิ่ม...
แต่ดูจากข่าวอื่นๆค่าจ้าง 120ล้านเชียวนะครับ
บ.เล็กๆไม่น่าจะได้มูลค่าขนาดนี้
สบายหู สบายตา :P มีรถหลายคันนน >< พนักงานรวยถ้วนหน้า แฮปปี้เดินพาราก้อน :P
สงสัยจะเอาไว้ใช้แค่ให้เด็ก ป.1 ดูรูปบนหน้าจอแล้วจิ้มๆ ไหลๆ เปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ
เหยดดดด !
ไหลไปได้เรื่อย ๆ - -"
ตอนร่าง TOR นี่ไม่มีเรื่อง Parental Control เลยสินะ
TOR นี่มัน ใช้หลบเซ็นเซอร์ครับ ;)
ล้อเล่นนะครับ
NECTEC ก็ทำได้ไม่เห็นต้องจ้างให้แพงเลย
นั่นซิ
O_o software อะไรหรือครับ 90 วัน 120 ล้าน
เงิบเลยทีเดียว ตั้งชื่อ Anti-Virus ตรงกับชื่อบริษัทยักษ์ใหญ่
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ตกลงบริษัท SAP ที่ว่าคือบริษัทอะไรครับ
ผมอ่านข่าวแรก คิดไปถึง SAP เลยทีเดียวเชียว
ผมว่างานนี้ ซวยครับ ถ้าบริษัทนี้ เป็นบริษัทที่... ตั้งขึ้นมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ เพื่อ... เหมือนที่ผ่านมา
เพราะชื่อมันดันไปเหมือน ยักษ์ใหญ่ด้าน ERP ที่คนรู้จักเยอะ ...คราวนี้ เป้ามันจะชี้ไปว่า ใครฟะ บริษัทนี้ เอ็งมาได้ยังไง
..: เรื่อยไป
บอกได้แค่ว่าอิ่มครับงานนี้
ไม่เกี่ยวกับข่าว แต่อยากบ่น
คือว่า เด็กประถม 1 มันมีความรู้สึกกับภาพอนาจารแล้วเหรอ? ใครกันแน่ที่เอาของเด็กไปเปิดเนี่ย? -_- เฮ้อ..อ
:daho:
มีแล้วครับ สำหรับผมนะแล้วก็ที่ผมเคยพบเจอก็ด้วย แต่มีไม่มีไม่รู้ แต่ตอน ป 1 มีคนเอาภาพโป้มาโรงเรียนเพื่อนรุมกันเต็มเลย สรุปได้ว่าเด็กมันสนใจจริงๆ แล้วหลังจากจนใจมันก็จะเกิดการอยากลองครับ ท่านว่ามันน่าเสี่ยงมั้ยครับ เรื่องนี้ผมไม่ซีเรียสหรอกเด็กมันมีหนทางหาดูได้มากมาย แต่ผมมุ่งไปสนใจเรื่องบริษัทไม่ค่อยได้ยินชื่อได้งบ 120 ล้านมันเปป็นมายังไง ทั้งที่คอนเท็นการศึกษายังไม่เทงบให้สร้างกันเลย เหอะๆๆ
มิน่า เขาถึงต้องเซนเซอร์หัวนมโกฮัง หื่นมากเด็กสมัยนี้
Thailand’s ICT Ministry has signed off a deal to install a monitoring and web-censorship software on all the one million tablets handed out to schoolchildren worth $3.8 million (12 million baht).
กำลังงงว่าตกลงได้งบเท่าไหร่กันแน่ ?
