ในแวดวงผู้สนใจวิชาการออกแบบและ usability คงไม่มีใครไม่รู้จัก Don Norman ผู้เขียนหนังสือคลาสสิค The Design of Everyday Things และ Bruce Tognazzini หรือ "Tog" ผู้เขียนหนังสือ Tog on Interface
ทั้งสองคนเคยเป็นพนักงานของแอปเปิลในยุคต้นๆ และมีบทบาทอย่างสูงเรื่องการบุกเบิกวิชาออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้แบบ GUI ที่เป็นของใหม่ในยุคนั้น ตัวของ Tog เข้ามาทันยุคสตีฟ จ็อบส์ช่วงแรก ผลงานสำคัญของเขาคือเขียนเอกสาร Apple Human Interface Guidelines ที่เป็นคำแนะนำด้านการออกแบบ GUI บนระบบปฏิบัติการแมคอินทอช ส่วน Don ตามเข้าแอปเปิลมาทีหลัง แต่ก็เป็นพนักงานแอปเปิลคนแรกที่มีคำว่า User Experience อยู่ในชื่อตำแหน่ง
แต่ล่าสุด อดีตพนักงานแอปเปิลทั้งสองคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ตำนาน" ของการออกแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ ออกมาวิจารณ์แอปเปิลยุคปัจจุบันว่า "ดีแต่สวย แต่ใช้งานยากขึ้นเยอะ"
ทั้งสองคนวิจารณ์ว่าแอปเปิลในอดีต เน้นการออกแบบเพื่อให้ "ง่าย" ผู้ใช้เรียนรู้วิธีการใช้งานง่าย ค้นหาสิ่งต่างๆ บนหน้าจอได้ง่าย เห็นแล้วรู้ทันทีว่าควรมีปฏิสัมพันธ์กับมันอย่างไร ซึ่งกรอบคิดแบบนี้เกิดจากหลักการและทฤษฎีเชิงวิทยาศาสตร์หลายข้อ คอยกำหนดแนวทางการออกแบบมาโดยตลอด
แต่แอปเปิลในยุคปัจจุบัน กลับเน้นความ "สวย" เป็นหลัก เน้นความ minimal มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทิ้งหลักการเดิมๆ ที่บริษัทเคยยึดถือมาโดยตลอด
ทั้งคู่วิจารณ์ว่า "ความสวย" เป็นแค่มิติหนึ่งของการออกแบบเท่านั้น วงการออกแบบในปัจจุบันไปไกลกว่าแค่เรื่องสวย และนำการออกแบบมาใช้แก้ปัญหาใหญ่ๆ เช่น ความซับซ้อนของเมืองหรือระบบการจราจร
พวกเขาบอกว่าผลลัพธ์คือผลิตภัณฑ์ของแอปเปิลสวยงาม และเมื่อผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ ก็จะโทษตัวเองว่าใช้ไม่เป็นแทนการโทษแอปเปิลซะด้วย เมื่อแอปเปิลเป็นผู้นำทิศทางโลกการออกแบบในปัจจุบัน บริษัทอื่นก็พยายามทำตามโดยไม่เข้าใจหลักการพื้นฐานว่าทำไปทำไม
ทั้งคู่ไม่ได้วิจารณ์แค่แอปเปิลเพียงรายเดียว แต่ยังวิจารณ์กูเกิลว่าผลิตภัณฑ์อย่าง Android และ Google Maps สวยขึ้นทุกเวอร์ชัน แต่ก็ใช้งานยากขึ้นเช่นกัน ส่วนไมโครซอฟท์ทำได้ดีกับ Windows 8 ที่แก้ปัญหาเรื่องการออกแบบหลายอย่าง แต่กลับพลาดเรื่องการทำให้ผู้ใช้เดสก์ท็อปเดิมสามารถใช้งานระบบใหม่ได้ง่าย (ทั้งคู่บอกว่ายังใช้ Windows 10 ไม่เยอะพอที่จะวิจารณ์ได้)
ทั้งคู่ยังวิจารณ์คำอ้างของแอปเปิลยุคปัจจุบัน ที่ชอบอ้างวาทะของ Dieter Rams นักออกแบบชาวเยอรมัน (แบรนด์ Braun) ที่ว่า "Good design is as little design as possible" ว่าคำพูดนี้เป็นหลักการข้อที่ 10 ของ Rams เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว Rams พูดหลักการอื่นๆ ไว้อีก 9 ข้อที่แอปเปิลไม่ได้ปฏิบัติตาม และเลือกหยิบหลักการเพียงบางข้อมาใช้งานแบบเข้าข้างตัวเอง ในเอกสาร Human Interface Guidelines ของแอปเปิล มีหลักการหลายข้อที่ดี แต่แอปเปิลกลับเป็นฝ่ายไม่ยอมทำตามเสียเอง
ใครที่สนใจหลักวิชาด้านออกแบบและ usability แนะนำให้อ่านบทความฉบับเต็มครับ ระดับปรมาจารย์ออกมาเอง
ที่มา - Fast Company
Comments
เห็นด้วยว่า Apple ปัจจุบันนี้ออกแบบแย่ลงมาก โดยเฉพาะ Apple Music นี่สอบตกทั้ง UI/UX เลย :/
App music ใช้ยากจริง +1 จำได้อัพเดทปุ๊ป เปิดมา งง ไปเลย 55+
ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่พักใหญ่
รู้สึกช่วงหลังๆ เหมือนห่างเหินเรื่องนี้ไปในส่วนของ App และ OS ต่างๆ
แต่ Product Design ตัวอื่นๆ ยังพอทำได้ดี
. . ยกเว้นตระกูล iPhone 6 ด้านหลังนี่ รับไม่ได้เลย :(
โดยรวมยังไม่รู้สึกระดับนั้น แต่ apple music นี้เลวร้ายจริงๆ นั้นแหละ ต่อให้มีเพลงดีฟังฟรีแต่ถ้าต้องทนกับใช้ทุกๆ วันก็รับไม่ไหวเหมือนกัน
ใช่ครับ ไม่ไหวจริงๆ ผมนี่เลิกใช้เลย ไปใช้ Tidal แทน ทน UI ไม่ไหว ห่วยเกิน
เหมือนแอปเปิลแกคงจะอยาก implement ตัว Beats Music ใน Apple Music แต่เท่าที่ดูมาดันซับซ้อนกว่า Beats Music เยอะ =="
Coder | Designer | Thinker | Blogger
เห็นด้วยครับ ดูสวยก็จริง แต่กว่าจะหาปุ่ม repeat,shuffle เจอ หาแล้วหาอีก
หน้าจอ lock screen ในไอโฟน 5
กดปรับเสียงยากมากเพราะวางแถบปรับเสียงชิดกับพวก play FF RW เกินไป
มันเล็กๆ น้อยๆ แต่มันน่าหงุดหงิดจริงๆ
แฮะๆ เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ พูดจริงๆ ว่าอยากต่ออายุ Apple Music มาก แต่เพราะ UI เนี่ยแหละที่ทำให้เปลี่ยนใจ
positivity
ใช้ยากจน ผมไม่สามารถใช้ตอนขับรถได้เลยครับ ต้องรอติดไฟแดงเท่านั้นเลย
บ่นให้เพื่อนฟังทุกวัน
อันตรายนะครับ จะใช้ตอนขับรถ ไม่ห่วงตัวเอง ก็ควรห่วงเพื่อนร่วมถนนนะครับ
ทุกอย่างมีพัฒนาการของมันเสมอ
โดนวิจารณ์ขนาดนี้ รุ่นถัดไปไม่มีการปรับปรุงไม่รู้จะว่าไงและ
(คงต้องใช้เวลาปรับปรุง UI สักพักก็ได้ 555)
มือใหม่!! ใหม่จริงๆนะ
เห็นด้วยในฝั่ง Google
Google maps, google drive, google docs ยุคหลังๆ นี่มันใช้ยากไปทุกที
เป็นสัญญาณการล่มสลายของ...
สงสัยเพราะขาด user ปากศักสิทธิ์มาคอยรีวิวให้หรือเปล่า
ถั่วต้มสุดๆ
ยิ่งของ Windows นี่เต็มๆแต่คาดว่า Windows 10 น่าจะได้คำชมขึ้นเยอะ
เดี๋ยวนี้ iOS ใช้ยากขึ้นเรื่อยๆ มีความสามารถใหม่เยอะขึ้นเรื่อยๆ 3D Touch ยิ่งมาทำให้ iOS ซับซ้อนขึ้นไปอีก แต่ก็แลกมาด้วย Function ต่างๆ ที่จะตามมาในอนาคต รอดูว่าจะเป็นยังไงต่อไป แต่ผลก็จะคือ ผู้ใช้โทษตัวเอง (อีกตามเคย) แล้วก็เรียนรู้กันไป...
