ในช่วงที่ Ballmer ใกล้ลาออกจากบริษัทไมโครซอฟท์ เราได้เห็นปฏิกิริยาของเขาที่ออกมาเกี่ยวกับ Windows Phone มาโดยตลอด โดยเขามักจะบอกเสมอว่าเป็นสิ่งที่ "น่าผิดหวัง" สำหรับเขาที่ไม่สามารถนำพาบริษัทไปสู่ตลาดนี้ได้ และเรื่องนี้ก็ถูกพูดถึงอีกครั้งในการให้สัมภาษณ์ครั้งล่าสุดผ่านรายการ CBS This Morning ของสถานีโทรทัศน์ CBS สหรัฐอเมริกา
Ballmer ระบุในการให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงที่เขายังอยู่ในบริษัทนั้น เขารู้สึกดีใจ (appreciated) กับตลาดของอุปกรณ์พกพา (mobile) แต่ว่ากลับพ่ายแพ้ (ต้นฉบับใช้คำว่า "ไม่ชนะ" หรือ not winning) ในตลาดดังกล่าว โดยระบุกลายๆ ว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการปรับตัวไม่ทัน แต่เป็นเรื่องของการที่ไม่สามารถ "หาสูตรที่เหมาะสมให้ตัวเอง" (put the formula together right) ได้นั่นเอง
งานนี้ไม่รู้ว่าคนในระดับบริหารของไมโครซอฟท์ชุดปัจจุบัน จะคิดยังไงกับบทสัมภาษณ์นี้
ที่มา - Business Insider
Comments
แพ้ซิ บริการและ service ต่างๆพวก bing map โน่นนี่นั่น ดีเฉพาะอเมริกา และพวกภาษา eng
แพ้ซิ หักคอพันธมิตรที่ทำ windowsphone ให้
ผลจากการแพ้ข้อบน ยิ่งทำให้การกระจายสินค้าน้อยลง การโฆษณาน้อยลง บลาๆๆ
แพ้อีก ออกแบบรูปทรงได้จำเจมากๆ กี่ไตรมาสแล้วใช้ดีไซด์ลักษณ์นี้
และผลจากการแพ้รวด ทำให้ต้องแพ้ในสงครามดึงดูดนักทำ app อันจะทำให้ os นี้ ตายแบบไม่ได้เกิด
ผิดครับ ผิดหมด
แพ้ตั้งแต่ออกมาสายเกินไปแล้วต่างหาก
ที่เหลือมันแค่คำแก้ตัว ข้ออ้างเท่านั้น
โอกาสมันมีอยู่ประมาณจนถึงแอนดรอยด์2.3เท่านั้น แล้วตอนนั้น ไมโครซอฟท์ ก็ไม่มีอะไรในตลาดเลย
หลังจากนั้น พวกเครือข่ายก็ไม่เข็นแล้ว เพราะเข็นไปก็งั้นๆ
นักพัฒนาก็ไม่มาทำให้แล้ว เพราะเสียเวลา
ถ้านับ WinMo ด้วยก็ถือว่า M$ นำตลาดมาก่อนนะครับ เพียงแต่ไม่สามารถทำให้มันเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานส่วนใหญ่ได้
ความที่มัวแต่สับสนว่าจะเข็นมันต่อไปหรือรื้อทิ้งแล้วสร้างขึ้นใหม่นั่นทำให้เสียเวลา แถมพอตัดสินใจรื้อแล้วยังช้า+สับสน โดยเฉพาะช่วงที่ทิ้ง 7.x ไป 8 นั่นทำให้ทั้งลูกค้ากับพันธมิตรเสื่อมศรัทธาอย่างมหาศาล งานนี้ผิดที่หางเสือเต็มๆ ผมว่า ballmer ยังถอนตัวช้าเกินไปด้วยซ้ำ
ต่อให้ออกมาพร้อมกับ Android 1.6
หรือแม้แต่เกิดก่อนด๋อยไปเลย ก็ไม่รอดครับ
ตราบใดที่การพัฒนายังเชื่องช้า เหมือนไม่ฟังเสียงผู้ใช้
แค่การแยกเสียงเรียกเข้ากับเสียงเพลง
นี่ยังต้องให้รอเป็นปี ๆ กว่าจะยอมใส่ให้
นี่ไม่รู้ว่าการสลับโหมด อย่าง
โหมดประชุม โหมดเงียบ โหมดนอกสถานที่
และแบบ User ปรับเอง มีหรือยัง
profile นี่ iOS ก็ไม่มีนี่ครับ
พี่เค้าจะรู้ตัวมั้ยน้า
คงรู้แหละแต่งานมันเป็นแบบนั้น
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
เคยอ่านบทความของพี่เนย driodsans ไม่แปลกใจเลย
ทั้งโนเกียและไมโครซอฟต์พลาดเพราะวัฒนธรรมของตัวเอง ตั้งแต่ก่อนจะมา กอดคอกันซะอีก
ไม่มีที่ ให้ขั้วที่ 3 ยืนแล้วจริงๆ เหรอเนี่ย ...
