Eric Schmidt ประธานของกูเกิลเขียนบล็อกชื่อ Rebirth of IT แสดงความเห็นว่าโลกของไอทีในองค์กรเปลี่ยนไปจากเดิมมาก จากสมัยปี 2010 ที่การพูดว่า “บริษัทควรย้ายไปใช้ระบบไอทีบนกลุ่มเมฆ” ถูกผู้คนตั้งคำถาม เพราะสมัยนั้นองค์กรยังต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปและระบบอีเมล Exchange ของไมโครซอฟท์ที่ใช้กันมานานสองทศวรรษ
ปัจจุบันนี้องค์กรเริ่มมองเห็นแล้วว่าการใช้กลุ่มเมฆจะช่วยลดค่าใช้จ่าย และตอนนี้ไม่มีใครตั้งคำถามเรื่องการย้ายขึ้นเมฆอีกแล้ว พนักงานฝ่ายไอทีไม่ต้องเสียเวลามาดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์-อัพเกรดซอฟต์แวร์อีกต่อไป และในส่วนของพนักงานที่ใช้ไอทีเองก็ประสานงานกันได้ง่ายขึ้น การแชร์เอกสารให้คน 50 คนแก้ไขพร้อมกันบน Google Docs ย่อมง่ายกว่าการส่งอีเมลเอกสารเวียนกันไปมา
แน่นอนว่าเป้าหมายของ Schmidt คือการผลักดันให้องค์กรย้ายมาใช้ Google Apps และ Chromebook กันมาก ๆ เขาก็ยกตัวอย่างองค์กรที่ใช้งานสินค้าของกูเกิลบางแห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการ Chromebook ของรัฐบาลมาเลเซียด้วย
ที่มา - Google Enterprise Blog
Comments
Rebirt of IT -> Rebirth of IT ?
อยากรู้เรื่อง โครงการ Chromebook ของรัฐบาลมาเลเซีย จัง
แล้ว Intranet ทำไง?
+1024
ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
ก็ต้องดิ้นรนกันเองครับ ^^
แซว ขำ ๆ นะ ^^
Private Cloud ?
VM ware เดินถือไมค์ออกมา, ผายมือออก, ยิ้มอย่างภูมิใจแล้วพูดว่า
"virtualization คือคำตอบครับ"
ถ้าได้ตามฝั่ง Microsoft Azure จะมีบริการชื่อ Windows Azure Virtual Network เพื่อต่อ Windows Azure ที่เป็น Cloud VM หรือบริการอื่นๆ เข้ากับ On-premises Network (Intranet) ผ่าน VPN อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ฝั่ง Microsoft เตรียมเรื่องนี้ไว้พร้อมแล้ว Virtualization ของฝั่ง Microsoft ก็มี Hyper-V บน Windows Server พร้อมเช่นกัน ;)
ถ้าระบบกลุ่มเมฆสำเร็จจริงแสดงว่าอีกหน่อยเวลาจะแฮ๊คทีคือทั่วโลกรุมยำคุณที่เดียวจบ?
ปล.ผมอ่านแล้วแอบไม่เห็นด้วยนะคือลดค่าใช้จ่ายจริง แต่มันจะคุ้มค่าเหรอกับการเอาข้อมูลสำคัญทางธุรกิจไปไว้ในมือผู้อื่นเนี่ย?
เอาจริงๆ นะ ผมว่าระบบกลุ่มเมฆปลอดภัยกว่าทำเซิร์ฟเวอร์เองอีก
ประมาณว่าแทนที่ต่างคนต่างดู ก็กลายเป็นเหมือนจ้างคนมาดูให้แทน หลายๆ คนก็ย่อมดีกว่าไม่ใช่เหรอครับ? :)
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
แต่ มันก็มองมุมกลับได้นะครับ เหมือนคอมเม้น บน ที่ว่า ถ้าเอาไว้ที่เดียว แฮคเกอร์แฮคที่เดียว ไม่รู้ข้อมูลหลุดไปกี่บริษัท :D
โลกจะเดินไปในทางนี้แต่แรกอยู่แล้ว ด้วย Thin Client แต่เปลี่ยนมาเป็น Big Data แทนก็เท่านั้น
ชมิตส์ อาจจะพูดเหมือนไมโครซอฟจะหมดความสำคัญ แต่ถ้าไปฟังบัลเมอร์พูดในเวลาใกล้กัน สองคนนี้ยังกับกางตำราเดียวกันมาพูดด้วยซ้ำ
แล้วถ้ามองว่าไมโครซอฟมี Azure ที่ไม่ด้อยไปกว่า กูเกิ้ล หรือ AWS นี่ก็แสดงว่า ทางนั้นก็ไม่ได้มองข้ามอนาคตเหมือนกัน
ปลายทาง คนที่ซวยคือคนทำงานไอทีในองค์กรนั่นแหละ จากการที่คอยคุมเซิฟเวอร์ภายใน กลายเป็นบริษัทโยนการดูแลส่วนมากไปให้กลุ่มเมฆแทน ทั้งแอพ ทั้งการประสานงาน ทั้งเอกสาร ทั้งการรองรับBYOD ที่ทางนั้นทำได้ดีกว่า
แล้วจะให้คนไอทีพวกนี้ไปอยู่ไหน?