ผมมีลูกค้ารายนึง เข้าประมูลงานระบบ Computer ของราชการที่หนึ่ง ทุกๆปีจะมีการประมูลงานใหม่เสมอ เขาจะยกเลิกสัญญากับผม แล้วเข้าประมูลใหม่ โดยใช้ชื่อบริษัทใหม่ตลอดเพื่อ ..... แล้วก็เซ็นสัญญา กับผมเหมือนเดิม .... ไม่รู้ว่า SAP นี่สไตล์เดียวกันหรือเป่า 55555
ถ้าใช่ SAP ตามข่าวนี้จริงคงถูกใจหลายคน จะได้รู้กันว่าบริษัทไทยก็ทำได้ไม่เห็นต้องง้อยักษ์ใหญ่ระดับโลก และสำหรับหลายคนคงรู้สึกผิดหวังนิดๆ นึกว่าจะได้บริการระดับโลกในราคา 120 ล้านบาท ผมเป็นพวกหลังครับ T_T
กลัวจะเป็นบริษัทเฉพาะกิจเอาสิครับ
ผมไม่ได้ดูถูกคนไทยหรือบริษัทไทยครับ แต่ผมมองว่ามันแพงไป สัญญาแค่ 1 ปี และความจริงให้เนคเทคทำก็ยังได้ครับ
ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่มไปกะข่าวที่แล้ว ไอ้เราก็คิดว่าจะมีอะไรดีๆสุดท้ายก็เข้าระบบราชการเหมือนเดิม
ผมว่าให้ รร. เค้าติดต่อ บ.ที่รับทำในพื้นที่จัดการยังจะดีกว่าอีก รายได้กระจายลงในพื้นที่ การดูแลก็สะดวกกว่า
กะแค่บล็อคเนื้อหาอนาจาร opensource ทั่วไปก็เอาอยู่
ท่าจะยาวแฮะ
ต้องตรวจสอบดูความเกี่ยวของของบริษัทนี้กับคนในรัฐบาลนะ ถ้า 120 ล้านจริง ก็รวยกันไปเลยทีเดียว
ICT งวดหน้าโดนอภิปรายแหงม
จะตายก็ ตายที่ระบบราชการไทยอะนะ รื้อระบบใหม่ คนเสียผลประโยชน์เยอะ
จากที่ผมได้สอนนักเรียนมานะครับ ไม่ใช่ ป.1 แต่เป็น ม.1
โรงเรียนต่างจังหวัด ประจำอำเภอหนึ่ง เด็กส่วนใหญ่ก็ลูกชาวบ้าน ชาวนา บุคคลธรรมดา เหมือนผมนี่แหละ
เท่าที่ผมสังเกตดู เด็กใน 1 ห้องเนี่ย ก็จะมีซัก 1 คนแหละ ที่ขวนขวายหาดูภาพอนาจารในเน็ต
ก็ไม่ใช่อนาจารแบบที่เราคิดหรอกนะครับ ก็แบบว่าวับๆแวมๆ เห็นกางเกงใน ชุดชั้นในแค่นั้นเด็กก็ตื่นเต้นกันแล้ว
รูปดาราใส่สั้นมั่ง โชว์อะไรต่างๆมั่ง เด็กก็มักจะหาดูรูปดาราที่ชื่นชอบ ศิลปินที่ชื่นชอบ
ไม่ค่อยจะมีหรอกที่จะดูภาพไม่ใช่เสื้อผ้าสักชิ้น หรือภาพที่กำลังทำกิจกรรมอยู่
เด็กเปิดเว็ปไปๆมาๆ ก็คลิกไอ่ตรงโฆษณาด้านข้างน่ะแหละ ที่มันวับๆแวมๆ
พอเปิดดูได้ ก็จะเรียกเพื่อนๆมาดูกัน เพื่อนก็ลุกฮือไปดู ดูแป๊บนึง
เด็กที่เปิดก็จะโดนเพื่อนบ่น ไอ่นี่เปิดดูอะไรไม่รู้ลามกอนาจาร ประมาณนี้ แล้วเค้าก็จะเหมือนอายๆ ก็ปิดไป
ผมก็ตักเตือน และสังเกตพฤติกรรมต่อ รายงานให้ครูประจำชั้น เพื่อบอกไปยังผู้ปกครอง
ดังนั้นผมคิดว่า เด็ก ป.1 ไม่น่าจะถึงขนาดนั้นหรอกครับ ไม่น่าจะมีความรู้สึกกับสิ่งพวกนี้
และหลานผม อยู่ ป.2 ก็เป็นเด็กเก่ง เข้าเว็ปเป็น หาอ่านอะไรเป็น เรียนดี ก็ไม่เคยเห็นจะไปหาดูเว็ปโป๊
และเรื่องที่เป็นข่าวหรือที่ว่าเปิดเนี่ย ผมว่ามันน่าจะเกิดจากบุคคลอื่น หรือเป็นเรื่องทางการเมือง