เห็นด้วยอย่างยิ่ง เปิดบางแอพมาลืมวิธีใช้ไปไหนไม่ถูกก็ต้องกดปิดกลับหน้าโฮม
I'M... , NOT A CLONE.
ไม่หรูไม่สวยก็คงจับกลุ่มลูกค้าปัจจุบันไม่ได้หรอกครับ
ส่วนการลดปุ่มแล้วไปใช้ gesture แทนก็เพราะนอกจากปุ่มจะบดบังดีไซน์แล้วลูกค้าปัจจุบันก็ชอบด้วยแหละที่มีปุ่มเดียวเพราะติดการจำวิธีใช้จากรุ่นก่อนๆจนชินแล้ว
เห็นด้วยเลย ชี้เป้าวิจารณ์ได้ตรงจุดสำคัญจริงๆ
ความเรียบ น้อย ของผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ลยุคตั้งแต่ ipod 1 เนี่ย ภายนอกมันเรียบตามการใช้งานที่เรียบง่าย
แต่ทุกวันนี้ หน้าตาเรียบง่ายยังอยู่ตามสมัยนิยม แต่การใช้งานซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
อย่างระบบ gesture เนี่ย ไม่เฉพาะของแอปเปิ้ลนะครับ แต่ทุกๆอุปกรณ์เลย ตัวผมเองไม่ชอบมากๆ เพราะผู้ใช้ต้องมาจำเอาเองว่าต้องทำยังไง เหมือนการกดสูตรลับวิดิโอเกมเลย เพราะถ้าผู้ใช้ไม่เคยรู้มาก่อนจากสื่อภายนอก จะไม่มีทางเดาพวก gesture พวกนี้ได้เลย
การทำปุ่ม แล้วมีไอคอนหรือตัวหนังสือแปะไว้ว่า อะไรทำอะไรได้ จริงๆนั่นแหละคือความเรียบง่าย ไม่ต้องไปทำเท่ซ่อน GUI หายเกลี้ยงแล้วมานั่งเดา gesture
สงสัย Apple คงคิดว่าผู้ใช้งานสมัยนี้มีความรู้ความเข้าใจในการใช้งาน GUI มากขึ้นกว่าสมัยก่อน ดังนั้นเมื่อคนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าอะไรใช้ยังไง จึงไปเน้นที่ความสวยงามแทนครับ
ผมคุ้นๆ ว่า Joni Ive เคยให้สัมภาษณ์ไว้ประมาณนี้เลยครับ
ประมาณว่า User ปัจจุบันเรียนรู้ที่จะ interact กับหน้าจอแล้ว ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องทำ UI ให้เลียนแบบของจริง (Skeuomorph)
ผมเนี่ยจะไปใช้ iphone แต่ดูๆแล้วมันเกินความจำเป็นสำหรับผม
ที่วันๆโทรอย่างเดียว เพราะปกติทุกอย่าง เกม แต่งรูป ดูหนัง อ่านข่าว ใช้คอม สดวกกว่าเห็นๆ
โชคดีที่ไม่ติดหรู
ผมนึกว่าจะไม่ได้เห็นคำว่า ติดหรู ใน blognone ซะแล้วสิ
แต่ผมว่า iPhone ก็ยังใช้งานง่ายกว่า Android อยู่เยอะนะ สำหรับคนที่ไม่เป็นอะไรมาก่อนเลย ถ้าให้ลองจับทั้ง 2 เครื่อง เท่าที่ผมได้สัมผัสมาจากประสบการณ์ส่วนตัวพบว่าคนใช้ iPhone เป็นเร็วกว่า เช่น swipe to delete เป็นต้น ส่วนของ Android ผมว่ามันมี menu ซ้อน menu มากเกินไป บางอย่างต้องกดค้างถึงจะโผล่ menu ที่ต้องการมาให้เลือก
การมีปุ่ม back สะดวกกว่าสำหรับคนยุคใหม่ แต่สำหรับคนยุคเก่ามันไม่ได้สะดวกกว่าอย่างที่คิด เพราะควบคู่กับปุ่ม back ก็ยังมีปุ่มอีกปุ่ม ซึ่งบางค่ายก็เป็นปุ่มเปิด recent apps บางค่ายก็เป็นปุ่มสำหรับ options ยังไม่นับว่าปุ่ม back บางค่ายอยู่ซ้ายบางค่ายอยู่ขวาอีก ที่สำคัญที่สุดเวลาผู้ใช้เผลอไปกดปุ่ม back โดยไม่ตั้งใจแล้ว Android ย้อนกลับให้ผู้ใช้ไปยัง app ก่อนหน้า ผู้ใช้บางคนก็จะสับสนว่าจะกลับไปยัง app เดิมหรือหน้าจอเดิมอย่างไร เพราะในเมื่อมีปุ่ม back แต่ไม่มีมีปุ่ม forward (หรือ unback)
โดยธรรมชาติเมื่อคนเรากดปุ่มแล้วเกิดผลอะไรบางอย่างที่ไม่ตรงกับความต้องการ และคน ๆ นั้นไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าปุ่มนั้นมีหน้าที่อะไร คนเราก็มักจะกดปุ่มนั้นอีกครั้งโดยหวังว่าจะสามารถแก้ปัญหาให้ได้ แต่คราวนี้กลับสร้างความสับสนให้กับคนที่ไม่รู้ยิ่งขึ้นไปอีกเพราะ back กลับไปถึง 2 รอบ
ผมคิดว่าความง่ายความยากในการใช้งานเป็นเรื่องของความถนัดแต่ละบุคคลนะ
That is the way things are.
swipe to delete นี่ผมว่าไม่ง่ายนะครับ มันไม่มีอะไรบ่งบอกให้รู้เลย แบบ force touch เองก็ไม่มีอะไรบ่งบอกเหมือนกันนอกจากต้องลองจิ้มๆ ดูไม่ก็หาคู่มืออ่านก่อน
+1024
อย่าพยายามเลย เรียนรู้แค่สามปุ่มนี้มันไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก คนๆหนึ่งใช้แค่เครื่องเดียวเท่านั้นแหละ ในขณะที่ iphone สารพัดที่ต้องเรียนรู้ แค่มช้โทรศัพท์ให้คล่องก็ยากแล้ว ยังต้องเรียนรู้ itune อีก แค่สมัครไอดีก็ทำไม่เป็นกันแล้ว
ผมพยายามอะไรตรงไหนหรือครับ ?
iPhone สารพัดที่ต้องเรียนรู้แล้ว Android นี่ไม่สารพัดยิ่งกว่าหรือครับ ? แยกกันระหว่าง home screen กับ app launcer แค่อธิบายให้คนสูงอายุเข้าใจก็ยากแล้ว ปุ่ม back ก็มีปัญหาจริง ๆ อย่าง scenario ที่ผมบอกไป
สมัคร Apple ID ยากแล้วสมัคร Google Play ID ไม่ยาก ?
ค่อนข้างงงกับการแย้งลักษณะนี้มาก พูดแบบเหตุผลที่ไม่เป็นเหตุผลเท่าไร เรียนรู้ 3 ปุ่มไม่ยากแล้วเรียนรู้แค่ปุ่มเดียวไม่ง่ายยิ่งกว่าหรือครับ ? ส่วนปุ่ม menu บนหน้าจอต่าง ๆ Apple ก็มี Android ก็มีเหมือนกัน มันต่างกันตรงไหน ?
That is the way things are.