WE ARE THE 99%
สงครามยังไม่จบครับ รอดูกันต่อไปดีกว่า และผู้ชนะอาจจะไม่ใช่ทั้งสามบริษัทก็ได้ เพราะมันยังอยู่ในก้าวแรกที่ software เริ่มเข้าที่เข้าทาง ส่วนตัว hardware ยังมีอะไรให้เล่นอีกเยอะ
เราอาจจะได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วง 10 ปีนี้ แล้วพอคุณกลับมาอ่าน comment ตัวเองนี่อาจจะอยากยืนขึ้นเลยก็ได้ ผมก็เช่นกัน
ถ้าไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พลิกโลกการใช้อุปกรณ์อย่าง iPhone, iPad ออกมาอีกเร็วๆ นี้
สมาร์ทโฟนก็พัฒนาไปเรื่อยเหมือนตลาด PC แหละครับ แรงขึ้น เร็วขึ้น กล้องสวยขึ้น
ฮาร์ดแวร์เรือธงน่าเบื่อแล้ว (ถามตัวเองดูว่า Android ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา คุณว้าวกับอะไรบ้าง แล้วฝั่ง iOS พัฒนาอะไรบ้าง สุดท้าย 2 ฝั่งก็พัฒนาเข้าหากัน เพราะมันเป็นสมาร์ทโฟนที่คนทั่วไปอยากได้ เครื่องแรง จอใหญ่)
ช่วง 2-3 ปีนี้ หลัง Android 5.0 ออกใช้ทั่วๆ แล้ว ตลาดมือถือจะน่าเบื่อมาก
แต่ถ้าพูดไปถึงหลัก 10 ปี อะไรมันก็เกิดขึ้นได้แหละครับ 10 ปีในโลกเทคโนโลยีมันยาวนานมาก
เห็นด้วยครับ คิดว่าน่าจะเป็นนวัตกรรมใหม่ๆไปเลย
เหมือน PC ตอนนี้ SmartPhone ก็เห็นภาพเลาๆแล้ว แรงขึ้น เพิ่มฟีเจอร์เยอะขึ้น
เหมือนสมัย SmartPhone Tablet ออกมาตี PC ตอนแรก
อย่างของผมใช้เรือธงปีที่แล้ว(เอาง่ายๆ อดีตเรือธง) ถ้าไม่ได้มีเงินเหลือ สนุกกับการตามเทคโนโลยี
ผมว่ามันไม่ได้ต่างอะไรกันมาก นอกจากแรงขึ้น กับฟีเจอร์ใหม่ (ซึ่งมันต้องสำคัญมากๆถึงจะเปลี่ยน)
ถ้าพูดถึงอุปกรณ์พกพาผมว่ายังมีฮาร์ดแวร์นอกจากความแรงให้เล่นอีกเยอะนะครับ โดยเฉพาะ input รูปแบบใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มพัฒนา เราก้าวผ่านคีย์บอร์ดสู่เมาส์และสู่ปลายนิ้วสัมผัสมาแล้วยังมีอย่างอื่นอีกครับต้องลองไปดูคอนเซปชัวดีไซน์ที่ไม่อิงขีดจำกัดด้านฮาร์ดแวร์ดู แต่ที่ระบบสัมผัสยังไม่ก้าวผ่านของเดิมคือเรื่องโปรดักทิวิตี้ ซึ่งอันนี้ก็ต้องรอดูว่าจะเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อย adobe ก็พอจะทำให้เห็นกันไปคร่าวๆแล้ว
เมื่ออุปกรณ์พกพาเข้ามาสู่การทำงานอย่างจริงๆจังๆ ตอนนั้นถึงจะกำหนดผู้ชนะได้นะครับ ถูกไหม?
ตอนนี้ผมเองยังพยายามหาอุปกรณ์พกพาแบบมือถือที่จะสามารถทำ workshop vector หรือ auto cad ที่ถูกใจไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว ในราคาเท่านี้ก็ยังได้แค่แก้ไขไฟล์เล็กๆน้อยๆนะครับ
อย่ามองแต่ h/w กับ s/w ครับ ตลาด mobile ไม่ใช่ pc มันคนละเรื่องเลย ตลาดนี้ความสำคัญอันดับ 1 อยู่ที่ตัวบริการต่างหาก เหมือนผู้บริหารบริษัทมือถือใหญ่เจ้านึงเคยบอกว่าการทำ OS ขึ้นมาเองนั้นไม่ยากเท่าสร้าง ecosystem
ตอนนี้ทั้ง iOS กับ android ต่างก็พยายามลงเสาหลักเกี่ยวกับบริการต่างๆ เพื่อมัดไม่ให้ลูกค้าย้ายไปอีกฝั่งได้ง่ายๆ โดยที่ iOS นำตรงนี้ไปหลายช่วงตัวตั้งแต่จำนวนสินค้าที่ขายอยู่ใน AppStore/iTunesStore แล้วยังมี ApplePay มาเสริมอีก CarPlay ก็กำลังจะออกมา ถึงแม้ android จะมีบริการคล้ายๆ กันแต่ดูเหมือนว่าจะยังช้าเกินไป
ด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 80% ของ Android ผมว่า Android นำ ios ไปมากนะครับ
samsung ใหญ่แค่ใหน ?
