เมื่อต้นปีที่ผ่านมาไมโครซอฟท์ประกาศหยุดซัพพอร์ต Windows XP ทำให้หน่วยงานรัฐที่มีคอมพิวเตอร์เก่าจำนวนมากต้องเริ่มหาทางอัพเกรดหรือย้ายระบบเพื่อให้สามารถอัพเดตความปลอดภัยได้ต่อไป ตอนนี้เทศบาลเมืองตูรินในอิตาลีก็ออกมาประกาศแผนย้ายพีซี 8,300 เครื่องจาก Windows XP ไปยัง Ubuntu โดยคาดว่าจะทำให้ประหยัดค่าไลเซนส์ซอฟต์แวร์ไปได้ 6 ล้านยูโร
โครงการนี้ถูกเสนอมาตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่ปรากฎว่าไลเซนส์ของ Windows XP ยังใช้งานได้ทำให้การย้ายไปลินุกซ์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการใช้ Windows XP ต่อไป แต่หลังจากไมโครซอฟท์เลิกซัพพอร์ต Windows XP ทางเทศบาลเมืองต้องหาทางย้ายระบบปฎิบัติการทำให้ Ubuntu กลายเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าขึ้นมา เมื่อเทียบกับการซื้อไลเซนส์ Windows 8
โครงการนี้คาดว่าจะใช้เวลาทั้งหมดหนึ่งปีครึ่ง กระบวนการย้ายจึงจะสำเร็จ
หน่วยงานปกครองท้องถิ่นหลายแห่งในอิตาลีเคยทดสอบการใช้งานลินุกซ์มาก่อน ขณะที่บางเมืองเมื่อย้ายไปแล้วกลับพบปัญหาจนกระทั่งเตรียมแผนการย้ายกลับมาวินโดวส์ หากตูรินย้ายมาใช้ลินุกซ์ทั้งหมดได้สำเร็จก็น่าจะกลายเป็นต้นแบบเมืองอื่นๆ ได้เพราะระบบของเมืองตูรินน่าจะเป็นการย้ายครั้งใหญ่ที่สุดของหน่วยงานปกครองท้องถิ่นในอิตาลี
เมืองในยุโรปที่มีประสบการณ์ย้ายระบบขนานใหญ่มาก่อนคือ เมืองมิวนิคที่มีจำนวนพีซีถึง 15,000 เครื่อง
ที่มา - ZDNet
Comments
เทรนนี้กำลังมา... ตูรินส่งต่อให้เมืองไหนอีก
เป็นข่าวดีมากๆ ครับ
เอาใจช่วยครับ
Ubuntu เวชั่นไหนครับ
บล็อก: wannaphong.com และ Python 3
อยากรู้ว่าซื้อ ubuntu support แต่ละเวอร์ชั่นใช้ได้ ไม่เกิน6ปี มันคุ้มกว่า windows ซื้อทีใช้10ปี เหรอ ต้องเปลี่ยนระบบอย่างน้อยรอบนึงในเวลาที่เท่ากัน
เรื่อง Backward Compatibility ถ้าเป็นยุคก่อนล่ะก็ทำใจเถอะ แต่เดี๋ยวนี้ลง Web App กันเยอะแล้วเลยไม่ค่อยปวดหัวเท่าไหร่ แต่สายอิเล็ก-เครื่องจักรยุ่งครับ
อีกเรื่องคือค่าใช้จ่ายแฝง ต้องมาอบรมโน่นนี่นั่น(เสียเงินบาน) แต่ปัจจุบัน Wiki เยอะ, Community ดีขึ้นเยอะ(ไม่มีพวกผีเจาะปากเหมือนสมัยก่อนแล้ว)
สุดท้ายก็ยังหนีไม่พ้นเรื่อง CLI เหมือนเดิม
LTS ของ Ubuntu แค่ 5 ปีเองครับ
ส่วนโปรแกรม 3rd-party หลายตัวก็ไม่พอร์ตกลับ LTS
คือผมใช้ดิสโทรที่ base จาก 12.04 อยู่ โปรแกรมหลายตัวก็เริ่มไม่ได้รับอัพเดท หรือโปรแกรมใหม่ๆ บางตัวก็เขียนมาไม่รองรับ 12.04 ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วด้วยซ้ำไป (แต่ปัญหาแบบนี้คงเกิดขึ้นน้อยกว่ากับซอฟต์แวร์ enterprise มั้ง)
คิดว่า software enterprise โดยเฉพาะพวกเสียเงินน่าจะใช้ LTS ปัจจุบันเป็นฐานน่ะครับ