เท่าที่สอบถามคนอายุ 40+ Andriod ใช้ง่ายกว่านะครับ
พี่ที่รู้จักกันแกมีทั้ง Andriod ของซัมซุงและ Iphone แกยังบ่นเลยว่า Iphone ยุ่งยากและน่ารำคาญในหลายๆเรื่อง
ผมเองยังปวดหัวกับ iphone มากๆในขณะ andriod กลับใช้ได้สบายๆ
ยิ่งแม่ผมกว่าจะสอนให้ใช้ andriod ก็นานแต่พอเอา iphone ให้ลองเรียนรู้ใช้สักพัก
ผมว่าเรียนรู้ปุ่มเดียวนี่ไม่เท่า gestures ต่างๆที่ต้องจำอีก Andriod กดแค่เมนู
อย่าว่าผู้ใหญ่หรือคนแก่เลยครับ หลายคนปุ่ม Assist touch หายนี่แทบร้องกันเลย ผมเลยได้รู้ว่าเขาหา ปุ่มอะไรสักปุ่มที่นำพาเขาไปที่ต่าง ๆ ได้แบบที่เห็นชัดได้ ในทางกลับกันแต่เขาไม่เห็นปุ่มโฮมกลม ๆ เพื่อนผมยังคิดเลยปุ่มไอโฟนกดไม่ได้ แสกนนิ้วได้อย่างเดียว
Google ID สมัครง่ายกว่า Apple ID ครับ เหมือนกับตั้งมาให้สมัครไปงั้นๆเลย แต่ Apple ID จะมีคำถามขั้นตอนเยอะกว่า (น่าจะปลอดภัยกว่า)
พ่อแม่ผม และญาติผู้ใหญ่ (อายุ 65+ ทุกคน) มีปัญหากับอะไรที่เกี่ยวกับ Apple พอสมควรครับ คือเขาเดาไม่ค่อยได้ว่าต้องทำอะไรต่อ ทำตรงไหน แล้วหลายอย่างตรงกับบทความบอกแหละครับว่า ปุ่มมันอยู่ไม่ค่อยเป็นที
แต่ฝาก Android ไอ้ 3 ปุ่มด้านล่าง ทำให้เขาเข้าใจง่ายขึ้นเยอะ (ตรงนี้ Apple มีปุ่ม Home ก็เข้าใจง่าย แต่มีปุ่มเดียว)
ส่วน home screen กับ app drawer (ใช่ตัวนี้หรือเปล่า) คนแก่ ๆ ฝั่งผมก็เข้าใจของ Android นะ ผมบอกแค่ว่า ลงแอพใหม่แล้วมันจะไปอยู่ใน app drawer ถ้าอยากใช้สะดวก ๆ ก็ลากจาก app drawer มาไว้ที่หน้า home screen แต่ในฝั่ง apple ง่ายกว่ามาก คือมันอยู่หน้า home หมดเลย แต่คนใช้บ่นว่า มันรก และกลายเป็นต้องมานั่งจัดทุกครั้งที่ลงแอพเสร็จหรือไงเนี้ย อันนี้ผมไม่ได้ติดตามการใช้งานเขา แต่คงเพราะพอรู้ว่าลงแอพได้ เขาก็ขยันมาลอง มาลง มันเยอะ ๆ เข้าแล้วกลายเป็นรถมากขึ้น ทำให้การค้นหา อะไรพวกนี้ลำบากขึ้นไปอีกหน่อย
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
จากประสบการณ์สอนพ่อใช้โทรศัพท์
พ่อผมใช้ Android ได้คล่องเร็วกว่า iPhone ครับ
2 ปุ่มที่เพิ่มมานี่มีความหมายมากเลยครับ
Android พอเขาคุ้นการกด Menu, Back ปุ๊บ เขาใช้งานแอพทั้งหมดได้ราว 70-80% ทันที
พอล่าสุดเปลี่ยนมาเป็น iPhone เขาต้องหยิบมือถือมาถามผมหลายครั้งแล้ว
ว่าแอพนี้กดเข้าตรงนี้แล้วจะไปหน้าที่แล้วได้ยังไง
บางแอพ Back ก็อยู่บนซ้าย บางแอพก็ไม่ทำมาให้ ต้องกด Cancel หรือปุ่มอื่นแทน แล้วแต่การจัดวางของแต่ละแอพ
(ผมเองรับมา บางทีก็หาอยู่เป็นนาทีถึงจะเจอเหมือนกัน ถ้าเป็นแอพที่ไม่เคยผ่านตามาก่อน
ซึ่งปัญหานี้ไม่เกิดกับ iOS ยุคแรกๆครับ)
ส่วน guesture ต่างๆนั้น พ่อผมไม่สามารถจำได้เลยครับ เต็มที่คือปัดซ้าย/ขวา
ถ้าซับซ้อนกว่านั้นแปปเดียวลืมครับ
ตรงนี้ผมว่าอาจจะดูไม่แฟร์เท่าไหร่ ถ้าลองใช้ไอโฟนก่อนแอนดรอยด์ผลอาจจะเป็นอีกแบบ เพราะสองระบบมันใช้งานได้ต่างกัน การจะสอนให้คนที่มีประสบการณ์มีภาพจำในหัวเป็นแอนดรอยด์เปลี่ยนไปใช้ไอโฟนก็อาจจะทำให้เกิดการสับสนได้ง่ายครับ
กรณีพ่อผม เขาใช้ iPad มาก่อน แล้วผมเอา Tablet Android มาให้ใช้ทีหลัง
Android เขาใช้คล่องกว่าอยู่ดีครับ iPad จะง่ายถ้าสอนให้ทำแค่บางอย่างซ้ำ ๆ ไปเรื่อย ๆ แต่พอเขาเริ่มลงแอพจำนวนมากขึ้น ปัญหาจะเริ่มมา แต่กับ Android ปัญหาลดลงไปเยอะเพราะ 3 ปุ่มหลัก
เพจตัวอย่างผลงานถ่ายภาพ / วีดีโอ
ตอนใช้ Android พ่อผมเคยใช้ ipad ด้วยเช่นกันครับ (iOS 6)
เขาก็บ่นแบบเดียวกันว่าใช้ยากกว่า
เข้าใจครับ คือ คนนึงใช้เครื่องเดียว ดังนั้นการสับสนตำแหน่งปุ่มไม่ใช่ประเด็น
ปุ่ม back ผมก็สอนคน >60 มาสองคน >50อีกหลายคน ก็ไม่เคยเจอปัญหานะ แม้เขาไม่เข้าใจเรื่อง launcher แต่เขาก็ใช้ stock launcher ได้ไม่มีปัญหา sampling bias หรือเปล่าก็ไม่รู้
เห็นด้วย แม่ผม 62 ใช้ asus กับ lg 2 เครื่อง ปุ่มต่างกัน แถม icon ต่างกัน เพราะ Android 4 กับ Android 5 สามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหา แต่ แม่ผมกลับใช้ ipad ไม่ได้ ผมก็งง จนทุกวันนี
ของผมที่บ้านพ่อใช้งานเป็น แต่แม่ใช้งานไม่เป็นครับ แต่ส่วนมากจะต้องมาคอย Support เรื่องเวลาเครื่องอืดมากกว่า (พื้นที่เครื่องไกล้เต็มเลยช้า)
ปล.แต่แม่ผมกลับใช้งาน iPad ได้นะ (ใช้แค่ facebook , youtube กดปุ่มตรงกลางคือออกจากโปรแกรม)
พยายาม?
เห็นด้วยครับ
แม่ผม70ใช้lavaได้ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหามากกับไอแพดของผม ผมเองก็งงน่ะ
ผมหาเหตุผลที่จำเป็นต้องมีปุ่ม forward/redo ไม่เจอแฮะ
ส่วนเรื่องการกด back สองทีสร้างสับสนนั้น ผมว่าคงเป็นแค่การใช้ครั้งแรกๆครับ คนเราเรียนรู้จาก trial and error เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว
ผมเห็นด้วยเรื่องความยากง่ายในการใช้งาน Android กับ iOS ว่าเป็น subjective นะ แต่เรื่องนี้มันเป็นแค่เรื่องเล็กๆในข่าวที่ไม่น่าสนใจอะไรเลย ประเด็นหลักน่าจะอยู่ที่สินค้า/บริการของ Apple ใช้งานยากขึ้นหรือป่าวมากกว่า
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
แม่เราย่าง60 ยื่นipadให้เล่นคุกกี้รันแกก็เล่นได้
ยื่น ainal แท๊ปดรอย แกก็ใช้เป็น
ยื่น 1020 920 ให้ฟัง the shock(เสียหูฟังเปิดลำโพงแบบ analog) ก็ไร้ปัญหา
จะมีมาให้ดูบ้างก็นิดหน่อย เท่าที่สังเกตุแม่เชียวชาญดรอยที่สุดเวลาใส่เพลงให้แกไปเปิดฟังนะ wp นี่สำหรับแม่ถือว่ายากสุดครับเข้าแล้วออกเมนูไม่ถูกตลอด ทำเมนูลึกลับซับซ้อนเกิน
The Last Wizard Of Century.