https://youtu.be/6Afpey7Eldo
ผมหมายถึงความเหนียวแน่นของการใช้บริการที่ลูกค้า มีกับ Apple ครับ สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิด royalty ต่อตัวแพลตฟอร์มนั้นๆ ยอดขายเครื่องเยอะๆ ไม่ได้หมายความว่าลูกค้ายึดติดกับแพลตฟอร์มนั้นๆ เสมอไป บางทีอาจจะซื้อเพราะมันถูกกว่ามาก และอาจจะไม่เคยซื้ออะไรในระบบนั้นเลย (ข่าวเก่าบอกว่าผู้ใช้แอนดรอยด์จ่ายเงินซื้อของใน playstore น้อยมาก คือนิยมของฟรีหรืไม่ก็ใช้เท่าที่มีเหมือนเป็นฟีเจอร์โฟนนั่นแหละ) เท่ากับลูกค้ากลุ่มที่ว่าก็พร้อมจะย้ายไปสู่ระบบที่ให้ราคาถูกกว่าเมื่อไรก็ได้ครับ ตรงนี้เป็นจุดเปราะบางที่ M$ อาจจะเข้ามาเสียบได้ แต่ไม่รู้ทำไมถึงทำไม่ได้สักที
ผมเข้าใจในความหมายของคุณนะ คุณ put4558350 คงมองเห็นแต่ในด้านยอดขายเท่านั้นแหละ จากหลายๆ คอมเมนต์ที่เคยเห็นตอบมา ซึ่งแน่นอนว่าในมุมนั้นคงไม่สามารถมีใครขึ้นมาทัดเทียมได้ง่ายๆ ในเวลานี้ แต่จากผลการดำเนินงานที่ Apple ยังคงมียอดขายและกำไรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะไม่หวือหวา ก็คงจะพอตอบวิสัยทัศน์ของ Apple เองที่วางไว้ก่อนหน้านี้ได้ว่า มาถูกทางไม่มากก็น้อย
โดยพื้นฐานแล้วการวัดความสำเร็จต้องวัด"การเติบโตเทียบกับตลาด"และ"กำไรเทียบกับตลาด"ครับ
การมองความสำเร็จโดยเทียบกับอดีตของตัวเอง ทำบริษัทเจ๊งมาหลายที่แล้ว
แง่การเติบโตของตลาดแอนดรอยด์ชนะขาด ด้านกำไรเฉลี่ยแอปเปิลก็ชะขาด
ถึงแอนดรอยด์จะไล่จี้ขึ้นมาอยู่ แต่ตราบใดที่ยังสร้างตลาดเสิรมที่แข็งแกร่งอย่าง iTune ไม่ได้ แอนดรอยด์ก็ยังเขี่ยแอปเปิลออกจากตลาดไม่ได้ แล้วก็ไม่น่าจะทำได้ด้วยสิ
คู่นี้ผมว่าไล่บี้กันไปอีกนานแหละ
เห็นด้วยกับคุณYF-01, nrml และ plawanja ครับ
ความอยู่รอด ยอดขาย ส่วนแบ่ง กำไร ล้วนแล้วแต่ต่างกันทั้งหมด ต้องแยกดูและแยกวิเคราะห์เป็นหมวด ๆ ไป อะไรชนะอะไรในแต่ละส่วนไม่ได้แปลว่าไม่สำเร็จ หรือว่าสำเร็จ ทั้งหมดนี้ ก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง ว่าคุณมองในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทเหล่านั้น ผู้ใช้ หรือว่านักพัฒนา
อนาคต ก็คงเป็น Android ฟัดไปเรื่อย ๆ กับ iOS ซักระยะยาวเลยล่ะ อารมณ์เดียวกับ Mercedes Benz กับ Toyota ล่ะ อย่างแรกใช่ว่าจะแพ้อย่างที่สอง อย่างที่สองก็ไม่เรียกว่าชนะอย่างแรกได้ (แต่ผู้แพ้จริงๆมี คือ Microsoft เนี่ยล่ะ จับตลาดบนไม่ได้ จับตลาดล่างไม่ติด market share ไม่มี profit share ไม่เห็น)