และหลาย ๆ ตัวก็คงเป็น web application กันแล้ว
คุ้ม 1 ไช้ hardware เก่าใด้ไม่ต้อง upgrade
คุ้ม 2 os ถูกกว่า
คุ้ม 3 ถึงจะเป็น windows หลายคนก็ต้อง format เครื่องทุกปี
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผม format 5 ปีครั้งยกเว้นลง Win เวอร์ชั่นใหม่ คนที่ format เครื่องทุกปีนี่ผมก็ไม่รู้เขาใช้ยังไงนะ
มันจะพังเพราะติดตั้ง/ถอนการติดตั้งบ่อย ๆ ครับ ถ้าไม่ค่อยได้ทำมันก็ใช้ได้เรื่อย ๆ ถึงมันจะอืดลง ๆ ก็เถอะ (พีซีที่ทำงานผมก็ 7 ปีแล้ว)
ถ้าเก่าจัด ๆ ก็อาจจะใช้ไม่ได้ (โดยเฉพาะพวกที่โดนตัดซัพพอร์ทไปเพราะไม่มีคนดูแล) อันนี้อาจจะต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย
ไช้งานในที่นี้ คือ office 99% เก่ายังไงก็น่าจะไช้ใด้
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
กระแสในอนาคตอาจเป็น... เมือง XXX เตรียมอัพเกรดจาก Windows XP ไปยัง Chrome OS ที่ลงแอพ Android ได้...
เป็น Google อะไรก็ไม่แน่ :-)
ผมสงสัยว่า Linux เมื่อคนใช้เยอะขึ้นมันจะกลายเป็น OS ที่เปิดกว้างให้แฮกกันได้ง่ายขึ้นถ้าเป็นระบบเปิด ซึ่งประเด็นอาจมีคนช่วยดูแต่ถ้าสักคนรู้แล้วเก็บเงียบมันก็อาจเป็นอันตราย แล้วพอมันโดนแฮกไปเรียบร้อยแล้วความเร็วในการทำ Path มาอุดจะเร็วเท่าของซื้อหรือเปล่า แล้วการชดเชยจากความเสียหายในการโดนแฮกจะมีบริษัทอะไรค้ำประกันหรอครับ???
ปล.อย่างธนาคารหรือบริษัททางการเงินบางที่จะไม่ยอมใช้ตัวที่เป็น Open หรือตัวฟรีเลยเหตุผลด้านความปลอดภัย ผมเลยสงสัยว่าราชการที่ต้องมีความปลอดภัยทางข้อมูลสูงถึงกล้าลงมาใช้งานกับระบบเปิดขนาดนี้ ถ้าจะจ้างส่วนรักษาความปลอดภัยเองก็อาจจะแพงกว่าก็เป็นได้???
ผมสงสัยว่า ทั้งๆที่แฮกเกอร์ส่วนใหญ่(ตามที่ผมเข้าใจ)เขาใช้ลินุกซ์ในการแฮกคนอื่น แล้วทำไมลินุกซ์ถึงปลอดภัยกว่า ทั้งๆที่มันควรจะโดนแฮกง่ายมากๆเมื่อเทียบกับวินโดวส์ที่เป็นระบบปิด เพราะแฮกเกอร์ต้องถนัดลินุกซ์มากๆ
ประเด็นค้ำประกัน มันไม่เคยมีใครค้ำประกันใครนี่ครับ คุณซื้อ Windows แล้วแฮกเกอร์เจาะผ่านบั๊กก่อนไมโครซอฟท์ออกแพตช์ ไมโครซอฟท์ก็ไม่ได้มาจ่ายค่าเสียหายให้นะ ผมยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครรับประกันแบบนั้น
ไม่ว่าซอฟต์แวร์เปิดซอร์สหรือปิดซอร์ส มันมีคนเจอบั๊กก่อนผู้ผลิตเสมอ และผู้ผลิตใช้เวลาออกแพตช์หลังจากได้รับแจ้งบั๊กอีกระยะหนึ่งเสมอ ระบบยิ่งคนใช้มากก็มีคนสนใจตรวจสอบมากขึ้น