ตั้งแต่ 5.1 นี่ผมว่ามันใช้ง่ายขึ้นมากครับ แต่สำคัญคือความเคยชินของผู้ใช้มากกว่า
สำหรับผมปุ่ม back นี่สะดวกมากเลย
เวลาใช้ iP่hone หรือ iPad ผมจะรู้สึกอึดอัดมาก
แค่อยากจะไปที่หน้าก่อนนี้ ต้องมาหาอีกว่า ปุ่มสำหรับ back ของ app นั้นวางไว้ตรงไหน
ถ้าเป็น Android มันไม่อยู่ขวา ก็อยู่ซ้าย
ใช้ปาดซ้ายก็ได้ครับ สะดวกกว่ากดปุ่ม back อีก
กรณี back แล้วจะกลับที่เดิม ก็ทำเหมือนไอโฟนเลยนี่ครับ กด home แล้วเข้าแอปใหม่
อันนี้ผมว่ายากเท่ากัน แต่อันนึงมีทางเลือกส่วนอีกอันไม่มีนะ
ที่เห็นด้วยคือความยากง่ายขึ้นกับบุคคล อย่างผมชอบ gesture ของไอแพดมาก และไม่ชอบปุ่มของแอนดรอยด์แทปเลทเลย
แต่ในกรณีนี้ ผมว่าเค้าหมายถึงง่ายแบบมองแล้วใช้เป็นเลยนะครับ
ผมว่ามันดูยากขึ้นตั้งแต่เปลี่ยน Skeuomorphism เป็นแบบ Flat นี่ล่ะ
ปุ่ม Back ของแอนดรอยด์นี่แหละ ใช้แล้วจะติดใจ
ชอบตรงประโยคที่ว่า
"และเมื่อผู้ใช้ไม่สามารถใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ ก็จะโทษตัวเองว่าใช้ไม่เป็นแทนการโทษแอปเปิลซะด้วย"
ซึ่งจะไม่เห็นแน่ๆ ในผู้ใช้แบรนด์อื่นๆ สะสมบารมีไว้ได้ขนาดนี้เลยทีเดียว
ก็ปกตินะครับ ตอน windows มาใหม่ๆ คนที่ใช้ไม่เป็น ก็โทษตัวเองกันทั้งนั้น เพราะโลกมันก็ต้องพัฒนาของมันไป
ผมนี่ติดใจเลย ด่าทุกวันเช้าเย็น
กดในแอปนึง แค่กลับหน้าเดิม
กดในอีกแอปนึง กลับไปหน้าโฮมเฉย
บางทีมีเป็น popup ขึ้นมา เลยกด back เพื่อต้องการ cancel กลายเป็นกลับหน้าเก่า
พอมันไม่ consistent แล้วมันทำให้งงมากว่าปุ่มนี้คืออะไรกันแน่ ถ้าเป็น iOS มันอาจจะเหนื่อยตรงตามหาว่าแต่ละแอปปุ่ม back อยู่ไหนแต่อย่างน้อยมันก็คาดเดาได้ว่ากดแล้วจะเกิดอะไรขึ้นน่ะครับ
onedd.net
ผมเป็นคนนึงที่ติดใจปุ่ม back ของ andriod ครับ
ส่วนใน iOS หลังๆ จะใช้ gesture ปัดกลับได้ และใช้จนชิน
เวลาไปใช้ andriod ก็จะพยายามปัดกลับ อ้าว ปัดไม่ได้ ต้องกด back และกดแล้วบางทีก็จะปิด app หรือสลับไป app อื่น
ในเคสเรื่องปุ่ม back นี่ ผมให้เป็นเรื่องความเคยชินล้วนๆ ครับ
flat design นี่ไม่ไหวจริง ๆ ครับโดยเฉพาะสำหรับพวกผู้ใหญ่ ผมนี่กลายเป็นพนักงาน genius bar ของแอปเปิ้ลไปละ
แกดูไม่ออกว่าอะไรบนจอที่มันกดได้บ้าง และไอคอนหลาย ๆ อันก็ไร้รายละเอียดจนต้องเดานานกว่าจะนึกออก
แถมตัวหนังสือบาง ๆ ก็อ่านยาก เชียร์ไปใช้แอนดรอยด์ก็ไม่กล้า เพราะแกเชื่อว่ามันซับซ้อนและคุณภาพแย่กว่าไอแพด
ส่วนตัวผมเอง ผมรักและชื่นชมในดีไซน์แบบ skeuomorphism มากครับ ผมคิดว่ามีข้อดีกว่า flat ในทุกด้าน รวมถึงสวยชวนมองกว่าตั้งเยอะ
ผมนี่นึกถึง Gmail ในช่วงหนึ่งเลย
ทุกอย่างทำเป็น hyperlink หมด แล้วพ่อผมหาไม่เจอว่าจะ compose mail ได้ด้วยปุ่มไหน = ="
ผมกลับคิดว่า iPhone iPad ยิ่งนานยิ่งไม่มีความสวยงามเลย macbook นี่ก็หน้าตาเดิมๆ มากเกินไป จนรู้สึกน่าเบื่อ
เปรียบเทียบ ipad กับ tab s2 แล้ว ipad จะจืดชืดมาก ตัวอักษรก็ลีบเล็ก จางอีกต่างหาก
บน iOS ยุค Forstall ผมชอบนะ ทั้งสวยและใช้งานง่าย แต่ยุค Ive นี่ไม่ไหว สวยอย่างเดียวแต่ให้สอบตกเรื่อง UX ตัวอย่างชัดๆ ก็ Apple Music เนี่ยหล่ะ ห่วยแตก
ให้แก Design Hardware อย่างเดียวก็พอ อย่ามาจับ UI เลย
สมัยก่อนออกจะออกแบบ UI ที มีการคิดคำนวนมาอย่างดี มีสถิติอ้างอิงสารพัด พอมาสมัยนี้เหมือนออกแบบตามใจฉัน ผมเห็นกับสิ่งที่แกวิจารณ์ทุกอย่าง
เห็นด้วยครับ Ive ออกแบบไม่โดนใจเลย
เมื่อก่อนผมก็ตื่นเต้นกับ Skeuomorphism แบบ Forstall นะ แล้วก็แอบสงสัยใน Flat ดีไซน์ว่ามันจะเวิร์คป่าว
แต่ตอนนี้ถ้าให้กลับไปใช้ Skeuomorphism ก็ไม่เอาแล้วนะ
ชินกับ Flat ไปแล้วจนรู้สึกว่าแบบเก่ามันเวิ้นเว้อจนเหมือนเค้กหน้าครีมหนาๆ เลี่ยนๆ
ข้องใจการ design ยุคใหม่ของ apple ด้วยเหมือนกัน (ผมใช้ ipad ) สงสัยตรงที่ให้กด back to ... ที่มุมบนซ้าย ที่ทับกับระดับสัญญาณเครือข่ายนี่คืออะไร เห็นครั้งแรกขัดใจมาก เหมือนออกแบบมาลวกๆ ยังไงก็ไม่รู้
ผมว่า Ive ไม่ผิด ครับ UX เนี่ยหน้าที่ Jobs ไล่บี้ ใครทำให้เขาใข้งานยาก จะโดน
พอ Jobs ไม่อยู่เห็นว่าจ้างคนมาทำแทน แต่อำนาจคงน้อยกว่า Ive
สรุป Ive เขาก็ทำเหมือนเดิม แต่ขาด jobs คอยตรวจงาน
ผมเดาว่าแบบนี้นะ
ส่วนพี่ทิม เน้นผลิตให้เยอะเร็ว เห็นได้จากแปลบเดียวมาถึงไทยขายแล้ว แต่ก่อนรอเป็นเดือน
เห็นด้วยมากๆ เรื่อง UX ตอนนี้ ไม่มีใครมาคานความคิดเห็นได้ น่าจะต้องหาคนทดสอบมากขึ้น
คงต้องรอผู้ใช้ว่าไปหรือไม่ก็ยอดขายสะท้อนกลับไปครับคงจะรู้สึก แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ในยุคนั้น ตอนนี้มันคือยุคทองของ Apple ที่สั่งสมมาตั้งยุค iPhone สั่งสมมามากยังไม่หมดสักที
ส่วนตัวไม่มีปัญหากับการปรับตัวครับ แต่จากการที่ย้ายกลับมา Windows แล้วรู้สึกว่าส่วนติดต่อผู้ใช้ OS X ยังทำได้ดีกว่า Windows 10 ที่ขัดใจมาก ๆ ตรงที่ Settings กับ Control Panel ซ้ำซ้อนกัน การปรับหลาย ๆ อย่างต้องเปิดทั้งสองอย่าง รู้สึกสิ้นเปลืองทรัพยากรมากครับ.