สงคราม iOS vs Android มันไม่สนุกแล้วล่ะครับ ที่สนุกคือ Samsung vs Xiaomi ต่างหาก
@TonsTweetings
Loyalty ครับ คำนี้ใช้ได้กับทุกค่าย ถ้า Royalty ใช้ได้กับ Apple เจ้าเดียว
#แซะสไตล์
คนรอบตัวผมนี่ตอนแรกใช้ Android แต่พอลองไปใช้ iPhone แล้วไม่กลับมา Android อีกเลย เป็นทุกคนด้วยนะ
ผมจำได้ว่าคุณตอบแนวนี้มาหลายคอมเม้นต์ละ คือถึงจะนำก็จริงแต่แค่ด้านจำนวน แต่ส่วนแบ่งด้านการบริการ อีโค่ซิสเต็ม เพลง หนัง แอพ iOS ยังกินขาดอยู่นะครับ แอนดรอยส่วนแบ่งเยอะก็จริง แต่คนซื้อเพราะมันมีรุ่นถูกเยอะมากเมื่อเทียบกับเรือธงที่คนมีกำลังซื้อพอที่จะจ่ายเงินซื้อแอพซื้อเพลง ซึ่งต่างกับไอโอเอสที่มีจำนวนลูกค้าน้อยกว่าแต่มีความสามารถในการจ่ายมากกว่า เอาง่ายๆว่าลุงค้าขายอยู่บ้านลูกซื้อมือถือแอนดรอย4500ให้ กะ ลุงทำงานบริษัทซื้อไอโฟนใช้เอง ลุงทำงานบริษัทมีแนวโน้มที่จะจ่ายเงินซื้อแอพ มีบัตรเครดิตมากกว่าอยู่แล้ว
รอบตัวผม ในบ้าน ญาติ ผู้ใหญ่หลายๆคนส่วนใหญก็ android ทั้งนั้น ไม่แปลกที่ส่วนแบ่งจะเยอะกว่า
แต่รุ่นไม่แพงนะ เน้นจอใหญ่ เล่นไลน์อย่างเดียว
แต่ไม่เคยโหลด ไม่เคยซื้อ app อะไรเลย
ถูกใจครับ ตั้งแต่ผมย้ายมาฝั่ง Apple จากฝั่ง Microsoft ก็ซื้อของผ่าน Store ทั้ง Mac app store กับ iTunesStore ซะเยอะ หมดไปหลักหมื่นแล้ว มันผูกกับ ID ย้ายไม่ได้ แต่ถ้าเราซื้อจากผู้ขายตรงๆ แล้วมันทำงานได้ทั้ง 2 ระบบ จะย้ายง่ายครับ แค่โหลดฝั่งที่ support OS นั้นๆ มาติดตั้งแล้วใช้ Key เดิม ส่วนในตลาด Mobile นั้น Android ก็มีขายบ้างเท่าที่ผมเห็นนะ แต่ที่ผู้กับ ID ตรงๆ มันราคาไม่สูงทิ้งกันได้ง่ายๆเลย ส่วน app บางตัวที่มีหลาย OS อย่าง Line นี่ย้ายไปย้ายมาได้กันเลยเพราะทุกอย่างมันเก็บอยู่ที่ บริษัท Line ไม่ได้ผูกกับ Store ใหนแบบเหนียวแน่นเลย
จากที่ใช้ lumia 1520 มาครึ่งปี ไม่สงสัยเลยทำไม WP ถึงไม่เข้าเป้าสักที เหตุผลคือ มากมายยย จนขี้เกียจพิมพ์เลยทีเดียว
มันขนาดนั้นเลยเหลอครับ เห็นราคามือสองถูกว่าจะสอยมาอยู่
จัดมาเลยสิครับ จะได้รู้ ^ ^'
ปฏิกริยา => ปฏิกิริยา
เมื่อวานเห็นพี่ที่ทำงาน เปลี่ยนจากด๋อยเป็นโนเกียรุ่นนึง ไม่ได้ถามว่ารุ่นไหน ถามเค้าว่าเป็นไง เค้าอึ้ง ๆ เลยนิยามให้เค้าไปว่า ทำงานธรรมดาดีมาก แต่แอพง่อย ใช่ไหม เค้าแหะ ๆ แล้วก็ใช่
เมื่อไรจะเปรี้ยง
เวลาใครถามผมว่า ทำไมใช้ Windows Phone ปกติจะตอบแบบยิ้มๆ ติดตลกไปว่า "ไม่เหมือนใครดี ผมอินดี้ " แต่ในใจมันจี๊ด... (T_T)
+T^T
Happiness only real when shared.