หลักการว่าไม่ซื้อตัวฟรีนี่คนละประเด็นกับโอเพนซอร์สหรือไม่ครับ อย่าเอามาปนกัน กรณีของธนาคารจำนวนมากซื้อ Redhat Linux ก็ไม่ได้ฟรี (แพงด้วย) เพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะได้รับแพตช์ "อย่างรวดเร็ว" ซึ่งไม่ได้รับประกันว่าก่อนที่ Redhat จะออกแพตช์ให้จะไม่มีใครโจมตีไปก่อนแล้ว ส่วนโครงการ community เช่น centos พนักงานประจำจำนวนไม่มาก อาจจะออกแพตช์ช้าหรือเร็วก็ว่าแล้วแต่โครงการ คุณอาจจะพบว่าโครงการบางโครงการออกแพตช์รวดเร็วมากไม่ต่างจากโอเพนซอร์สที่เสียเงิน
ผมพบว่าความเชื่อฝังหัวว่าระบบเปิดแล้วไม่ปลอดภัยเป็นการหลอกตัวเองของคนเสียเงินจำนวนมาก เอาเข้าจริงแล้วช่องโหว่ความปลอดภัยเกิดขึ้นได้อีกหลายที่ องค์กรจำนวนมากมีปัญหานโยบายการปล่อยแพตช์ที่ล่าช้าแม้จะซื้อมาแพงแต่กระบกวนการตรวจสอบแพตช์อาจจะใช้เวลาเป็นเดือนโดยปล่อยให้เครื่องรันอยู่บนซอฟต์แวร์ที่ไม่มีแพตช์ แบบนี้ไม่ว่าระบบจะปิดจะเปิด มันก็อันตรายไม่ต่างกัน ต่อให้ไม่เห็นซอร์ส แฮกเกอร์ก็สามารถทำวิศวกรรมย้อนกลับในเวลาไม่นานอยู่ดี
อย่างกรณีในข่าวนี้หน่วยงานรัฐที่ "ต้องมีความปลอดภัยทางข้อมูลสูง" กำลังรันระบบบนซอฟต์แวร์ที่ไม่มีแพตช์มาแล้วครึ่งปี โดยเพิ่งได้แนวทางแก้ปัญหาเมื่อเดือนที่แล้ว (และจะแก้ปัญหาเสร็จในอีกปีครึ่ง) อันนี้เป็นตัวอย่างของปัญหาว่ามันไม่ปลอดภัยโดยกระบวนการตัดสินใจ ไม่ต้องพูดนึงความเป็นไปได้ว่าโอเพซอร์สจะเจอช่องโหว่ง่ายกว่าไหม เพราะโดยกระบวนการตัดสินใจ มีคนเจอช่องโหว่แน่นอน
lewcpe.com, @wasonliw
ขอบคุณที่ให้ข้อมูลครับ ผมก็ชอบ open source นะ สำหรับเรื่องงานผมก็ใช้ Linux ส่วนเครื่องส่วนตัวมันต้องเล่นเกม>_<
แต่ก็อย่างที่คุณ Lew บอกครับ ธนาคารใช้ Redhat ไม่ได้ฟรี แล้วผมก็สงสัยว่ารัฐบาลท้องถิ่นทำไมถึงใช้ตัว open source ฟรีอะสิครับ ส่วนเรื่องค้ำประกัน ผมอาจจะใช้ค้ำผิดอะครับผมจะสื่อว่าเหมือนกับ ไมโครซอฟท์ปล่อยให้ตัวเองเสียเครดิตจากช่องโหว่นานไม่ได้ต้องรีบออกตัวอุด ต่างจากของฟรีที่คนส่วนใหญ่จะคิดว่าถ้าโดนเจาะจะให้ผลทางลบหน่อยกว่า(ประมาณว่ามันฟรีนิอย่าบ่นมาก)อะไรประมาณนี้อะครับ
ความปลอดภัยของระบบตระกูล Linux สูงกว่าระบบอื่นมากครับ การที่เป็น OS ที่ใครก็อ่านวิธีการทำงานได้ ทำให้การพัฒนาเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว preference เรื่องการ update้ื ช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานเท่านั้น
Linux ไม่ติดไวรัส ส่วนตัวผม 80% เลยครับ linux ถ้าติดตั้งได้แล้ว เครื่องนั่นก็จะคงสภาพนั่นไปเรื่อยๆ ไม่มีแอพโน่นนี่มาเปลี่ยนวิธีการทำงานของระบบ
ถ้าอยากได้ support หรือมีคนให้โวยวายเวลามีปัญหา ทุกค่ายมีครับ redhat linux มาพร้อม support, Ubuntu ก็มี support หมด
เอาง่ายๆ มันไม่มีปัญหาง้องแง้งแบบที่วินโดว์มีครับ ลบภาพของไวรัส มัลแวร์ เครื่องเจ๊ง ลง windows ใหม่ไป ที่สำคัญ ลบอคติทิ้งครับ
เดี่ยวก็มีข่าวกลับไปใช้ Windows เหมือนเดิม
เพราะ Linux มีปัญหา!!