Microsoft กำลังพยายามจะย้ายทุกอย่างจาก Control Panel ไปไว้ที่ Settings ที่ยังต้องคงไว้ทั้ง 2 อันเพื่อให้ผู้ใช้ค่อยๆ ปรับตัว
ถ้าหักดิบก็จะมีสภาพเดียวกับตอนตัด Start Menu ออก
ถ้าไม่ปรับก็จะโดนกระแนะกระแหนเรื่องความไม่เข้ากันของ UI
ในอนาคตก็เดาไว้ 2 ทาง คือทุกอย่างจบที่ Settings กับ ยกเลิก Settings แล้วเก็บ Control Panel ไว้โดยที่หน้าตาของ Control Panel จะเปลี่ยนไป (แบนๆ เรียบๆ)
คนขี้ลืม | คนบ้าเกม | คนเหงาๆ
ผมว่า Settings มันยังไม่เสร็จมากกว่าครับ มันเลยเป็นแบบที่เห็น แต่ถ้าเสร็จแล้วก็อยากให้เก็บ CP ไว้เหมือนเดิมแหละครับ
MS อยากทิ้ง Control Panel แล้วเก็บ Settings ไว้ให้ใช้อย่างเดียวครับ
แต่ถ้าตัด Control Panel ทิ้งไปเลยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
ค่อยผสมๆ แล้วปรับเปลี่ยนไปแบบนี้ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
setting + control panel หลายคนบอกต้องค่อยเป็นค่อยไปซึ่งผมก็เข้าใจนะ แต่สำหรับผมในฐานะผู้ใช้รู้สึกรำคาญชะมัดเวลาไปเลื้อยเมนูหา setting แล้วไม่มี ต้องโดดไปเลื้อยเมนูต่อใน control panel อยากให้ทั้งคู่ทำได้เหมือนกันไปเลย
แล้วUI ของ Windows Phone ?
เห็นด้วยอย่างมาก ตั้งแต่ iOS 7 ไปที่ Apple เริ่มทิ้ง Skeuomorphism
มันก็ใช้ยากขึ้นเรื่อยๆ และสำหรับผมมันไม่ได้สวยขึ้นด้วยสิ
ยกตัวอย่างจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่แย่ลงเช่นการบอกสเตตัสการชาร์ตแบต เนี่ยงงมาก
ปุ่ม shuffle / repeat ใน Music (ที่พึ่งมาแก้ใน iOS 9 แต่ก็ไม่สวย)
ไม่มีตัวบอก Status "Playing Media" บน Status bar
ใช้ Up next แทน Albums ใน Music
UI ของ Apple Music ที่รู้สึกว่าควรแยกไปทำแอพของตัวเอง
การขยายขนาด Albums ไปกินพื้นที่ Status bar แล้วไม่สวยเลยดูเกินๆ
ปุ่ม Back ที่ยอมรับว่าใช้ง่าย แต่มันไปทับ Cellular แล้วเหมือนงานออกแบบไม่เสร็จ
แถมมันทำให้ซับสนว่ามันมีมากกว่า 1 วิธี
สัญลักษณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแล้วดูไม่ออกว่าเอาไว้ทำอะไรเน้น Minimalist เกิน
ปล. นี่มันกระทู้ระบายความอัดอั้นจากบรรดาสาวกรุ่นเก่าใช่มั๊ย T____T
เห็นด้วยเลยครับกับบทความนี้ ผมเป็น fan boy เดนตายคนนึงของ apple มี macbook มี ipad มี iphone มี ipod แต่ผมก็ใช้android เพราะไปใช้ htc one อยู่พักหนึ่ง
แต่พักหลังผมก็รู้สึกว่า apple ออกจากฝั่งไปไกลทุกทีแล้วครับ 55
Apple music นี่เลวร้ายมากครับ ไม่ชอบอย่างแรง เปิดออกมานี่คืองงตลอด ว่าจะไปเมนูเพลงยังไง จะเรียงเพลงยังไง play list ไปอยู่ไหน บางครั้งจะ edit play list เลื่อนเอาเพลงที่อยู่ล่างสุดขึ้นมายังทำไม่ได้ มันเพี้ยนไปหมดเลย แถมถ้าเปิด apple music แล้วให้ merge คลังเพลงนี่หายนะเลยครับ
อยากให้แยก apple music ออกไปจาก music ใจจะขาด
ผมว่า Windows 10 ทุเรศกว่าหลายร้อยเท่าอีกนะ
ทุเรศตรงไหนครับ?
Destination host unreachable!!!
นั่นสิ มีที่ผมไม่ชอบอย่างเดียวแค่เรื่อง context menu ในแต่ละส่วนไม่เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
บางอันเป็นแบบเก่า บางอันแบบใหม่ ที่เหลือพอใจมาก
ใน 1511 มันแก้แล้วนี่ครับ
Quick Access กับหน้าต่าง Settings ใหม่ ไอ้ที่ทำมาดีๆโดนไอ้สองตัวนี้ยกมาเสนอหน้าก่อนทุกครั้ง
เมนูยิบย่อยทำเป็น Text ลวกๆ พอจับลงจอ Wide Screen พี่แกอยู่ชิดซ้ายหมด
เมนูเกี่ยวกับแป้นเปลี่ยนภาษา (คนแก่เขาชินกับ Grave Accent) ก็หาลึกกว่าเดิม
แล้วก็เลิกบอกให้พิมพ์ Search หาเองด้วย เพราะบางคนก็ไม่ได้เก่งภาษาไปหมดทุกคน
ทุเรศพอหรือยัง?
คิดว่าไม่ถึงกับเรียกว่าทุเรศหรอกนะ แต่ก็มีแย่ลงหลายจุด
ไตเติลบาร์กับเนื้อหาในวินโดวส์ สีเดียวกัน ไม่มีอะไรบอกว่าจบขอบเขตของไตเติลบารืแล้ว เวลาคลิกเพื่อลากวินโดวส์ ต้องเล็งยากมาก
เวลาลากเพื่อก็อปปี้หรือมูฟไฟล์ ลากแล้วปล่อยลงอีกวินโดวส์นึง ถ้ามาไฟล์หรือโฟลเดอร์ซ้ำกัน รุ่นเก่ามันจะเด้งไดอะล็อกขึ้นมาบนสุด ถามเลยว่า จะให้ทับหรือไม่ แต่ 10 เนี่ย เด้งแล้วอยู่ล่างสุด ไม่เห็นเลย งงมาก ลากหลายรอบจนมันขึ้นไดอะล็อกยาวเป็นหางว่าว กว่าจะเจอสาเหตุ ต้องมาคอยปิดนานได้อีก
ตอนลากเพื่อก็อปปี้หรือมูฟไฟล์ผมก็มีไดอะล็อกขึ้นมาเตือนปกตินะครับ
Windows 10 คือ OS ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในประวัติศาสตร์ของไมโครซอฟต์แล้ว
มาย ๆ ๆ ๆ ถ้าเปิด Fast ring จะรู้ว่ามันแก้ไขถี่+บ่อยมากๆ กว่าไปจะไปถึงจุดที่เรียกว่าสมบูรณ์ก็อีก 1-2 ปีนั้นแหละ ถ้าสมัยก่อนก็เรียกว่ารอ service pack ต่อไป
Windows 7 ต่างหาก
สำหรับผม Windows 10 คือ Windows ME รุ่นที่ 2
ผมว่า Windows 7 สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว ผมชอบกว่าทุกตัวที่ผ่านมา
แต่ยังจำเป็นต้องใช้ Windows XP T_T
ใช้บน Surface pro 3 ก็ไม่เห็นทุเรศตรงไหนนี่ครับ
ได้ไอแพดมาห้าหกวัน รู้สึกเหมือนในบทความเป๊ะ
เห็นผู้ชื่นชอบในผลิตภัณท์ apple จนเข้าไส้ ออกตัวแต่ล่ะเรื่องนี่ นะ...
