ประเด็นเรื่องความไว้วางใจต่อเครื่องจักร โดยเฉพาะเรื่องของรถยนต์ไร้คนขับ กลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้งเมื่อ David Mindell ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์ว่าด้วยวิศวกรรมศาสตร์ที่ MIT ได้แสดงความเห็นไว้ว่า การปล่อยให้รถยนต์มีอิสระในการควบคุมตัวเองได้นั้น เป็นความคิดในสมัยศตวรรษที่ 20
เนื่องจากตัวอาจารย์นั้นไม่เห็นด้วยกับการที่ระบบคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์เป็นตัวควบคุมรถไร้คนขับโดยสมบูรณ์ Mindell บอกว่าไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ใดๆ จะยืนยันได้ว่าระบบไร้คนขับโดยสมบูรณ์จะช่วยให้โชคชะตาของมนุษย์ดีขึ้นจริงๆ (ลดอุบัติเหตุ ความสูญเสีย ฯลฯ)
Mindell ยกตัวอย่างว่า ครั้งหนึ่งมนุษย์เคยมีความคิดว่าเรือดำน้ำที่มีระบบนำทางและขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยสมบูรณ์นั้น เคยเป็นถูกมองว่าดีที่สุดในการเดินทางใต้ทะเล แต่ทว่าสุดท้าย มนุษย์ก็ยังคงต้องเข้าควบคุมและนำทางอยู่ดี
หรือแม้แต่กรณีของ NASA ที่เคยมีความคิดว่าระบบอัตโนมัตินั้นจะช่วยแก้ปัญหาความผิดพลาดต่างๆ ของมนุษย์ลงได้ แต่สุดท้ายนักบินอวกาศก็ต้องเข้ามากุมบังเหียนในช่วงสำคัญๆ อยู่ดี ซึ่งความคิดความฝันถึงระบบอัตโนมัติที่สมบูรณ์เหล่านี้ เป็นความคิดในช่วงศตวรรษที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองไม่ได้ปฏิเสธระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติเสียทีเดียว เนื่องจากระบบพวกนี้ก็พอที่จะช่วยลดภาระของคน ที่เหนื่อยล้าจากการทำงานลงได้ เพียงแต่การควบคุมโดยคอมพิวเตอร์นั้นก็ควรมีลิมิต เพราะระบบเหล่านี้ไม่ได้สมบูรณ์เพอร์เฟ็ค มนุษย์จึงเป็นเสมือนตัวเชื่อมระบบทุกอย่างเข้าด้วยกัน
Mindell ย้ำด้วยว่าเราควรที่จะตีกรอบของคำว่า ความก้าวหน้า เสียใหม่ มันจะต้องไม่ใช่ความก้าวหน้าไปสู่ระบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ แต่เป็นระบบอัตโนมัติที่เชื่อถือได้ ปลอดภัยและมีการทำงานร่วมกับมนุษย์ หรือกล่าวอีกอย่างคือ ตัวรถจะทำตามที่มนุษย์ต้องการ ยามที่มนุษย์ต้องการให้มันทำเท่านั้น
ที่มา - CNET
Comments
คนไร้คนขับ ผิดแล้วครับ
จริงๆ ต้องเป็น คนไร้รถขับ
ทดลองติดตั้ง 3 OS | Windows Ubuntu Android
!@#$
คนไร้คนขับ
มีแต่คนนั่งไม่มีคนขับ
/me เผ่น
คนโดยปกติยังไงก็ต้อง Monitor และแก้ไขปัญหาในช่วงเวลาสำคัญ ๆ อยู่ดี
ตัวรถจะทำตามที่มนุษย์ต้องการ ยามที่มนุษย์ต้องการให้มันทำเท่านั้น