ถ้าหากเป็นการกระทำจากเด็กจริง ผมว่าเกิดจากครอบครัวและสังคมรอบข้างของเด็กที่สั่งสอนเด็กมามากกว่า
ถ้าโทษว่าโรงเรียนหรือครูสอนมาไม่ดีอีก ก็คงไล่ลงไปแหละตั้งแต่ มัธยม > ประถม > อนุบาล
และยิ่งยุคนี้ ผู้ปกครอง(บางคน)ไม่เคยมองความผิดของลูกตัวเองเลย โยนให้ครู กับโรงเรียนเสมอ
ขอโทษนะครับที่ผมมาบ่นในนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงประสบการณ์จริง ที่ผมได้เจอ ได้สัมผัสมมา
หากเกิดกระทบกับใครบางคน หรือใครอยากจะแย้งอะไรยังไงผมก็ขออภัยและน้อมรับฟัง
ผมเห็นด้วยครับ โดยเฉพาะตรงที่บอกว่า "ถ้าหากเป็นการกระทำจากเด็กจริง ผมว่าเกิดจากครอบครัวและสังคมรอบข้างของเด็กที่สั่งสอนเด็กมามากกว่า"
สุดท้ายมันอยู่ที่ "ผู้ปกครอง" นั่นแหล่ะที่จะมีส่วนช่วยแก้ปัญหานี้ได้ดีที่สุด
เด็กป.2 ป.3 ยังแก้ผ้าวิ่งเล่นกันอยู่เลยครับ ในกทม. นี่แหละ
120 ล้านเพื่อเรื่องแค่นี้อ่ะนะ แถมท่าทางจะต้องจ่ายทุกปีนะนี่
SAP=สาป
ณ โรงเรียนประจำอำเภอแห่งหนึ่งที่เปิดสอนทั้งประถมและมัธยม
ผม: โรงเรียนนี้ได้แท็บเล็ตหรือยังครับอาจารย์?
อ.ฝ่ายวิชาการท่านหนึ่ง: (ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง) ได้แล้วล่ะ ครูไม่เข้าใจว่าไอ้ของสิ่งนี้มันจะทำให้เด็กอ่านออกเขียนได้ได้ยังไง?
ผม: อ้าว ทำไมล่ะครับ?
อ.ฝ่ายวิชาการท่านเดิม: ครูไปลองเล่นมาแล้ว และคุยกับครูที่ต้องใช้สอนแล้ว เขาบอกว่ามันอาจทำให้เด็กสนุกกับการเรียนมากขึ้นบ้างก็จริง แต่นั่นขึ้นอยู่กับความคล่องของเด็กและครูด้วย แรก ๆ มันจะขลุกขลักมาก แทบไม่ได้เรียนได้สอนหนังสือกันเลย ใช้เวลาพอสมควรเลยกว่าเด็กและครูจะเริ่มชิน
ผม: อย่างน้อยพอชินแล้วก็คงดีขึ้นใช่มั้ยครับ?
อ.ฝ่ายวิชาการท่านเดิม: มันก็ใช่แหละ แต่ปัญหามันอยู่ที่โปรแกรมที่ใช้นะ ที่ผ่านมาเด็กมีปัญหาเรื่องอ่านออกเขียนได้อยู่แล้ว แต่พอเอาแท็บเล็ตมาใช้ ครูว่าปัญหามันจะหนักกว่าเดิมอีก
ผม: อ้าว ทำไมล่ะครับ?
อ.ฝ่ายวิชาการท่านเดิม: ก็โปรแกรมที่ใช้มันเป็นประเภทลาก ๆ จิ้ม ๆ รูปก.ไก่โผล่ขึ้นมา จิ้มปุ๊บก็มีเสียงอ่านให้ฟัง เด็กจะไม่ค่อยพูด (ฟังอย่างเดียว) พอแบบทดสอบก็จิ้มคำตอบ หรือไม่ก็ลากคำตอบมาวาง ครูถามหน่อยเถอะ ตอนป.1 เรามือแข็งพอจะเขียนหนังสือยาว ๆ ได้มั้ย? เด็กพวกนี้แทบไม่ได้เขียนด้วยมือตัวเองเลย เราถึงยุคที่จะพิมพ์ทุกอย่างแทนการเขียนแล้วเหรอ? ครูว่าไม่ใช่นะ ครูว่าต่อให้เด็กอ่านออก เด็กก็ไม่ค่อยจะออกเสียง แต่ที่แน่ ๆ เขียนไม่ได้แน่นอน
ผม: อ้าว แบบนี้ก็ต้องรายงานไปสิครับ
อ.ฝ่ายวิชาการท่านเดิม: (ถอนหายใจอีกเฮือกนึง) ไม่ได้หรอก ส่วนใหญ่ก็รายงานกันไปว่าเด็กมีพัฒนาการดีขึ้น เรียนสนุกขึ้นอะไรทำนองนั้น
ผม: อ้าว ไหงงั้นล่ะครับ?