ไม่ต้องห่วงครับ ต่อให้ไม่มี server ให้ดูแลก็ยังมีเรื่องให้ทำอีกมากครับ ทั้งเรื่อง Security, virtual network, service ต่างๆ ที่จำเป็นบน cloud, การทำ sizing, load balance หรือการ scale ระบบ เรื่องพวกนี้ end user ไม่รู้เรื่องแน่ๆ ครับต่อให้เป็น cloud ก็เถอะ มันต้องใช้ความรู้เหมือนกัน เอาง่ายๆ แค่เอาข้อมูลขึ้น/ลงจาก cloud หรือสมัครบริการ cloud สำหรับองค์กรก็ไปไม่เป็นแล้วครับ เผลอๆ งานจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำไปครับ
ผมว่ามันไปทางใดทางหนึ่งไม่ได้หรอกครับ สรุปสุดท้ายน่าจะเป็นระบบแบบผสมผสานมากกว่า
ถ้ากลัวที่จะเดินก็จงก้าวอยู่ที่เดิมต่อไปครับ
ผมว่าการบริการเซิร์ฟเวอร์กลุ่มเมฆได้ คงไม่ใช่บริษัทกระจอกๆที่ไม่ดูแลข้อมูลของลูกค้าหรอกครับ มันก็คงมีแต่เราก็ควรจะรู้จักเลือกบริษัทที่น่าไว้วางใจ
ถ้ากลัวที่จะฝากข้อมูลไว้กับคนอื่นก็จงหาคนที่มาดูแลเซิฟเวอร์เก่งๆของเราเองครับ
NSA ยิ้มเลย
อ่านข่าวนี้จบ ทำไมจินตนาการถึง
จะมี PMC ถือปืนยืนล้อม sever farm เนี่ยย
ตกลงพูดเพื่อจะขาย ChromeBook ?
ทำไมคุณคิดอย่างนั้น ผมว่าสบายจะตาย ทำงานจากที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้ บริษัทผมก็ไช้ เขาให้ลางานได้ตั้ง 2 อาทิตย์ติดกันแต่มีข้อแม้ว่างานต้องไม่สะดุด
"ทำงานจากที่ไหนเมื่อไหร่ก็ได้" ที่มีอินเตอร์เน็ต
แค่มีเวลาวันละ 3-5 ชม. รายได้ 5000บาทขึ้นไป...
กลัวแล้วครับ T.,T พลังยุทธข้าน้อยมีไม่ถึง
^^
trend ทางโลกธุรกิจมันจะไปทาง cloud แล้วสินะ (-___-) ต้องหาความรู้เพิ่มอีกละ (T^T)
ให้ตายสิ ผมไม่เคยชอบรอยยิ้มของคนนี้เลย
/ห๊ะ ไม่เกี่ยวกับข่าวเหรอ เผ่น
ถ้าเมฆโดนเจาะล่ะ ความลับภายในบริษัทอยู่ในเมฆ ไม่ใช่อะไรหรอกเพิ่งดู Now You See Mee หลอกเอาข้อมูลส่วนตัวเวลาลืมรหัสหมาตัวแรกชื่อ ญาติชื่อ บลา ๆ
อันนั้นจะมีศัพท์เทคนิคเรียกว่า social engineering ครับ คือการหาข้อมูลจากสังคมรอบๆ ด้านของเหยื่อ แล้วเอามาโจมตีอีกที
ในบล็อกนันมีข่าวเกี่ยวกับ social engineering อยู่เยอะพอควร ... ของ Apple, Amazon ประมาณนี้ครับ (จริงๆ มีศัพท์ภาษาไทยว่า "วิศวกรรมสังคม" แต่ผมมองว่าเป็นคำที่ไม่ make sense อย่างแรง)
จะแน่ใจได้ไงว่าข้อมูลทางธุรกิจของคุณจะปลอดภัยถ้าทุกอย่างอยู่บน cloud หมด
จะแน่ใจได้ไงว่าวันนึงผู้ให้บริการ cloud จะไม่กลายมาเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ
Opensource - Hackintosh - Graphic Design - Scriptkiddie - Xenlism Project
ถ้าย้ายทุกอย่างไปบนกลุ่มเมฆ ในวันนึงที่ลิงค์อินเตอร์เน็ตล่ม วันนั้นจะเศร้าในระดับที่ทำบุญ 9 วัดก็ช่วยไม่ได้