เห็นด้วยเลย เพราะยังไงระบบคงไม่มีสมบูรณ์แบบแน่ๆ คนก็ต้องควบคุมอยู่ดี
ไม่เห็นด้วยเลย ยุคนี้สิ่งที่เคยฝันกันในศตวรรษที่ 20 กำลังจะกลายเป็นจริง
ผมอยากได้รถไร้คนขับมาก มันจะปฎิวัติการเดินทางได้เลย
ถ้าเทคโนโลยีทำงานได้สมบรูณ์
นึกดูเวลาเดินทางต่างจังหวัดไกล แทนที่จะออกเดินทางเช้ามืด ก็ออกเดินทางตอนกลางคืนแทนแล้วนอนยาวในรถเช้าก็ถึงจุดหมาย ไม่ต้องเช่าโรงแรม ไม่เสียเวลา กลางคืนรถไม่ติด ไม่ร้อน ไม่ต้องรีบ ไม่เปลืองพลังงาน
บ้านเราทำถนนบ่อยนะครับ สีพื้นถนนก็ลอกบ้าง บางที่ก็ราดยางมะตอยใหม่ ยังไม่ทาสีบ้าง บางที่ก็ขูดผิวถนนเหลือแต่ถนนลูกรังเป็นปีๆ บ้าง
พวกรถอัตโนมัติส่วนใหญ่จะใช้เส้นแบ่งถนนในการรักษารถให้อยู่ในเลนหน่ะครับ
เทคโนโลยีสมบูรณ์ แต่ถนนบ้านเรายังไม่พร้อมครับ :P
สรุปก็คือ ยังใช้ไม่ได้
ทีมทำรถอัตโนมัติของกูเกิลนี่ขับเองโดยไม่มีเส้นถนนได้ตั้งแต่สมัยไปแข่ง DARPA Challenge แล้วครับ เพราะมีพื้นที่ที่เป็นทะเลทราย ถนนหายไปช่วงนึงเลย
lewcpe.com, @wasonliw
รถไร้คนขับถ้าจะทำงานได้ดีต้องอยู่ด้วยกันอย่าเอามารวมกับรถที่มีคนคับเพราะไม่งั้น รถไม่สามาถช่วยอะไรคุณได้เลยในช่วงเวลาไม่ขาดฝัน
ที่หัวข้อ
คนไร้คนขับ > รถยนต์ไร้คนขับ
หรือเปล่าครับ
เคสนาซ่านี่ยกตัวอย่างแปลกๆ นะครับ คอมพิวเตอร์ที่นาซ่าส่งไปไกลๆ (เช่นดาวอังคาร) ได้ประสิทธิภาพยังต่ำมากพลังประมวลผลมีจำกัด จะควบคุมด้วยภาพที่ส่งมายังโลกการสื่อสารก็จำกัดมาก (latency สูงหลายนาที bandwidth ต่ำ)
ช่วงหลังอย่างดวงจันทร์การสำรวจก็แทบไม่ต้องการมนุษย์แล้ว นอกจากในแง่การแสดงความยิ่งใหญ่ของชาติ
lewcpe.com, @wasonliw
ผมคิดว่าเขายกตัวอย่างเรื่องการบินขึ้น การลงจอด การจอดเทียบท่า อะไรประมาณนี้หรือเปล่า
ผมว่าปัจจัยควบคุมไม่ได้มันเยอะกว่ารถเยอะนะครับ อย่างรถนี่เก็บข้อมูลกันเป็นปีๆ ข้อมูลช่วยระบบพิจารณามันเยอะกว่า
วิธีคิดของศาสตราจารย์ MIT ที่ระบุว่าวิธีคิดในการพัฒนารถไร้คนขับของ Google นั้นล้าหลังนั้นล้าหลัง
แนวคิดศตวรรษที่ 20 ที่ว่าคือพยายามทำให้เครื่องจักร(หุ่นยนต์ สมองกล อื่นๆ)เข้ามาทำหน้าที่แทนมนุษย์ แต่แนวคิดในยุคนี้คือการทำให้เครื่องจักรทำงานร่วมกับมนุษย์ ซึ่งถ้ามองแบบนี้แล้วแนวทางการพัฒนาที่กลูเกิ้ลทำจึงล้าหลังครับผม
เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน
โดยส่วนตัวเห็นด้วยกับในข่าวครับ สมมุติออกแบบให้รถทำงานได้เอง 100% ความหลากหลายในการเกิดเหตุการต่างๆจะเยอะมาก ซึ่งยากและต้องใช้พลังในการพัฒนาเยอะ ในอีกทางหากออกแบบให้รถยนต์ทำงานแทนมนุษย์ได้สัก 70-80% กรณีออกแบบก็จะลดลง การออกแบบจะครอบคลุมมากขึ้น ส่วนที่ถูกควบคุมและตรวจสอบโดยมนุษย์จะถูกพัฒนาขึ้น ซึ่งมันจะสอดคล้องต่อการใช้งานจริงในทางปฏิบัติ เพราะยังไงมนุษย์ยังคงต้องสั่งการรถอัจฉริยะนี่อยู่ดี :)
นึกว่า ศ. จะเสนอวิธีการที่ไม่ล้าหลังซะอีก
+1
ผมที่ศ.พูดคือ มันไม่มี100% คนไม่มี100 ออโต้ก็ไม่ควร100 ควรจะหาจุดที่บาลานซ์ระหว่างออโต้กับแมนนวล
คิดเหมือนกันครับผม
ยกตัวอย่างซักระบบนะครับ
เครื่องบินระบบ Auto pilot ก็ยังทำงานหลักคือบินตรงบินระดับหรือตามที่นักบิน Set ไว้ ถ้าต้องลงจอดหรือมีเหตุการณ์ผิดปกติก็จำเป็นต้องกลับมาควบคุมโดยนักบิน เนื่องจากระบบควบคุมการบินไม่สามารถออกแบบให้ครอบคลุมเหตุการณ์ที่มีควบซับซ้อนได้จากทั้งปัจจัยภายในเช่น Sensor เสียบางตัวหรือทุกตัว เครื่องยนต์หยุดทำงาน สภาพอากาศ หรือปัจจัยภายนอกเช่น ILS หรือ GPS หยุดทำงาน
ฉะนั้นผมมองว่าระบบของรถยนต์ในอนาคตก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ให้รถขับได้เองทางไกล โดนคนขับก็ยังคงอยู่หลังพวงมาลัย แล้วถ้ามีเหตุการณ์ผิดปกติระบบ Auto จะยกเลิก รถจะจอดเข้าข้างทางให้อัตโนมัติ ถ้าอยู่ในเมืองหรือจุดที่มีรถเยอะก็แนะนำให้ใช้ระบบ Manual
ตอนนำเครื่องบินขึ้นก็เห็นบังคับมืออยู่เลย เปิด Autopilot ขึ้นได้แล้ว แบบนี้ไม่ถือว่าอัตโนมัติทั้งหมดนะครับ ไม่งั้นจะมีนักบินไปทำไม ให้เครื่องบินบินเองไปเลย
oxygen2.me, panithi's blog
Device: HP Zbook, iPad Pro, iPhone 15PM, iPhone 16+, Nothing Phone 1
มีนักบินไว้คอยตรวจดูสิ่งผิดปกติ
กรณีจำเป็นต้องเข้าควบคุมเครื่อง
สงสัยจะอธิบายงงไป Take Off นี้ต้อง Manual อยู่แล้ว อยู่ในสนามบินหรือกำลังขึ้น/ลง เป็นระบบ Manual ทั้งหมด ระบบ Auto เอาไว้ตอนบินขึ้นไปในอากาศแล้วเท่านั้นเพื่อลดภาระงานนักบิน นักบินก็ไปทำงานเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารกับหอแทน รวมถึงคอย Monitor ระบบต่าง ๆ ว่ายังทำงานดีอยู่ การที่ต้องมีนักบินไว้บนเครื่องเป็นเรื่องของความปลอดภัย และในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกตินักบินก็ต้องเข้าไปแก้ปัญหา
ลองคิดดูง่าย ๆ ว่าจะกล้านั่งเครื่องบินที่ไร้คนขับจริง ๆ กันหรือเปล่าครับ? อย่างน้อย ๆ นักบินก็กลัวตายเหมือนกันเขาก็ต้องพยายามอย่างที่สุดเพื่อรักษาชีวิตทุกคนไว้ ที่จริงอาจจะมากกว่าชีวิตของตัวเองด้วยซ้ำ
ขอแย้งนิดนึงนะครับ ระบบ Auto Takeoff หรือ Landing เครื่องบินพาณิชย์ปัจจุบันก็มีครับ แต่อย่างที่ท่านว่านะครับ ในสภาพปกติแล้วเค้าจะไม่ใช้กันครับ เพราะบางอย่างมันมีเหตุฉุกเฉินอาจจะต้องให้คนเข้าควบคุมแทน เลยใช้นักบินขับแทน