อ.ฝ่ายวิชาการท่านเดิม: โรงเรียนกลัวประเมินไม่ผ่านน่ะสิ
ผม: -*-
อ.ฝ่ายวิชาการท่านเดิม: เนี่ย ครูนึกไม่ออกเลยว่าต่อไปเด็กพวกนี้ขึ้นมาระดับมัธยมที่ครูสอนแล้วครูจะสอนยังไง...
ผมรู้ครับต้องมีหลายคนคิดว่าเฮ้ย อาจารย์และโรงเรียนนี้ทำไม่ถูก ผลออกมายังไงก็ต้องรายงานไปแบบนั้น ไม่มีจรรยาบรรณเลย วูบแรกผมก็คิดแบบนั้นครับ แต่ลองคิดดูดี ๆ ครับการประเมินไม่ผ่านนี่เป็นอะไรที่รุนแรงมาก ๆ นะครับ เหมือนติด F ต้องมาสอบใหม่ --> ชื่อเสียงฉาวโฉ่ --> งบที่เคยได้จะลดลง --> ผู้ปกครองยี้ --> แห่พาเด็กไปเรียนที่อื่น --> งบที่ควรได้จากนักเรียนลดลงอีก --> สุดท้ายจะเจ๊งเอา
ถ้ามีคนบอกว่าเฮ้ย เขาไม่ได้บอกว่าการประเมินการใช้แท็บเล็ตนี้ไม่เกี่ยวกับการประเมินโรงเรียนซักหน่อย อย่าเอาไปโยงกันสิ มันก็นั่นแหละครับ คนมันจะคิดมันก็คิด สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือเสียชื่อเสียง เขากลัวว่าผ่าเหล่ารายงานว่ามันห่วย แล้วโรงเรียนอื่นดันไปคิดเหมือนกันว่ารายงานให้มันดี ๆ ไปเถอะ โรงเรียนที่ออกมาห่วยก็โดนเพ่งเล็งอีก เหมือนคุณเป็นนักเรียน อาจารย์วานให้ไปซื้อของซักชุดนึง คุณก็คงพยายามหามันมาให้ครบ ให้ดีให้ถูกใจอาจารย์ที่สุด แม้มันจะไม่เกี่ยวกับเกรดคุณ (ในเชิงนิตินัย) แต่ในใจนักเรียนลากมันไปเกี่ยวกันตั้งนานแล้ว (ในเชิงพฤตินัย) และที่สำคัญที่สุดคือถ้าผ.อ.คิดแบบนี้ซักคน ต่อให้อ.ผู้สอนจะจรรยาบรรณสูงส่งปานใด ก็คงผ่านผ.อ.ไปไม่ได้อยู่ดี (แล้วนี่ยังมีอ.คนอื่นที่เกี่ยวข้องอีกบานตะไท เช่นอ.ฝ่ายวิชาการ อ.ผู้สอนคนอื่นที่ต้องใช้แท็บเล็ตสอนเหมือนกัน)
คล้ายการสอบ NT (National Test) ผมได้ยินจากเด็กหลายคน (ที่ผมสอนพิเศษ ที่เป็นเด็กค่าย ที่ผมบังเอญรู้จัก ฯลฯ) ว่าตอนสอบ ๆ อยู่ บางทีอาจารย์ก็แอบบอกข้อสอบ หรือบอกใบ้ให้บ้าง เพราะการสอบแบบนี้โรงเรียนเป็นคนคุมสอบเอง แต่ผลสอบส่งผลกระทบกับโรงเรียนโดยตรง (เพราะมีการจัดลำดับ) แต่ก็ไม่ได้ถามเด็กเรื่องนี้มานานแล้ว ไม่รู้ยังมีอยู่บ้างหรือเปล่า
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
อยากแชร์ไปให้คนอื่นๆได้รู้บ้างจริงๆ
เบื่อเสื้อแดงที่อวยว่าtabletมันดีจริงๆ คนอื่นที่ไม่เห็นด้วยเพราะอคติ
