เมื่อสองวันที่แล้ว (14 กันยายน) รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา ประกาศจัดตั้งโครงการที่เรียกว่า "Smart Cities" ที่จะเน้นด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเมืองต่างๆ เช่น การลดความแออัดด้านการจราจรหรือการเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้น ภายใต้วงเงินลงทุนกว่า 150 ล้านเหรียญสหรัฐ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ 5 พันล้านบาท)
ในรายละเอียดแล้ว รัฐบาลกลางของสหรัฐจะแบ่งยอดการลงทุนออกเป็นส่วนๆ คือ ประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับงานวิจัยใหม่ๆ และ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการลงทุนที่เสนอขึ้นมาโดยมูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NSF: National Science Foundation) และสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติ (NIST: National Institute of Standards and Technology); 70 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการใช้จ่าย และ 45 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการสร้างโซลูชั่นใหม่ๆ เช่น ความปลอดภัย การขนส่ง และสุขภาพ สำหรับการลงทุนที่เสนอโดยกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ, กระทรวงคมนาคม, กระทรวงพลังงาน, กระทรวงพาณิชย์ และกรมป้องกันสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดจะมุ่งไปยัง Internet of Things, ความร่วมมือกับภาคประชาสังคม, ยกระดับความสามารถของรัฐบาลกลาง และส่งเสริมความร่วมมือระดับนานาชาติ (รายละเอียดยาวมาก แนะนำให้อ่านจากที่มา)
ตามโครงการนี้จะมีเมืองในสหรัฐอเมริกามากกว่า 20 เมือง ในโครงการนี้ พร้อมกับมหาวิทยาลัยอื่นๆ จำนวนหนึ่งที่จะมีส่วนร่วมด้วย
ไม่แน่ใจว่าต้องใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลภายนอกชุดละ 800,000 บาทหรือไม่
ที่มา - The White House
Comments
70 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการใช้จ่าย ถ้าเป็นก.ท.ม.นี่ ได้แค่ค่ากล้องวงจรปิดที่ไม่ครอบคลุมนะครับ แหม่
จำเป็นต้องแซะ 800,000 นั่นด้วยหรอครับ ?
อยากให้รัฐฯเปิดข้อมูลอย่างนี้ล่ะ
ผมว่า 8แสนไม่พอนะฮะ
จากข่าวนี้
ตำรวจเมกา ซื้อ Cloud Storage 5TB 5 ปีเป็นเงิน 7 แสนเหรียญ ตก TB ละ เกือบๆ 5ล้านบาท
http://www.computerworld.com/article/2979627/cloud-storage/as-police-move-to-adopt-body-cams-storage-costs-set-to-skyrocket.html
ปล. จับผิดกันเยอะๆดีแล้วฮะ ภาษีของเราทุกคน แต่ไม่ใช่ว่าจับผิดอยู่ฝั่งเดียว แล้วคิดไปเองว่าอีกฝั่งขาวสะอาดมาก
ผมคาดว่าคุณน่าจะอ่านข่าวจับใจความผิดนะครับ ข่าวที่ว่า8แสนกว่าดอลลานั่นคือค่าทำสัญญา5ปีกับ บ.ที่รับทำระบบกล้องไม่ใช่เหรอครับ ส่วน 5TB นี่คือ จำนวนขนาดสโตเรจที่ตำรวจซื้อพื้นที่คลาวเริ่มแรกเพื่อเก็บภาพไว้ และอ้างว่าแค่ 2 เดือนพื้นที่ที่ว่าก็โดนใช้ไป 1.5TB แล้ว และโครงการที่ว่านี้ไม่ใช่กล้องวงจรปิดนะครับเป็นกล้องที่ติดบนชุดตำรวจ
889,000 เป็นระบบกล้องทั้งหมด โดยที่ค่ากล้องเป็นเงิน 180,000 ครับ ผมเลยเขียนว่า 7 แสน ที่เหลือเป็น maintenance + cloud storage กับ file management service
ถ้าจะเทียบแบบนี้ควรเอา solution มาเทียบกันมากกว่านะครับ
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
เห็นด้วยครับ แต่ไม่เห็นมีใครพยายามจะเอามาเทียบเลย พูดถึงแต่ราคาคร่าวๆไม่ลงรายละเอียดอะไรทั้งนั้น
เพราะ solution ที่ใช้ กับวิธีเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับ solution มันไม่สมเหตุสมผลไงครับ คนเค้าเลยมาด่าที่ตัวอุปกรณ์ ไม่ใช่ที่ตัว solution
ส่วนกรณีข่าวที่คุณยกมามันเป็นเรื่อง solution ตั้งแต่ตัวราคารวมแล้วครับ ไม่มีรายละเอียดปลีกย่อยอะไรเลย เพราะฉะนั้นคุณจะเอาราคา $889,000 มาเทียบกับ ฿800,000 ไม่ได้ครับ เพราะตัวหนึ่งเป็นราคา solution อีกตัวหนึ่งเป็นราคา storage 'หน่วยเดียว'
สำหรับข่าวของคุณ ผมเทียบ solution คร่าวๆให้ละกันนะครับ
TH: ฿23M USA: ฿33M
TH: static camera(@unknown amount) USA: moving/body camera (@unknown amount)
TH: non-centralize, non-cloud USA: cloud+centralize
TH: local access USA: remote access
TH: 1 yr maintenance USA: 5 yrs maintenance
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
ก็แสดงว่า7แสนนี่ไม่ใช่ค่าคลาวทั้งหมด อย่างที่คุณว่าอยู่ดีไม่ใช่เหรอครับ มันรวมค่าเมนเทนค่าประกันเปลี่ยนกล้องตลอด5ปี และค่าเซอวิสบริหารข้อมูลและ สโตเรจคลาวอยู่ดีตามที่ท่านว่ามาเองแม้ว่าข่าวจะบกว่าค่าสโตเรจเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญแต่ก็ไม่บอกว่าเท่าไหร่บอกแค่ว่าถ้าซื้อแบบไม่จำกัดค่าสัญญาห้าปีอาจพุ่งไปอยู่ที่เกินล้านดอล(ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเกินมาเท่าไหร่)
5 พันล้านบาทเองเหรอ
ดีจัง ทำ QE แล้วก็มีเงินทำโน่นทำนี่ แล้วก็ขยายเพดานหนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