ไม่ชนะ ก็ตรงที่แกเองนั่นแหละ ถอนตัวออกมาช้าเกินไป
ผมว่ามีขั้วที่ 3 ให้ยืน และ Apple + Google กลัวอย่างมาก
one os all device
windows ตัวใหม่ไม่ต้องกังวลว่า app นี้ใช้กับ PC หรือ app นี้ใช้ในมือถือ เพราะอนาคตมันคือ app ตัวเดียวกัน ที่น่ากลัวสุดๆคือ พลังประมวลผลมือถือสมัยนี้ สามารถรัน X86 ได้สบายๆแล้ว ติดแค่ os แค่นั้นเอง
ถามว่าทุกคนคุ้นกับ iOS และ android ไหม ผมว่าหลายคนคงบอกว่าคุ้น แต่ถ้าถามว่า ทุกคนคุ้น windows ไหม เกือบทุกคนตอบว่าคุ้นหมด
แล้วถ้าวันหนึ่งมีคนมาบอกว่า มีมือถือ เล่น windows เปิดโปรแกรมที่อยู่ในคอม (ถ้ามือถือรองรับได้) ใช้งาน office ได้ เปิด photoshop ได้ เขียนโปรแกรมได้ ราคาหมื่นต้นๆ
คุณคิดว่า ใครจะไม่มีที่ยืนกว่ากัน นี่แหละสิ่งที่ นัดเดลล่า คิดไว้ครับ ตอนนี้ถ้าไม่นับการเชื่อมต่อ 3G 4G โทรออกได้ Tablet windows 8.1 สามารถทำงานแบบ stand alone ได้ Full 100% ที่สุด
ผมเชื่อว่า ในโลกมีคนกว่า 1/3 อยู่ในวัยทำงานถ้าคุณเข้าถึงคนกลุ่มนี้ได้ อีก 2 เจ้ากระเทือนแน่ๆครับ
one os all device
แอปเปิลผ่าน
เหลือแต่แอนดรอยด์ ยังไม่ผ่าน วินโดวส์มีโอกาสแทรกตรงนี้ ถ้ายอมทำตลาดจริงๆ จังๆ
ถ้าจะเบียดแอนดรอยด์ ต้องเล่นเรื่องราคานำหน้า
"ใช่" ถ้ารอบตัวใช้ Ecosystem ของ apple แต่ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศ คำตอบคือ "ไม่"
One Windows น่าสนใจครับ เชียร์ให้ทำได้จริงจะได้เกิดขั้วที่ 3 แต่ผมว่าจุดประสงค์หลักเค้าคงไม่ได้อยากให้ท่านเอา Photoshop มาวิ่งบนมือถือหรอกมั้งครับ น่าจะเพื่อทำให้การพัฒนาแอพส์บน Windows ลดต้นทุนลงมา เพื่อจูงใจให้คนหันมาทำแอพส์ให้มากขึ้น
ที่สำคัญสุดคือ App หลายๆ App ไม่มีการ port ลงมือถือ ครับ โดยเฉพาะสาย Biz ทั้งหลาย รวมไปถึง สาย Pro รันได้ใน PC อย่างเดียว ที่จริงหลายๆ App ก็ไม่ได้มีการ port นะครับ เขียนมาใหม่เกือบหมดแต่ใช้ชื่อเดิม
ประเด็นต่อจากนี้ไปคือ ถ้า MS ทำสำเร็จ Cost ในการพัฒนา App จะลดลงประมาณ 50% ทันที ทั้งในแง่ บุคคลากร การตลาด การโฆษณา รวมไปถึง การ Support
ลองนึกดูว่า App ตัวเดียว แต่มีหลาย Device เช่น มือถือ , PC , Emblem ถ้าเขียนตัวเดียวจบ ทั้งบริษัทมีทีมเดียว Office ทีมเดียว App ทีมเดียว
User ตื่นขึ้นมา จะหยิบมือถือ หรือ pc tablet หรืออะไรก็ตาม รันโปรแกรมเดียวได้หมด
สวรรค์ชัดๆ
ปล.ถ้าเอากันจริงๆ Spec ของ Smartwatch บางเจ้ารัน windows 98 แบบทดลอง บูทติดกันแล้วนะครับ
แนวคิดเหมือนจะมาทางนี้ แต่โดยส่วนตัวผมก็ยังไม่สัมผัสเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของมันเท่าไร
แค่ตัวที่ครองตลาดได้สูงสุดก็ชนะ แค่นั้น และไม่จำเป็นต้องมีหลายประเภทของ device ด้วย
ผมว่าแพ้เพราะไม่ได้สนใจฟังลูกค้า หรือคู่ค้าเล้ย คิดแล้วก็นึกถึงยุค Windows Mobile เฟื่องฟู ถึงเวลาทิ้งก็ทิ้งเลย จะว่าไปก็คล้ายๆ palm กับ symbian เหมือนกัน ทุกวันนี้ผมยังโหยหาโปรแกรมที่ผมใช้กับอุปกรณ์พวกนี้ที่ใช้ประจำจนติด แต่ยุคใหม่นี่ยังหาตรงใจไม่ค่อยได้เลย ทั้ง smartlist Togo (thinkdb) โปรแกรมของ vito ทั้งหลาย locr , ntrip etc. :(