แต่เอาเข้าจริงผมว่ามันยังไม่เหมาะ ยิ่งเด็กเล็กมันต้อง interactive ไม่ใช่ passive รับจาก tablet อย่างเดียว
ตอนที่โรงเรียนผมเริ่มสอน วิชา คอมพิวเตอร์ ก็มี Feedback จาก อาจารย์ และ ผู้บริหาร ประมาณนี้เช่นกันครับ
มันเป็นเรื่องที่คาดตั้งแต่ต้น แล้วว่าจะมี คำพูดลักษณะนี้
เพราะ เรายังไม่รู้จะนำมาใช้สอนใน ลักษณะไหน ดีต่างหาก
ตัวอักษร มีไว้ให้เด็กกดเพื่อฟังเสียง แล้วพูดตาม เหมือนที่ อาจารย์ พูดให้เด็กฟังนั่นแหล่ะครับ
แต่มีข้อดีกว่า ตรงภาษาอังกฤษ เด็กจะได้ยินเสียงแบบ Native ตั้งแต่ต้น
ในกรณีนี้ ผมรู้สึกได้ว่า อาจารย์ ปล่อยให้เด็กเล่น tablet เอาเอง โดยอาจารย์ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร หรือ แทรกเข้าไปตรงไหนดี เพื่อบังคับให้เด็ก กดและพูดตามยังไง
สมุด ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอยู่ ให้ใช้ TABLET แทนหนังสือ ผมเข้าใจว่าไม่มีคำสั่งให้ ใช้ แท็บเล็ต เท่านั้นในการสอน
การเขียน เป็นสิ่งจำเป็น แต่จากแนวโน้ม ตอนนี้ ก็จะน้อยลงเรื่อยๆ ไม่ว่าอาจารย์ จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม
และที่สำคัญ Tablet เป็นได้ทั้ง interactive และ passive ครับ(อยู่ที่ เนื้อหา โปรแกรม ที่ยัดเข้า) จริงไหม
ทำไมถึงมองว่ามันทำงานได้แค่ Passive เท่านั้นหล่ะครับ ?
มันทำงานได้ทั้ง interactive และ passive ก็จริงครับ
แต่เนื้อหาตอนนี้ผมมองว่ามันเป็นแบบ passive มากกว่านะครับ
กดรูป ออกเสียง กไก่ กด A ออกเสียง A ant มันก็ interactive แต่ผมว่ามันยังไม่พอสำหรับเด็กที่กำลังเริ่มต้น
จริงๆอยากให้มีโปรแกรม วาดตัวอักษรครับ
ก-ฮ a-z ก็ยังดีครับ
ความหมายจริงๆของผมคือ เนื้อหาล้วนๆเลยครับ แต่ตอนนี้ผมว่าเนื้อหายังไม่ชัดเจนรัดกุมเพียงพอ มันยังหลวมๆเกินไปที่จะใช้สำหรับเด็กที่เริ่มต้นเรียนหนังสือ(ไม่ใช่เรียนรู้)
+1 ครับ
+1 นั่นแหละครับ ณ ตอนนี้มันโคตรจะ passive เลยครับ
และขอย้ำอีกครั้ง ผมลืมบอกในคอมเมนต์ด้านบนว่าผมไม่ได้ต่อต้านโครงการนี้ เพียงแต่ผมมองว่ามันยังไม่พร้อม หรือไม่ก็มันไม่เหมาะกับเด็กวัยนี้ (จนกว่ามันจะพร้อม) แต่ตรงข้ามผมมองว่าอนาคตมันควรจะมาเป็นอย่างยิ่ง (ถ้ามันพร้อม)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
Tablet รุ่นสอง อัพเกรดมี S-Pen !!