แต่ระบบ Auto Landing นั้น จะใช้ในกรณีที่ทัศนะวิสัยเป็น 0 ครับเช่นหมอกลงจัดมากจนไม่สามารถมองเห็นรันเวย์ได้ และจำเป็นต้องลงจอด เค้าจะใช้ระบบ Auto ในการลงจอดครับเพื่อช่วยนักบินในการลงจอดแทน
แต่เรื่องของ Take off นี่ถ้าทัศนวิสัยเป็น 0 จริง ๆ เค้าเลือกที่จะเลื่อนไฟลต์มากกว่าครับ (แต่ระบบ Auto Take off ก็มีนะ)
อย่าให้เป็น Skynet ก็พอ ฮ่าๆ
คิดว่าต้องสร้างถนนใหม่ที่แยกจากปกติไปเลย เวลาเดินทางไกล
ตอนนี้มนุษย์ขับเองก็ชนกันสนั่นอยู่แล้วนี่ ปีนึงตายจากรถกี่คน
ถ้ารถอัตโนมัติมันทำได้ดีกว่าในทางสถิติก็ถือว่าก้าวหน้าแล้วหล่ะ
แนวคิวก็คือแนวคิด ผลิตภัณฑ์ในวันนี้คือแนวคิดในอดีตซึ่งนานแค่ไหนก็ไม่รู้
แต่แนวคิดที่ไปไกลแต่สร้างเป็นรูปธรรมในวันนี้ไม่ได้ ก็ทำเป็นGCไปก่อนครับ อย่าเพิ่งขวาง
ยกตัวอย่าง เครื่องCommonrail ในรถดีเซล มันเป็นแนวคิดมาร่วมๆครึ่งศตวรรษ แต่การใช้แรงดันน้ำมันสูงในยุคนั้นมันยังทำไม่ได้ และช่วงนั้นรถมะกันเน้นเครื่องแรงๆ ไม่สนเรื่องซดน้ำมันเยอะ(น้ำมันยังถูก) แนวคิดแม้นมีการพัฒนา แต่การผลิตก็ถูกพับเก็บไว้ก่อน
รถไร้คนขับ = ultron ระบบอัตโนมัติโดยสมบูรณ์
รถจะทำตามที่มนุษย์ต้องการ= jarvis ระบบอัตโนมัติที่เชื่อถือได้ ปลอดภัยและมีการทำงานร่วมกับมนุษย์
autopilot ต้องพัฒนาต่อจนก้าวไประดับ jarvis รึเปล่าครับ
ส่วนทาง google กำกำลังทำ ai ให้กลายเป็นระดับ ultron
สรุปว่า google เป็นทีมนักวิทยาศาสตร์ของ hydra
ส่วน MIT เป็นทีมนักวิทยาศาสตร์ของ shield
ล้ำ
ลึก
พูดถึงศตวรรษที่ 20 แล้ว ความรู้สึกมันอนาคตมากเลยนะ ตอนเด็กๆ น่ะ
แต่ในข่าวบอกศตวรรษที่ 20 ล้าหลัง งั้นตอนนี้มันศตวรรษที่เท่าไหร่แล้วล่ะ???
^
^
that's just my two cents.
21 ครับ -..-'
my blog
นับยังไงครับ? - -a
^
^
that's just my two cents.
ถ้าเอาง่ายๆก็ ปี ค.ศ. หาร 100 ปัดเศษขึ้น
ศตวรรษ คือ ทุก 100 ปี ปีนี้ปี 20XX นั่นคือ (20*100) + XX คือเราเลย 20 มาแล้ว อยู่ใน 21 แล้วครับ
สาบานนะว่านี่ง่ายแล้ว? 5555
ค.ศ. 1-99 นับเป็นศรรตวัตที่ 1
ค.ศ. 100-199 นับเป็นศรรตวัตที่ 2
ค.ศ. 200-299 นับเป็นศรรตวัตที่ 3
.
.
ค.ศ. 1000-1099 นับเป็นศรรตวัตที่ 11
.
.
ค.ศ. 1900-1999 นับเป็นศรรตวัตที่ 20
ค.ศ. 2000-2099 นับเป็นศรรตวัตที่ 21
ทดลองติดตั้ง 3 OS | Windows Ubuntu Android
สรุปง่ายๆ เอาสองหลักหน้าบวกด้วย 1 นะครับ (:
^
^
that's just my two cents.