เสียดาย thinkdb เหมือนกันครับ ผมว่าสมัยก่อนโปรแกรมดีๆ ที่ใช้งาน productivity หลายๆ ตัวทำงานได้ดีกว่าโปรแกรมสมัยนี้เสียอีก เช่น ใช้ทำ inventory ของร้านขายของเล็กๆ ได้สบายๆ เลย หรือพวก tinysheet ที่ใช้ทำ spreadsheet พื้นๆ ก็ทำงานได้ดีมาก เมื่อคิดว่าเครื่อง pda พวกนั้นมี resource ที่น้อยกว่า smartphone สมัยนี้นับร้อยเท่าก็ยิ่งต้องยอมรับฝีมือของ dev ในยุคนั้นจริงๆ อย่าง Palm Vx มีความเร็วซีพียูแค่ 20MHz พื้นที่รอม+แรมแค่ 8MB เท่านั้นเองนะครับ โปรแกรมเจ๋งๆ ตัวนึงขนาดแค่ไม่ถึง 100kB (กิโลไบต์)
อ่านแล้วขนลุกจริงๆ แต่ก่อนคนทำต้องมือถึง
เดี๋ยวนี้เน้นอัดๆไป เน้น UI สวย มี Animation ลื่นไหลไว้ก่อน แรมเท่าไหร่ก็ไม่พอ -*-
การเมืองในองค์กรตอนนี้เป็นปัญหาหนักของ MS เลย ตั้งแต่ Windows 8 ออกมา คนในแผนกอื่นกลับ Develop ให้แพลตฟอร์มอื่นหน้าตาเฉย OSX,iOS,Android แล้วไม่สน OS ของตัวเองเลย
MS ควรเอาคนในแผนก Windows ที่เป็นตัวปัญหาออก เพราะทั้ง MS มันติดแหงกที่แผนกนี้แผนกเดียว
ใครหรอครับ ตัวปัญหาอ่า
J... B... นะครับที่ชอกว่าเป็น Windows Phone Guy...
Coder | Designer | Thinker | Blogger
คนนี้น่ะใช่ครับ แต่ตัวเป้งๆอยู่ในแผนก Windows Desktop/Server ผมจำชื่อไม่ได้ละว่าใคร คนนั้นแหละเป็นตัวการที่ทำให้ MS Product ตัวอื่นไปด้วยกันไม่ได้
คงไม่ใช่ตา Terry Myerson นะ
Coder | Designer | Thinker | Blogger
Steve Sinofsky โดนเด้งออกไปตั้งแต่ 2 ปีก่อนแล้วนะครับ
พี่ก็รู้ตัวนะ แต่ก็ยังปล่อยให้มาถึงขนาดนี้ได้
เอาเข้าจริงอาจจะเป็นเหตุที่ตัดสินใจลาออกเพื่อหาคนใหม่มากวาดล้างบริษัทก็ได้
ใครจะมาโค่น iTunes ได้อยากเห็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์
iTunes ฆ่ายากครับ เพราะคอนเทนต์ใน iTunes ช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เห็นด้วยเลยครับ ถ้า i-device กับ mac ขายไม่ออก แค่ทำ itunes on android เหมือนที่ยอมทำบน windows ก็รอดสบายๆ
สำหรับผม ผู้รักใน Windows Phone มาเป็นเวลา 3 ปี ผมกลับเห็นด้วยกับ Ballmer นะ เพราะว่าตอนนี้ iOS กับ Android ไปไกลลิบลิ่วแล้ว (ยิ่ง iOS 8 เปิดตัวมานี่ #ผมนี่อึ้งไปเลย คือมันเทพยิ่งกว่าเทพ โดยเฉพาะตัว extension ที่เรียกว่าน่ากลัวที่สุดในฟีเจอร์ที่แอปเปิลเปิดตัวมาเลย)
Windows Phone มีเอกลักษณ์และความอินดี้สูงมาก สูงจนเรียกว่าเป็น ego ได้เลย ที่ดันไม่ขึ้นเพราะ
สรุป มันถึงเวลาของ ecosystem ใหม่แล้ว แต่ในใจก็ยังลุ้นตัว Windows 10 อยู่ว่าจะมาในแบบไหนที่ทำให้มันน่าสนใจขึ้น
Coder | Designer | Thinker | Blogger
ในฐานะที่เป็น dev ต้นทุนเริ่มพัฒนา iOS อาจดูสูงกว่า แต่ถ้ามองจริงๆ Windows phone สูงกว่ามาก ส่วน Android ต้นทุนต่ำสุด ถ้าไม่มีโครงการสนับสนุน แอพบางตัวไม่เกิดหรอก ราคาอย่างแพง ไม่แปลกที่ไม่มีใครเข้ามาพัฒนามากมายเหมือนคู่แข่ง เพราะเครื่องมือพัฒนา Windows phone ที่แจกฟรีเหมือนดูดี แต่ตัว suite ตัวเต็มทำงานสะดวกพอๆ กับ Xcode หรือ Android Studio แต่ทั้งสองตัวแจกฟรี เพราะเอาง่ายๆ ว่าจะพัฒนา iOS ก็แค่ซื้อเครื่อง Mac กับค่า dev account รายปี ส่วน Microsoft เครื่อง Windows ลง Visual Studio ตัวเต็มทำงานได้สะดวกๆ ราคาโคตรแพง Visual Studio แบบ MSDN เพื่อเริ่มต้นพัฒนาแอพฝั่ง Microsoft ตัวนึงซื้อเครื่อง Macbook Pro ได้ 1-2 ตัวแล้ว (ค่า dev account ตอนนี้พอๆ กับ Android) แม้จะมีโครงการสนับสนุนมากมาย แต่มันไม่ได้ฟรีได้ทันทีกับทุกคน มีข้อกำหนดต่างๆ ชวนปวดหัวผิดกับสองค่ายคู่แข่งที่ง่ายกว่าเยอะมาก