พอไม่รู้จะแถยังไงก็บอกว่า "ผมเองว่าใช้ไม่ยากนะ" แต่พอโดนไล่จนแต้มก็จะบอกว่า ดูยอดขาย เอา
ข่าว apple ทีไร ดราม่ามันส์ทุกที
แรกๆ ก็ใช้ง่ายครับ ฮ่าๆ พอเห็นพวก อะไรที่ Gesture มาผมว่ามันจะเริ่มยากละครับ มันต้องจำมากขึ้น
มีใครพอจะยกตัวอย่างให้พอเห็นภาพหน่อยได้มั๊ยครับ
ว่า UI ส่วนไหนของ Apple ที่ว่าใช้ยาก แล้วถ้าเปรียบกับคู่แข่ง (เช่น android)
เค้าจัดการในส่วนตรงนี้ได้ดีกว่ายังไงครับ
ก็ทุกเรื่องที่อยู่ในเนื้อข่าวและที่คุยกันใน comment นั่นแหละครับ
ปุ่ม back, gesture, menu ซับซ้อน, บลาๆๆ ที่มันมีผลกับการเรียนรู้การใช้งานของผู้ใช้
ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบของระบบไหนก็ตาม เมื่อผู้ใช้ไม่สามารถนึกหรือหาได้ว่าจะทำสิ่งที่ต้องการอย่างไร เมื่อนั้นแหละครับ บรรลัยเกิด
หรือแม้แต่การขัดขวางเล็กๆ น้อยๆ เช่น Assistive Touch บังปุ่มเวลาจะกดถ่ายรูปก็ทำให้หงุดหงิดได้ (เป็นปุ่มกลมๆ ขนาดเท่าๆ กันเสียอีก)
เรื่อง Assistive touch อันนี้น่ารำคาญจริงครับ
onedd.net
Assistive Touch นี่ผมว่าจะโทษ Apple ก็ไม่ถูกนะเพราะเค้าไม่ด้ตั้งใจให้คนทั่วไปใช้อยู่แล้ว
แต่รู้สึกว่าจะเปิดมาให้เป็น default ไม่ใช่หรอครับ สำหรับคนทั่วไปเลยกลายเป็น popup menu ไปเลย
ผมใช้ iphone มาสามเครื่อง ไม่มีเครื่องไหนเปิดเป็น default เลยครับ
แถมไม่มีเครื่องไหนที่ปุ่มเสียด้วย - -a
onedd.net
ไปฟังใคร หรือไปเห็นที่ไหนมาครับ ที่ว่า default เนี่ย
เห็นจากทุกเครื่องของคนในบ้านครับ พวกเขาไม่ใช้ super user ที่ชอบเข้าไปเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่ด้วยสิ
เลยเข้าใจว่าเปิดมาให้ตั้งแต่ซื้อเครื่องมา *บางเครื่องในจำนวนนั้นซื้อจากศูนย์ DTAC
ทั้งหมดนั้นพนักงานขายเป็นคน set ให้แน่นอนครับ
ผมสั่งจาก Apple Store มา 4 ครั้ง (iPhone 3 ea., iPad 1 ea.)
เปิดครั้งแรกไม่มี Assisttive touch เลยครับ
เรื่อง Assistive Touch นี่ผมคิดว่าร้านตู้มาบุญครองเป็นคนจุดกระแสครับ ยุคก่อน iPhone 5 ปุ่มโฮมพอใช้ไปเรื่อยๆ จะเสียกันเยอะ ก็เริ่มมีคนบอกว่าให้กดเปิด Assistive Touch ขึ้นมา หลังจากนั้น กลายเป็นอุปทานหมู่ตามๆ กันมาว่า ถ้าได้ iPhone มาปุ๊บ ให้เปิด Assistive Touch ขึ้นมาใช้เลย จะได้ถนอมปุ่มโฮม ไม่เสีย (มันไม่ได้ตั้งเป็น default นะครับ แต่น่าจะเป็น default ของคนขายมือถือทั้งร้านตู้ ร้านศุนย์ ที่เซ็ตเครื่องให้ลูกค้า)
ซึ่งหลังๆ ปุ่มโฮมมันพัฒนาแล้ว ไม่ได้เสียง่ายเหมือนเมื่อก่อน แต่กลายเป็นว่าคนใช้ติดกับปุ่ม Assistive Touch ไปแล้ว
ซึ่งผมเห็นทีไรก็หงุดหงิดทุกที
ช่วงแรกคนไม่มีประกาศกับจอสัมผัสการออกแบบแนวปุ่มจริงๆ (Skeuomorphism) จึงเหมาะ ตัดสินได้จาก Windows Phone ที่สอบตกหนักมาก(พิจารณาเฉพาะด้านดีไซน์)เนื่องจากคนไม่รู้ว่าต้องกดอะไร? อะไรคือปุ่ม?
ต่อมาพอคนเริ่มมีประสบการณ์การใช้มากขึ้น ผู้ใช้คุ้นเคยมากขึ้น ก็เลยลดความยุ่งเหยิงบนหน้าจอลงด้วยแนวทางออกแบบบางๆ (Flat) ซึ่งกลูเกิ้ลก็เห็นคล้ายกันเลยกำหนด Material Design ขึ้นมา โดยแนวทางออกแบบมันคือกระดาษที่วางซ้อนกันจนเกิดเป็นเงาผสมกับน้ำหมึก ซึ่งถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนเป็นลูกผสมระหว่าง การออกแบบที่มองของจริงๆ (Skeuomorphism) กับแนวทางแบบบางๆ (Flat) ที่เน้นความเรียบง่าย
โดยส่วนตัวผมคิดว่า ดีไซต์ iPhone ยุคใหม่อาจใช้งานยากกว่าเดิมจริงเหมือนอย่างในข่าวว่า แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเลวร้ายหนักมากขนาดนั้น
ในฐานะคนเขียน web ผมชอบ Material Design, Card UI มาก เพราะไม่ต้องทำ file รูปเลย :D
พอเลือกสีดีๆ contrast สูงก็สบายตาหาของง่ายด้วย
การคิดให้มากๆ ของคนที่ออกแบบจนได้รูปแบบการใช้งานที่ง่ายและแทบไม่ต้องคิดของผู้ใช้และความเรียบง่ายที่หายไป เห็นด้วยทุกประการกับบทความนี้ แต่เรื่องความสวยงามผมว่า UI ล่าสุดนี่ก็ไม่ได้สวยงามสักเท่าไหร่นะ
UI สไตล์ Minimal ควรจะให้ความรู้สึกเบาและคล่องตัว แต่ทำไมผมรู้สึกว่า Skeuomorphism แบบสมัย iOS 6 มันทำงานไวกว่า...
ถ้าผมได้โจทย์ต้องออกแบบ UX/UI ให้ไม่ตกยุคในอีก 10 ปี ผมคิดว่าผมจะใช้แนวทางออกแบบตามแอปเปิลนี่แหละ
แนวทาง Flat ตอนนี้กำลังถูกพัฒนา บางปุ่มมีแค่พื้นหลังรอง และบางปุ่มมันเหลือแค่เส้นรอบอักษร ภาพรวมเหมือนเน้นให้เห็นพื้นหลังร่วมด้วย ผมมองว่ามันออกแบบมาให้รับกับ 3D Touch ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในการพัฒนาแค่ขั้นต้น ยังไม่เป็นทิศทางชัดเจน ซึ่งจากแนวทางนี้มันประยุกค์ไปใช้ออกแบบ UI ใน Virtual Reality ได้ทันทีด้วย ส่วนเรื่อง Gesture ถ้าจะมองให้ง่ายหรือ minimal สุด ก็คงเป็น Gesture นี่แหละ ตอนนี้มันเป็นปัญหาเพราะยังไม่มี Gesture พื้นฐาน มันเลยต้องใช้การเรียนรู้ที่สูงกว่าปุ่มธรรมดา คนเลยไม่ชอบกัน
เรื่อง Form ดูจะไม่ใช่ประเด็นครับ ประเด็นที่เป็นปัญหาหลักที่เค้าพูดถึงกันคือเรื่อง Function
ผมเข้าใจว่า Gesture ที่ดีควรเลียนแบบการเคลื่อนไหวของมือตามธรรมชาติให้เนียนที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้ฐานข้อมูลเดียวกับ gesture ในชีวิตจริงที่เรียนรู้มาตั้งแต่เกิดได้ทันที
เช่น ปัดซ้ายขวาคือเปลี่ยนรูป, ปัดลงคือลบ, ขยุ้มถ่างคือย่อขยาย ซึ่งเมื่อตอน iPhone เปิดตัวได้แสดงให้เห็นแล้วว่าถูกต้อง
ซึ่งทำให้มีข้อจำกัดคือ function ที่ทำได้น้อยเกินไป ผมคิดว่าสามารถแก้ได้ง่ายๆ โดยใช้ข้อความหรือ icon ช่วยได้ เช่น icon, app บนจอของ Android เวลากดค้างพื้นที่รอบๆ จอจะขึ้นมาว่า ถ้าลากมาปล่อยตรงนี้จะเป็นย้ายที่นะ, ปล่อยตรงนี้จะลบนะ, ฯลฯ ก็คล้ายการปัดลงเป็นลบเพียงแต่บอกให้ผู้ใช้รู้ชัดเจนไปเลยว่า ลงล่าง เป็น ลบ
ส่วนที่พิศดารกว่านี้ 2 นิ้ว, 3 นิ้ว, 4, 5, 10 นิ้ว ไม่ว่าจะอ้างว่าติดปัญหาอะไรก็ต้องไปด่าคนออกแบบ ไม่ใช่ด่าตัวคนใช้เอง
จริงๆ ผมก็คิดมานานแล้วนะครับ เรื่อง Post PC Era
ลองซื้อ iPhone กับ smartphone ใหม่เอี่ยม มาอย่างละ 1 เครื่อง
ห้ามสียบ โทรศัพท์ เข้ากับ computer
ต่อที่ชาร์ตไฟได้เท่านั้น
แล้วลองใช้งานดูซัก 2 อาทิตย์ดูนะครับ
ใครใช้งานยากกว่ากัน แล้ว ที่บอกว่า Post PC Era
มีแค่ตัวมันเปล่าๆ ไม่มี PC Support อยู่ข้างหลังมันใช้งานได้จริงมั้ย ?