ในฐานะที่ทำงานด้าน IT และบริษัทก็พยายามขาย cloud solution มากๆ อยากจะบอกว่าไม่เห็นใครเอาไปใช้แล้วแม่งเวิร์ค หรือลดค่าใช้จ่ายได้จริงๆ เลย ถ้าจะลดค่าใช้จ่ายเอาแบบถูกๆ ก็จะได้ solution-service กากๆ, ถ้าอยากได้ดีๆ ก็ต้องจ่ายแพงๆ จะเอาตรงตาม requirement ของบริษัทเรา-ประเทศเรา ก็ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อทำ customize อีก, งานส่วนไหน cloud ไม่รองรับ ก็ต้องให้ IT ทำ app แยกออกมาอยู่ดีแล้วคุยกันผ่าน Middleware, จ่ายเรื่องระบบไม่พอยังมีการคิดเงินตามจำนวนข้อมูลที่มีการส่งไป-กลับเพื่อใช้ติดต่อกันอีก, แถมท้ายที่สุดในบริษัทก็ต้องมีทีม IT ที่ต้องคอย monitor ระบบอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่อง connection-middleware-customized apps, ถ้าระบบมีปัญหา ก็ต้องเป็นทีม IT อยู่ดีที่แก้ปัญหาในระดับ 1st-tier เพราะถ้ามีเคสวิ่งไปฝั่งนู้นเกินจำนวนแม่งก็คิดตังค์เพิ่มอีก, ข้อมูลที่สำคัญจริงๆ เอาให้ชัวร์ฝั่งเราเองก็ต้องเอามา backup เองในฝั่งเราด้วย เพราะถึงแม้ฝั่งนู้นจะการันตีว่าข้อมูลไม่มีหาย แต่ของแบบนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมาจริงๆ มันอาจเสียหายหนักจนบริษัทเจ๊งได้ (black swan theory)
มันดีจริงสำหรับบริษัทผมที่ provide solution เพราะมันกินได้ยาวๆ กินได้หลายปี มี barriers to exit สูง ลูกค้าจะงอแงเปลี่ยนเจ้าก็ทำไม่ได้ง่ายๆ, มีรายได้จุกจิกไว้ไปเรียกเก็บลูกค้าเพิ่มได้ด้วย, ราคา service ก็ชาร์จเพิ่มได้ตลอด ใส่ไว้ในสัญญาว่าจะเพิ่มราคา +5% +7% ทุกๆ 1ปี-3ปี-5ปี อะไรก็ว่าไป ฯลฯ ส่วนข้อมูลจำนวนมากที่ได้มาจากลูกค้า ถึงแม้ตาม ethic แล้วเราไม่ควรเอาไปใช้ต่อ แต่ของอย่างนี้ตัวอย่างก็เคยมีให้เห็นแล้วว่ามันเอาไปทำอะไรต่อได้บ้าง
cloud ดีจริงสำหรับผมแต่สำหรับลูกค้าที่ซื้อไป ไม่กล้าบอกจริงๆ ว่ามันดีสำหรับเค้าจริงรึป่าว!!!
-*- สรุปบริการที่บริษัทคุณขายไม่น่าใช้หรอครับ
ผมว่ามันมี case ที่ work แล้ว เราก็ควรจะเลียนแบบได้นะครับ เพียงแต่อาจจะต้องปรับเปลี่ยนระบบงานทั้งหมดกันใหญ่โตเพื่อให้มันสามารถใช้ cloud ได้เต็มที่มากกว่า
cloud น่าใช้ครับ จริงๆ ตอนนี้ airline เกือบทั้งโลกก็ใช้ cloud หรือ hosted system สำหรับ core system กันหมดแล้ว แต่ให้ลงทุน 50-100ล้าน เพื่อเปลี่ยนมาใช้ cloud ที่ google หรือ MS กำลังขายๆ กันผมว่าไม่คุ้มนะ
ถ้าย้ายเข้ากลุ่มเมฆของกูเกิลอาจต้องมาระแวงว่ากูเกิลจะแอบดูความลับทางการค้าหรือข้อมูลสำคัญเพื่อเอามาทำโฆษณา
ในหลายๆกรณี ฝากข้อมูลไว้ ปลอดภัยกว่าเก็บเองนะ(ต้องเลือกเจ้า) ไม่ปวดหัวด้วย
อ่านรวมๆ หลายความเห็น รวมกับเจ้านี้ cloud นี่เหมือนธนาคารเลยนะครับ
ปลอดภัยกว่าแม้จะมีโอกาสล้มได้ ข้อมูลเป็นของเรา เอาคืนได้ แต่เค้าเอาไปใช้ก็ได้เหมือนกัน ถ้าทางเชื่อมต่อเรากับเค้าขาดตอน ตอนนั้นก็เอามาใช้ไม่ได้
+1 ครับ คิดคล้าย ๆ กันเลย
A smooth sea never made a skillful sailor.
ผมว่าตัวชี้วัดสำคัญคือข้อมูล high confidential อย่าง HR data นี่แหละ
ถ้าทำให้คนที่ทำ HR ยอมรับความปลอดภัยจนเอาข้อมูล HR ขึ้น Cloud ได้ ข้อมูลอื่นๆก็แทบไม่ต้องกลัวว่าคนละไม่กล้าเอาขึ้นแล้วแหละ