อ่านดูแล้วอาจารย์ยังไม่เข้าใจว่าจะใช้มันเสริมการสอนยังไง
tabletไม่ได้ มาแทนสมุดหัดคัดลายมือ! แต่tablet มาแทนหนังสือบางส่วน
เรื่องออกเสียง ผมไม่แน่ใจว่าappตัวที่เล่น มีfunctionบันทึกแล้วพูดซ้ำไหม แต่ผมเห็นหลานอยู่อนุบาลเล่น ipad เล่นapp สอนเด็กบางตัว มันจะกดให้โปรแกรมพูดออกเสียงมาก่อน แล้วเราพูดตาม แล้วฟังซ้ำเทียบกันได้(เหมือนsound lab ยุคก่อน)แต่จะมีตัวการ์ตูนดึงดูดให้เด็กเล่นกันเพลินๆ ยิ่งเล่นเกมจำคำศัพท์ยิ่งทำให้จำได้เร็วกว่าเปิดหนังสือ เพราะมันโต้ตอบได้(ตอนนี้พูดอังกฤษได้เยอะแล้วเพราะเรียนอนุบาลห้องสองภาษาด้วย)
ตรงนี้อาจต้องให้กระทรวง จัดอบรมเรื่องการใช้สื่อการสอนแบบผสม ครูจะได้จินตนาการว่าจะใช้มันมาเสริมการเรียนรู้ได้อย่างไร หรืออาจจะปรึกษากับโรงเรียนประจำจังหวัด ที่มีห้องสองภาษา ซึ่งห้องพวกนี้บางจังหวัด ไปไกลกว่าtablet แจกฟรีแล้วครับ
เพิ่มเติมให้ฟังนิดนึงครับ มันไม่มีฟังก์ชันที่ว่า และกระทรวงได้จัดอบรมไปแล้ว นี่คือผลที่ได้จากการผ่านการอบรมมาแล้ว ผมไม่รู้ว่าครูคนนั้นห่วยเองหรือกระทรวงอบรมมาห่วย แต่นี่คือผลที่ได้ครับ
และย้ำอีกครั้ง ผมไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับโครงการแท็บเล็ต แต่ผมมองว่ามันยังไม่พร้อมดี หรือไม่ก็ให้เด็กผิดช่วงอายุ (ก็เพราะมันยังไม่พร้อมนี่แหละ)
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ผมมีความเห็นเช่นเดียวกับ ทุกท่านว่ามันยังไม่พร้อม
แต่ควรจะนำไปใช้ และ พัฒนา มันไปพร้อมกัน ตรงนี้ คือสิ่งที่เห็นต่าง
การที่หยุดใช้ เพราะ เหตุแห่งความไม่พร้อม หลายๆครั้ง โครงการนั้น จะหายไปเลย และมักจะกลับมาปัดฝุ่นใหม่ในอนาคต พร้อมการเริ่มต้นที่ 0 ใหม่
ประเทศเรามักจะเป็นแบบนี้ เสมอ จึงไม่เห็นด้วยที่จะหยุดใช้ หรือ ชะลอโครงการครับ
ส่วนไหนยังขาดก็ต้องแก้ไขเพิ่มเติมกันไปครับ การริเริ่มอะไรใหม่ๆ มันย่อมเจอปัญหาใหม่ๆ สิ่งสำคัญคือเราช่วยกันหาวิธีแก้ไข ไม่ใช่โวยวายว่าเจอปัญหาแล้วล้มเลิกไปเสียเลย
ผมว่าเราๆท่านๆ น่าจะทันยุค 386 486 กันมา แล้วน่าจะรู้ดีว่าห้องคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนในยุคแรกๆ โดนต่อต้านจากผู้ปกครองที่ไม่เข้าใจมากแค่ไหน ว่าทำไปทำไม ทำไมต้องเสียเงินค่าห้องคอมฯ(บางโรงเรียนเก็บเพิ่ม) เด็กเอาแต่เล่นเกม ฯลฯ งบก็ใช้สูง รัฐไม่มีให้ก็ต้องขวนขวายหาบริจาคกันเอา คนที่ไม่เข้าใจว่า PC ทำอะไรได้บ้างในตอนนั้น ป่านนี้ก็น่าจะเล่นคอมเป็นกันหมดแล้ว ถ้าไม่ขวนขวาย แก้ไขปัญหา อุปสรรค มันก็จะไม่มีวันพัฒนาได้ครับ