ถ้าอยู่ใน Ecosystem ของ Apple เต็มๆจะง่ายมากครับ ทุกอย่างจ่ายจาก iPhone ใช้บน iPhone ได้เลย (แน่นอนค่า Content แพงเรือหาย)
ยุคก่อนอาจจะไม่ได้นะฮะ แต่ตอนนี้ได้แทบ 100% แล้ว เพราะทุกอย่างอยู่บน iCloud
ผมแทบไม่เคยต่อ iPhone กับคอมแล้ว
ถ้าต่อ internet ได้ผมว่าไม่ connect PC ก็เหมือน connect นะ
จะ email, ฝากรูป, เปิด web ทุกวันนี้หลายคนก็ไม่ได้แตะ PC อยู่แล้ว
จะ back up ก็มี cloud storage auto sync อีกต่างหาก
ผมเข้าใจคำว่ายุค Post PC ไม่ได้หมายถึงไม่ใช้ PC แต่เป็นการจัดระดับ mobile และ embedded device ให้อยู่ในระดับเดียวกับ PC ต่างหาก คือจะใช้งานผ่านอุปกรณ์ไหนก็ได้เหมือนกัน
ผมคนนึงที่เป็นแฟน Apple มาหลายปี .. รู้สึกว่า Apple ตกต่ำลงจริงๆ ในเรื่อง UX อาจจะเป็นเพราะว่า แรกเริ่มเดิมที สตีฟ จ๊อป ตั้งใจให้หน้าจอ 3.5 นิ้ว เป็นบรรทัดฐานของสมาร์ทโฟน (ซึ่งตรงนี้ จ๊อป คิดผิด) ปุ่ม back ส่วนใหญ่จึงอยู่ขวาบน ลากยาวจนมาถึงปัจจุบัน ทำเอาผู้ใช้ไม่ถนัด และใช้งานยาก .. ถึงแม้จะมีความพยายามแก้ไขตรงจุดนี้ใน iOS7 และ reachability ใน iPhone6 ขึ้นไป ก็ยังใช้งานยากอยู่ดี
ไม่รวมไปถึง Apple Music ที่ปวดเศียรเวียนเกล้า และล่าสุด Podcast ใน iOS9 ที่มีแต่คนรุมด่า >> https://discussions.apple.com/thread/7223339
"ดีก็ชม ห่วยก็ด่า"
เห็นด้วยกับข่าว
ใช้มาตั้งแต่ ios 5 จน ios 9
รู้สึกว่ามันใช้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และยิ่งมันแบน เรียบ ราบ ยิ่งงงว่ามันกดตรงไหนได้บ้าง
OSX ก็เหมือนกันพวกแอพ iwork ตัวใหม่สวยกว่า iwork 09 แต่ใช้ทำงานได้แย่กว่า
(ผ่านมา 2-3 ปีก็ยังไม่เห็นจะพัฒนาฟีเจอร์ให้ดีเท่า 09 ได้)
ส่วน apple music .....มันไม่ใช่ มันไม่จริง มันคือฝันร้ายยยยยย
iWork นี่แย่จริงครับ เห็นด้วย
อยากจะกระโดดถีบคนทำตลอด ตอนเปลี่ยนจาก 09 มา
ผมกลับมองว่า การลดเหลือปุ่มเดียวและทำให้ปุ่มเพียงปุ่มเดียวนั้นมีฟังก์ชั่นการทำงานที่หลากหลายขึ้น เป็นสิ่งที่น่าจะยกไปเป็นตัวอย่างที่ดี เสมือนการใช้พื้นที่น้อยให้เกิดประโยชน์สูงสุด
มีหลายครั้งที่ผมได้รับโจทย์การออกแบบที่เน้นฟังก์ชั่นการทำงานเยอะบนพื้นที่แสดงผลจำกัด หรือใช้ปุ่มเพียงปุ่มเดียวแต่จะเรียกใช้งานฟังก์ชั่นที่หลากหลายได้อย่างไร จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ใช้จะต้องเรียนรู้และเข้าใจวิธีเรียกใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ได้เองจากการทดลองใช้ครั้งแรก
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
เพราะ UX เขาเน้นที่การใช้งานง่ายครับ ถ้ามีปุ่มเดียว แล้วยัดๆฟังก์ชันอะไรลงไป มันจะมีความลำบากในการเรียนรู้ขอผู้ใช้ หรือใช้งานยาก หรือใช้ระยะเวลาเรียนรู้สูง พอยากก็ไม่อยากใช้ ผมว่าถ้าคุณเป็นนักออกแบบก็น่าจะทราบเรื่องพวกนี้นะ
ผมอธิบายให้เกิดความผิดพลาก ที่ "จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของผู้ใช้จะต้องเรียนรู้และเข้าใจวิธีเรียกใช้ฟังก์ชั่นต่างๆ ได้เองจากการทดลองใช้ครั้งแรก"
ซึ่งตรงนี้ เป็นขั้นตอนของนักออกแบบด้วยเช่นกัน ที่จะต้องทำให้ผู้ใช้เข้าใจวิธีการใช้งานได้อย่างรวดเร็วที่สุดในการใช้งานครั้งแรกๆ
ผมเข้าใจว่าทำไม Apple ถึงมองข้ามจุดนี้ไป เพราะปัจจุบัน Smart Phone มีใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็ว และน้อยคนในปัจจุบันนี้ที่จะไม่เคยจับ Smart Phone มาก่อน ในปัจจุบันนี้ไม่มีผู้ใช้ iPhone คนใดออกมาร้องเรียนหรือบ่นเรื่องว่าต้องกดปุ่มถึง 2 ครั้งเพื่อที่จะปิดโปรแกรม หรือต้องกดปุ่มครั้งนึงเพื่อย้อนกลับ เพราะมันถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว "กลายเป็นเรื่องง่ายๆ แค่กดปุ่มเดียว" นี่คือความสามารถในการควบคุมผู้ใช้ของ Apple (ไม่ใช่ผู้ใช้ควบคุม) ส่วนในหลายๆ App ก็จะมีการออกแบบปุ่มย้อนกลับอยู่ใน App นั้นๆ (ตอนใช้ Android แรกๆ ผมงงมาก เอ๊ะ ไม่มีปุ่มย้อนกลับ ออ... มันอยู่ที่ตัวเครื่อง)
หากมองที่ตัวของ Android เอง ก็มีการใช้หนึ่งปุ่มนอกเหนือ 1 คำสั่งเช่นกัน เช่นการกดค้างเพื่อเลือกปิดโปรแกรมที่ได้เปิดทิ้งไว้ ผมจึงมองว่ามันไม่ได้ต่างอะไรกับปุ่ม Home ของ iPhone สักเท่าไหร่นัก
ผมเชื่อว่าไม่ว่าจะ iPhone หรือ Andriod ถ้านำไปให้กับผู้ที่ไม่เคยใช้มันได้ใช้ ก็จำต้องมีเวลาในการเรียนรู้การใช้งานด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย ไม่ต่างกัน
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
เห็นด้วยกับ คุณ 7elven นะ
การออกแบบที่ดีคือ ให้คนสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องมีคู่มือ แม้เขาจะไม่เคยใช้มาก่อน