สรุปง่ายๆ นับตั้งแต่ iPhone หรือ Android ออกมา เครื่องมือพัฒนา ภาษาที่ใช้พัฒนา และแนวทางการพัฒนายังไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ส่วนของ Windows phone และ Windows app นี่ศึกษาใหม่ 3-4 รอบแล้ว หากนักพัฒนาเห็น ecosystem เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบนี้ เค้าก็ทิ้งไปทำ platform ที่มีคนใช้เยอะกว่า แต่ใช้แนวทางพัฒนาเดิมได้ ซึ่งมันคุ้มค่ากว่าเยอะ เพราะตอนนี้ ecosystem ของ Android กับ iOS อยู่ตัวแล้ว เป็นภาคบังคับ ส่วน Windows ก็อยู่ที่ว่านักพัฒนามีทุนเหลืออยู่พอจะทำไหมแล้วค่อยทำ ไม่ได้ภาคบังคับ
ทั้งหมดทั้งมวลคงช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสับสนตัวเองเยอะเหมือนกัน แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะกลุ่ม dev ที่พร้อมสนับสนุนตัวเองก็ตีจากไปเยอะมาก เพราะความไม่แน่นอนของ Microsoft เอง เพราะนักพัฒนารายย่อยที่มาพัฒนาให้กับ ecosystem บน platform ใดๆ ย่อมมีต้นทุนที่เยอะมากอยู่แล้ว เพราะเดี่ยวนี้นิยมทำเป็น service ฉะนั้นต้องเลือกที่ฐานคนใช้เป็นหลัก
ตอนนี้ Microsoft ต้องรักษาฐานที่มั่นใน enterprise เดิมให้ได้มากที่สุด ไม่งั้นจบแน่ๆ ซึ่งฟอร์ม Windows 10 จะออกมาแนวนั้น แต่จะรอดไหมเนี่ยดิ เพราะแอพต่างๆ ขึ้น online platform เยอะขึ้นเรื่อยๆ จะดักทางยังไง
ผมใช้ Visual Studio Express อยู่ก็ไม่เห็นมันจะขีเหล่นะคับ แต่ก่อนผมก็ติด Ultimate แต่พอมาลอง Express ดูก็ไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ Ultimate
ผมใช้ Professional อยู่น่ะ Ultimate มันเยอะไปหน่อย เพราะทำงานคนเดียว ทำ Code analysis, Debugging and Diagnostics และ Unit Testing ด้วยครับ
คือส่วนตัวไม่ได้ใช้แค่ Dev แต่ต้องทำพวกนี้ด้วย และจริงๆ ผมซื้อมาใช้กับงานอื่นๆ พวก Desktop app และ Web app พวก asp.net อยู่ก่อนแล้ว เลยสะดวกกว่าเห็นๆ และมันใช้กับ WP แล้วมันทำงานได้ดีและเทียบเท่ากับ Xcode และ Android Studio เพราะมี Code analysis, Debugging and Diagnostics และ Unit Testing เหมือนกัน
appreciated ในข่าวนี้ น่าจะหมายถึงการมองเห็นศักยภาพของอุปกรณ์พกพานะครับ
ทำอะไรเฉื่อยเองครับ โทษใครไม่ได้ ผมยังมองออกเลยว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน อยู่ที่ใคร อีกหลายๆคนก็มองออก ไม่รู้ทำไม Microsoft มองไม่ออก พอมีกระแสจะบูม แทนที่จะรีบๆทุ่มทรัพยากรมาพัฒนา ก็อืดเป็นเรือเกลือจนกระแสเงียบ คือโอกาสมันมีหลายครั้งแล้ว ไม่คว้าไว้เอง
ช้าเอง ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาอวยพร งั้นก็ขอให้เจริญๆ
ไม่ต้องกลัวนะ Qt ถูก port ไป WinRT แล้วเดี๋ยวก็มี app เอง
ใช้คำว่าขี้แพ้ได้ป่าวหว่า คนแบบนี้ไม่มีทางชนะใครหรอก สงครามคนแบบนี้เป็นกุนซือตายยกประเทศ(ความเห็นส่วนตัว)
ปล. มือถือไม่ต่างจากสงครามย่อยหรอกนะ คุณไม่ทำให้มันชนะเองนี่นา
อันนี้พูดยากครับ คือบัลเมอร์แกค่อนข้างอ่อนในสาย consumer แต่สายธุรกิจนี่แกแข็งแรงมาก ถึงราคาหุ้นไมโครซอฟท์ในช่วงที่แกอยู่จะไม่ดีเท่าไร (นิ่งๆ) แต่รายได้นี่ชัดเจน แบบนี้จะเรียก "ขี้แพ้" เต็มปากก็คงยาก
Source
อูย ทำไมปีหลังๆ สวิงขึ้นๆ ลงๆ แฮะ?