ผมว่ายุค 20 นั้น คือความฝัน ยุคนี้คือใกล้ความจริงไปอีกระดับมากกว่า
ยุคนั้น AI ยังไม่ฉลาดเท่านี้ ความตื่นตัวไม่ว่าจะเรื่องของความรู้ สังคม อุปกรณ์สำหรับ AI เต็มรูปแบบก็ยังไม่พร้อมเท่านี้ เดี๋ยวนี้มี AI ที่ดีขึ้นมาก มีกฎหมายที่ว่าเกี่ยวกับการทำงานอัตโนมัติ หรือพูดถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น
ผมคิดมาตั้งแต่เด็กว่า รถมันจะไม่ติดนานขนาดนี้เลย ถ้า 1 ในสาเหตุสำคัญอย่างนึงได้ถูกแก้ไขคือ ไฟแดง แล้วรถคันที่ 2 เป็นต้นไปจะออกตัวช้าไปเรื่อย ๆ เพราะต้องรอสักพักให้คันก่อนหน้าขับห่างออกไปซักเล็กน้อย แต่ถ้าระบบรถอัตโนมัติ ทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติอื่น ๆ พร้อมเพียงกันแล้ว (เมื่อไหร่ไม่รู้) เช่น
รถทุกคันในบริเวณไฟแดงรับรู้ว่ารถคัน รับรู้ว่ารถคันไหนขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือบังคับด้วยคน
ถ้าส่วนใหญ่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ จะเปลี่ยนโหมดการออกตัวตอนไฟเขียวแบบขับเคลื่อนพร้อมกันยกแผงไปเลยเมื่อไฟเขียว (ไม่ต้องรอรถคันหน้าออกตัวไปสักระยะ) ผลคือรถคันที่ 100 จะเคลื่อนตัวพร้อมกับรถคันที่ 1 แถวหน้าไฟแดง ตรงนี้การระบายรถจะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นมาก
ระบบนำทางเส้นทางจราจรจะรายงาน ทำงานควบคู่กับรถที่ขับเคลื่อนอัตโนมัติ แจ้งเส้นทางที่เร็วที่สุด ปรับเปลี่ยนเส้นทางอัตโนมัติ ระบบนำทางกลางรับรู้ถึงจุดหมายของเส้นทางรถแต่ละคัน และทำให้พยากรณ์ล่วงหน้าได้ว่า การจราจรจะคับคังตอนไหน และใช้ข้อมูลต่าง ๆ มาแนะนำรถแต่ละคันว่าควรทำอย่างไร
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
จินตาการสำคัญกว่าความรู้ ใช้ตรรกะเหตุผลมากเกินไป ไม่อาจจะคิดออกนอกกรอบไปได้
มันถูกออกแบบตามวัตถุประสงค์อยู่แล้วว่าจะต้องไม่มีคนขับ เพราะ Google ต้องการให้เป็นบริการรถสาธารณะเป็นหลักมากกว่า ถ้าต้องการลดต้นทุนรถสาธารณะให้ต่ำที่สุด วิธีง่ายที่สุดก็คือ ลดค่าใช้จ่ายประจำที่มีมูลค่าสูงสุด นั้นก็คือ คนขับนั่นเอง แต่ถ้ามีปัญหาทางกฎหมาย เดี๋ยวก็คงมีพวงมาลัยเล็กๆ กับคันเร่ง และเบรค แบบรถเด็กเล่น วางตรงตำแหน่งเดิมของผู้ขับ ไว้แก้ข้อกฎหมาย
ซึ่งผมว่ากฎหมายที่แก้ไขออกมาน่าจะประมาณนี้ คือ ต้องมีอุปกรณ์ที่ทำให้สามารถเข้าควบคุมได้ แต่ไม่ระบุว่าจะต้องมีผู้ขับประจำ หรือพนักงานประจำรถ (เขียนให้กำกวมหน่อย ให้ไปตีความอีกทีเวลาเกิดอุบัติเหตุจากรถอัตโนมัติ)
ระบบจะสมบูรณ์ได้ คือ ทุกอย่างต้องอยู่ในระบบ
ผมว่าล้าหลังจริงๆแหละครับ
ลองคิดดูนะครับ สมมติว่าเรานั่งอยู่ในรถที่วิ่งเองได้อัตโนมัติ แรกๆเราคงไม่ค่อยไว้ใจไม่สบายใจ ไม่กล้านั่งพิงเบาะสบายๆ ต้องนั่งตัวแข็ง ตัวโก่ง ลุ้นอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทดสอบระยะทางไกลๆ ก็จะเมื่อยหลัง ปวดหลัง ล้าหลังจริงๆครับ
// ไปละครับ สวัสดีครับ ฟิ้วว...
ถ้าจะทำจริงๆ เวลาขับขี่จริงท้องถนนก็ควรมีแต่รถไร้คนขับ
ต้องเลิกให้คนขับรถเองทั้งหมดไปเลย
เหลือแค่ปุ่มฉุกเฉินไว้ ในเหตุการณ์ฉุกเฉินก็พอ