ตอน iPhone ออกมาแรกๆ Slide เพื่อเปิดเครื่อง > กด iPod, เล่นเพลงที่ต้องการ
มันเป็น 3 ขั้นตอนที่ง่ายที่สุด แถมการ ใช้นิ้ว Slide เพื่อเลือกเพลงที่ต้องการ มันเป็น WOW Factor ในสมัยนั้นมาก เพราะไม่มีใครทำได้ และง่ายกว่าการคลิก คลิก ปุ่มเพื่อเลื่อนลงมาซะอีก
ถ้าคุณทำให้ 3 ปุ่ม บนจอเหมือน Android แต่ละปุ่มคลิกทีเดียวแล้วมีประโยชน์สุดๆ มันจะมีค่ามากกว่า ปุ่มเดียว แล้วต้องคลิกหลายๆทีครับ เพราะมันจะประหยัดเวลาและการจดจำของผู้ใช้
ในบอร์ดของ Apple มีการเรียกร้องกันกระจายครับ ล่าสุกก็เรื่อง Podcast เป็นสิบข้อ
เห็นด้วยกับคุณ 7eleven เหมือนกันครับ
อีกอย่างนึงคือ การเรียนรู้เป็นหน้าที่ผู้ใช้งานก็จริง แต่ผู้ออกแบบก็ควรทำให้ผู้ใช้งานเข้าถึงและเข้าใจได้ง่ายด้วยเช่นกันไม่ใช่ผลักภาระไปให้ผู้ใช้งานอย่างเดียว
ออกแบบให้ผู้ใช้งานเข้าใจได้ง่ายที่สุดเข้าถึงได้ง่ายสุด Function ที่เป็นพื้นฐานเช่น Back (Undo) / Forward (Redo) ต้องเข้าถึงให้ง่ายและเร็วที่สุด
Function ที่นานๆใช้อาจจะเข้าถึงได้ยากขึ้นนิดนึงเช่นกดค้างสามวินาทีแล้วปิดเครื่อง (เพราะมือถือหรือ Tablet คงไม่ค่อยมีใคร Shutdown สักเท่าไหร่)
ยกตัวอย่างถ้ามีปุ่มแค่ปุ่มเดียว กด 1 ครั้งเป็น Back กดค้าง 3 วินาทีเป็น Home ครับ อันนี้นอกจากจะเรียนรู้ได้เร็วแล้วยังง่ายอีกด้วย เพราะถ้ามากกว่านั้นมันจะยากทันทีครับ
เรื่อง learning curve นี่ต้องเอามาเทียบกันตัวต่อตัวเลยครับ ถ้าเป็นเราๆ ที่คุ้นเคยกับ smart phone มาพอสมควรแล้วอาจจะไม่รู้ว่ามันต่างกันมากน้อยแค่ไหน
ขอบคุณครับ
รับทำเว็บไซต์ ออกแบบเว็บไซต์
ios 9 นี่ UI UX ห่วยแต่จริงๆ ใช้งานยากมาก ถ้าไม่เจลเบรก
กดโฮม จนน่าเบื่อ จง ทำไมไม่เอา guesture จาก ipad มาให้ไช้
ผมยอมรับเลยว่ามันยากขึ้นไปเรื่อบๆจริงๆ
ยิ่งSplit View บนOS X อุตสาห์มีใช้แต่ก็ยังใช้ยากมาก เพราะพี่แกบังคับให้เป็นFull Screenลูกเดียวเลย คือแบบบางทีก็อยากยังอยากลากรูปที่แคปไว้จากหน้าเดสทอปมาลงอยู่น่ะครับ
และForce Touch Trackpad ทุกวันนี้ได้ใช้แค่ฟังก์ชั่นเดียวคือเอาไว้แปลภาษา ที่เหลือผมว่ามันง่อยเกิ้น
ยังไม่ได้อ่านบทความตัวเต็ม แต่ผมคิดว่าหลายๆ คนก็คงคิดเหมือนกันว่า "ความง่าย" คือสิ่งที่หายไปใน Apple ยุค post Steve Jobs และมันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับผม Apple Watch นี่คือตัวอย่างที่ดีที่สุด เนื่องจากเป็น Product ใหม่ จะเห็นเลยว่ามันดูซับซ้อน และงงงวยไปหมด ความพยายามยัด function หลายๆ อย่างลงไปในจอเล็กกระจิ๋ว การพยายามสร้าง function ที่เป็นสิ่งเกินความจำเป็นอย่างการส่งสเก็ทช์ หรือเสียงเต้นหัวใจ โดยที่ต้องทำปุ่มเพื่อการนี้ขึ้นมาหนึ่งปุ่ม digital crown ที่ทำงานซ้ำซ้อนกับหน้าจอและไม่ได้ใช้งานง่ายแต่อย่างใด รวมถึง force touch ที่ซ่อนเมนู popup ไว้อีก ทั้งหมดมาจากความที่ "ไม่รู้" ว่าจะให้เครื่องมือนี้มีไว้เพื่ออะไรจริงๆ กันแน่
ใครที่บอกว่า Steve Jobs ไม่ใช่นักออกแบบ เป็นแค่นักธุรกิจ หรือเป็นแค่ Sale Man ผมว่าเวลานี้มันเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่า การขาดคนที่มีวิชั่นคอยนำทิศทางในปัจจุบัน ผลัพธ์ที่ได้ออกมาเป็นยังไง
ณ เวลานี้ คือเวลาพิสูจน์กึ๋นจริงๆ ของ Jonathan Ive (ซึ่งตอนนี้ขึ้นไปทำงานบริหารเป็นหลัก และปล่อยงานออกแบบเชิงปฏิบัติให้คนอื่นทำแทน) ในเชิงการเป็นผู้นำ ชี้นำทิศทาง หรือพูดง่ายๆ ว่าคอยคุมงานออกแบบของ Apple ทั้งหมดแทน Steve Jobs ซึ่งจากผลงานที่เห็น ผมคิดว่า Jonathan Ive ไม่ได้มีเซนส์ของความเข้าใจมนุษย์เท่า Steve Jobs สักเท่าไหร่
เริ่มคิดถึง Scott Fostall ขึ้นมานิดๆ
เห็นด้วยครับ
Apple Watch นี่ เป็น Product ที่ไม่ได้มีอะไรใหม่เลย มันเป็น iPod Nano 6 ฉบับ redesign มากกว่า
ถ้าจะออกมา ผมอยากให้มันเป็น Standalone Product ที่sync กับ iCloud ได้ แน่นอนว่า มันจะมีแบตที่ยืนยาวกว่านี้
เน้นแอปที่เหมาะกับการใช้งานบนข้อมือจริงๆ ไม่ต้องย่อระบบจาก iOS มาใส่ก็ได้
คิดถึง Scott Fostall มาก
เห็นด้วยเลยครับ ส่วน Jonathan Ive คงกำลังคิดถึง Steve Jobs น่าดู (มั๊ง)
ค่อนข้างเห็นด้วยหลายประการ ยังจำได้ว่าใช้ Itune ครั้งแรกนี่งงเป็นไก่ตาแตก ศึกษากันอยู่นาน
ส่วนตัวเป็นคนฉลาดรู้จักเรียนรู้และปรับตัวได้ดีเยี่ยม จะใช้ os ไหนก็มิมีปัญหา
Apple Music อันล่าสุด ถือว่าพอรับได้นะ หรือไม่ก็ใช้จนเริ่มชินจนเก่งเอง
จ้ะ...
สงสัยต้องเรียก Scott Forstall กลับมา
อ่านทุกคอมเม้นแล้วน่าสนใจแฮะ โดนเฉพาะเรื่อง learning curve ของแต่ละระบบ iOS Andriod WP เนี่ย เอาแบบคนไม่เคยแตะ smartphone มาใช้พร้อมๆกันหรือบทวิเคราะห์ความง่ายในการใช้เนี่ยน่าสนใจครับ
The Last Wizard Of Century.