ผมว่าคนใช้มีปัญหามากกว่า
รองผู้ว่ามิวนิกเรียกร้องให้กลับมาใช้วินโดวส์
https://www.blognone.com/node/59451
แบบนี้คนใช้มีปัญหาหรือครับ??
อันนี้'นักการเมือง'มีปัญหาครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
คนครับ
แบบนี้เรียกว่า "ความเห็นต่างกัน" ครับ ซึ่งหน่วยงานรัฐขนาดใหญ่จะเอาเหมือนเห็นเหมือนกันหมดตั้งแต่ผู้ว่ายันคนปฎิบัติการเป็นหมื่นคงไม่ไหวเหมือนกัน
lewcpe.com, @wasonliw
น่าจะทดสอบกันมาจนมั่นใจในระดับนึงแล้วล่ะ เพียงแต่จะให้ จนท. ระดับปฏิบัติการยอมรับ OS ใหม่ได้อย่างไรก็เท่านั้นเอง
ส่วนตัวว่า LTS ของอุ๊ น่าจะ 10 ปีนะ อาจจะ 5 ปีแรกฟรี ต่ออีก 5 ปีจ่ายมานะ (ในราคาที่ถูกกว่าซื้อ 10 ปีจากเจ้าอื่น) แบบนี้ก็โอเค
เห็นว่าใน Notebook
Ubuntu กินไฟกว่า Windows
Windows กินไฟกว่า OSX
เทียบจากนาทีที่สามารถใช้งานได้จากแบตเตอรี่
(ไม่มีหลักฐานมายืนยันนะครับ)
ubuntu โคตรกินไฟเลย เห็นข่าวว่าปรับปรุง power management มาระยะนึงแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมมันยังไม่ค่อยดีขึ้น
เป็นที่ Linux รวม ๆ เลยครับ ยังแก้ไม่ตก
เผลอ ๆ ถ้าแก้ได้นี่ Android อาจจะมีอายุแบตนานขึ้นเท่าตัวด้วย (แต่ผมว่าไม่เกี่ยวหรอก 555)
เกี่ยวอย่างมากก็แค่ความจุแบต นอกนั้นก็การจัดการใน OS ยอมรับว่ายิ่ง Kitkat ขึ้นไปแบตซดน้อยลงมากครับผม
แค่มนุษย์คนนึงที่อยากรู้เกี่ยวกับวงการไอที
จริงครับ รู้สึกว่าแบตมันหมดเร็วกว่าตอนใช้ Windows
แล้วเวลาใช้งานรู้สึกว่าเครื่องร้อนกว่าด้วย ไม่รู้ทำไม
เป็นปัญหาที่ตัว governor ของ Linux ที่การ CPU scaling, sampling ทำได้ไม่ดีพอครับ (@Default ondemand)
Intel เลยออก driver สำหรับ Linux มาโดยเฉพาะ(intel_pstate) เพื่อแก้ปัญหาด้านนี้โดยตรงครับ โดย driver นี้จะใช้ governor(CPU scaling, sampling ของ Intel) เอง
อย่างไรก็ตามตัว driver ก็ยังมี bug อยู่ คงต้องรอซักพักหล่ะครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
อย่างนี้ค่าไฟของเมืองก็จะเพิ่มขึ้นสินะครับ
แล้วสุดท้ายก็ย้ายกลับมา window
ขอให้ทำสำเร็จครับ
สักพักก็จะมีข่าวเมืองตูรินประกาศย้ายกลับมาลงวินโดวส์
เกลียด Windows มากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจอ Windows มากขึ้นเท่านั้นนะครับ
เหมือนเกลียด รถติด ยิ่งเกลียด ยิงเจอ
โฮ๊ะ ๆๆๆ
น่าจะไป Chromebook แอบเสียดาย
มา ubuntu หรือ chrome os ความเห็นผมมันแทบไม่ต่างกัน ถ้า 90% ใช้ browser