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
ถ้าทำ Windows Phone ที่รัน Windows รุ่นเดียวกับในพีซี ใช้เป็นกึ่งๆ mini pc ได้เลย
มีช่อง usb ต่อเม้าส์ได้ต่อคีย์บอร์ดได้ต่อ external disk แบบเสียบแล้ว plug and play ได้ทันที
มีช่อง hdmi ต่อจอมอนิเตอร์ตามสูตร
มีระบบกราฟฟิกและซาวด์เทพในตัว มีพอร์ตพิเศษเสียบต่อการ์ดจอ external สำหรับงานหรือเกมโหดเทพๆได้ด้วย
รันไฟล์งานที่ทำมาจากพีซีได้ทันที ซอฟต์แวร์บนพีซีลงบนนี้ได้
นักพัฒนา ทำซอฟต์แวร์เพื่อพีซีแล้วใช้กับมือถือได้ แค่เพิ่มอีก UI section และอื่นๆอีกหน่อย อย่ามาก อย่ายาก
สร้าง application store ที่ขายแอพมือถือและซอฟต์แวร์บนพีซีอยู่ด้วยกันเลย
...ครบหมดนี้ ในราคา 1 - 2 หมื่นไม่เกินนี้ ขึ้นกับสมรรถนะและหน้าจอ
ผมว่าสู้ได้ เผลอๆกิน market share ทัดเทียมกับ iOS เลย
ถ้ามันทำได้ง่ายๆ ทั้งตลาดเค้าคงทำไปนานแล้วแหละครับ
ถ้าใช้แอนดรอยด์อยู่ ลองเปิด bluetooth แล้วต่อคีย์บอร์ดไร้สายกับเม้าส์ดูครับ จากนั้นถ้าที่บ้านคุณมี miracast แล้วมือถือรองรับ ลอง cast ขึ้นจอแล้วทำงานเบาๆ ดูครับ
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
เอาแค่เขียนโปรแกรมให้แสดงผลบน XP, 7, 8 ให้เหมือนกันยังมีปัญหาเลย
แปลก ผมไมเคยมีปัญหาเลย
โลกเรามี นวตกรรม ใหม่ๆ น้อยลง... ตั้งแต่ Steve Jobs จากไป...
หมายถึงบริษัท apple อย่างเดียวรึปล่าว ถ้าเป็น นวัตกรรม Steve Jobs คิดมาไม่กี่อย่างเองนะ อย่าเอาไปรวมกับทั้งโลก
รวมฯเลยเด่นก็มีแค่ iphone กับ ipad ความจริงมีคนคิดไว้ก่อนแล้วแหละแต่ไปไม่รอดเท่านั้นเอง
นวัตกรรม หรืออินโนเวชั่น หมายถึงการทำสิ่งใหม่ได้สำเร็จ (มึลูกค้ารองรับ)
ส่วนสิ่งประดิษฐ์ใหม่ หมายถึงการทำสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ในห้องแลปต่างๆ มีเยอะแยะไปหมด
สองสิ่งเกือบจะเหมือนๆ กัน แต่ไม่เหมือนกัน
การทำสิ่งใหม่ขึ้นมา แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงของเดิม เขาไม่เรียกว่า "นวัตกรรม" เขาเรียกว่าสิ่งประดิษฐ์ของโลก
ถ้าเป็นด้านอื่นฯหละ เช่น ในด้านศิลปะ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐ
ปล. อย่ามามั่ว นวัตกรรม มีไว้ขาย คิดได้นะ เอาง่ายฯ นวัตกรรมเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งประดิษฐ์ใหม่
นวัตกรรมต้องมีองค์ประกอบผลกระทบในวงกว้าง มีผลให้พฤติกรรมการใช้งานเปลี่ยนไปด้วย เช่น GUI ของ Xerox ตอนแรกเป็นสิ่งประดิษฐ์ แต่ภายหลังเป็นนวัตกรรมหลังจากแอปเปิลนำมาใส่ในแมค
vice versa... โลกนี้จะมีนวัตกรรมน้อยลง ถ้าไม่มีคนคิดภาษา C
I'm ordinary man; who desires nothing more than just an ordinary chance to live exactly what he likes and do precisely what he wants.
คุณพระ! นี่พ่ายแพ้แล้วหรือนี่...
.
.
...ผมนึกว่ายังไม่เริ่มแข่งซะอีก