ก็ถ้าจะเลื่อนไปแจกเด็กมัธยมแทนจะเป็นอะไรไปครับ? จำนวนเด็กก็น้อยกว่า ตัวเด็กมีความพร้อมมากกว่า ตัวครูมีความพร้อมมากกว่า (อย่างน้อยครูมัธยมก็น่าจะเล่นคอมเป็นกันหมดหรือเกือบหมด แต่สำหรับครูประถมแล้วไม่ใช่) นั่นแปลว่าใช้งบประมาณน้อยกว่ามาก ระหว่างทำกับเด็กมัธยมไป ก็พัฒนา content สำหรับเด็กประถมรอไปพลาง ๆ ให้มัน inter active มาก ๆ หน่อย ไมใช่ passive โคตร ๆ แบบนี้ แถมยังได้ตัวอย่าง (ที่น่าจะดีกว่าตอนนี้) ให้ครูประถมได้พอมองภาพออกบ้างว่าจะเอาไปใช้ยังไง ไม่ได้ว่าครูประถมไม่เก่งนะครับ แต่ลักษณะเด็กมันต่างกัน การเอาไปใช้กับเด็กโต (กว่า) น่าจะง่ายกว่าเยอะ ครูประถมเห็นตัวอย่างแล้วก็นำไปคิดต่อว่ากับเด็กอายุน้อยกว่าจะทำยังไง อย่างน้อยก็ไม่ช็อคเท่านี้ ที่อยู่ ๆ ก็โยนตูมเข้ามา
พูดถึงเรื่องจำนวน พอจำนวนเด็กลดลงไปมาก (ประถม-มัธยม) ก็ไม่ต้องแจกเครื่องมาก ไม่ต้องอบรมครูมาก ไม่ต้องเสริม facility มาก (ซึ่งโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่จะพร้อมอยู่แล้ว แต่โรงเรียนประถมส่วนใหญ่ไม่พร้อมเลย) เงินส่วนที่เหลือก็เอาไปทุ่มกับการเตรียม content สำหรับเด็กประถมให้ดีก่อน พอ content และแผนการอื่น ๆ สำหรับประมพร้อมดีแล้ว (ซึ่งได้บทเรียนหลายอย่างจากมัธยม) ก็ค่อยเข็นโครงการออกมา (พูดอีกอย่างคือขยายโครงการให้ใหญ่ขึ้น) ก็ยังไม่สาย แถมตอนนั้นเทคโนโลยีก้าวไกลแล้ว แท็บเล็ตอาจกลายเป็นของสามัญประจำบ้านเหมือนคอมพิวเตอร์ยุคนี้แล้ว แรงต้านก็จะน้อยลงตามไปด้วย
แบบนี้ไม่ดีตรงไหนครับ?
ผมว่าปัญหามันเกิดอยู่แล้วเวลาเราริเริ่มอะไรใหม่ ๆ ผมไม่เถียง แต่ทำไมต้องเข้าไปเริ่มตรงตำแหน่งที่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันจะมีปัญหามากมายตามมา แทนที่จะไปเริ่มตรงตำแหน่งที่จะมีปัญหามากกว่า?
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
+1
ได้อ่านแล้วมันก็ใช่ อย่างน้อยก็เป็นความจริงจากครูคนนึง แต่ tablet นี่เค้าจัดช่วงเวลาให้เป็นเหมือนวิชาๆ นึงนี่ครับ (ผมคุ้นๆว่าประมาณนี้นะครับ) ไม่ได้ใช้เรียนทั้งวันในลักษณะแทนหนังสือเรียน
ผมเอาใจช่วยนะ ลงทุนไปแล้ว เจออุปสรรค เจอปัญหาก็ช่วยกันแก้ไขครับ ตามสถานะการณ์
ผมห่วงก็แต่การรายงานผลไปเบื้องบนนี่ ว่าจะรายงานไม่ตรงความจริง --' คงเป็นเพราะเหตุชื่อเสียงโรงเรียน บลาๆ ตามที่เล่ามา
คราวนี้ก็แก้กันไม่ตรงจุดสักที
อันนี้ผมไม่ได้ถามรายละเอียดมาเหมือนกัน แต่ประเด็นที่จะสื่อในความเห็นข้างบนคือประโยคท้ายนั่นแหละครับ รายงานไม่ตรงความจริงชัวร์ ๆ
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
ข่าวผิด?
ตรงอัพเดท lew: น่าจะทำเป็นตัวแดงด้วยดีไหมครับ?