แม้ว่าปีก่อนๆ จะพานักเก็งกำไรไปทัวร์ในจุดสูงสุด (ยอดดอย) ของราคา Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อล่าสุดในวันนี้ ราคาของ Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นสู่จุดสูงสุดในรอบปีนี้เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงปริมาณการซื้อขายในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาก็ถือว่าสูงสุดในรอบปีนี้ด้วย
ผลตอบแทนล่าสุดตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐให้ผลตอบแทนถึง 106.70% (ข้อมูลโดย Yahoo)
สาเหตุของราคาของ Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐวิ่งขึ้นอย่างเป็นบ้าเป็นหลังนั้น ทาง Daniel Masters เจ้าของกองทุน Global Advisors Bitcoin Investment fund กล่าว่า เนื่องด้วยค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลง และสินทรัพย์อื่นๆ ดูไม่เป็นใจในการลงทุนในปีนี้เท่าไหร่นัก ทำให้นักลงทุนของจีนได้ย้ายสินทรัพย์มาซื้อทางด้าน Bitcoin มากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนที่ดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ ทำให้นักลงทุนจีนย้ายสินทรัพย์เข้ามาลงทุนนั่นเอง
ส่วนอีกทาง Wall Street Journal รายงานว่าอาจเป็นไปได้ที่กองทุน Bitcoin Investment Trust ซึ่งมีสินทรัพย์ในกองทุนเป็น Bitcoin เหมือนกัน พึ่งเปิดให้นักลงทุนได้เข้าลงทุนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคา Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ นั้นพุ่งขึ้นสูงด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ทางด้าน Harry Yeh ผู้บริหารกองทุน Binary Financial กล่าวว่าเนื่องด้วยเงื่อนไขต่างๆ และทางด้านเทคนิคของกราฟราคา Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐ มีความเป็นไปได้ที่ Bitcoin ราคาอาจไปได้สูงถึง 600 ดอลลาร์สหรัฐ
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน รูปกราฟดูได้ที่ท้ายข่าวครับ
ที่มา - CoinDesk, Yahoo, Wall Street Journal
กราฟของ Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่มีการเก็บข้อมูล
กราฟของ Bitcoin เมื่อเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยนเป็นดอลลาร์สหรัฐตั้งแต่ต้นปี 2015 จนถึงปัจจุบัน
Comments
มันตลกมากที่คนเข้าไปเก็งกำไรสินค้าที่ไม่ได้มีค่าอะไรในตัวมันเอง เหมือนเราแค่เก็งกำไรคูปองแลกอาหารในโลตัสนั่นหละ
ว้าว ผมหาอ่านจากหลายๆที่ ชอบคอมเม้นนี้ครับกระจ่างกันเลยทีเดียว
คูปองที่ว่า แลกยาเสพติด สิ่งผิดกฏหมาย รวมถึง ransom-ware ได้ด้วยนะ
ถ้าเปรียบอย่างนี้ พวกสกุลเงินต่าง ๆ ก็ไม่ต่างอะไรนะครับ
สกุลต่างๆกับ bitcoin มันคนละเรื่องกันเลยนะครับ
ลองไปดูธนบัตรเงินบาท หรือเงินตราอื่นๆ มันคือสกุลเงินที่ถูกการันตีไว้โดยรัฐบาลครับ
อาทิ ธนบัตรเงินบาทไทย มาพร้อมกับพระราชบัญญัติตั้งแต่การเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
กระทรวงการคลัง ยันไปกระทั่งทุนสำรอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นนะครับ
หรือจะเป็นประเทศอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ผู้รับรองเงินตราเหล่านั้นคือรัฐบาลของประเทศนั้น
และดำเนินนโยบายทางการเงินผ่านมาทางธนาคารกลาง หรือมีธนาคารกลางเป็นผู้ดูแลเสถียรภาพ
มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ bitcoin ซึ่งในที่นี้ใครคือผู้รับรอง?
บางประเทศก็เจ๊งเงินสกุลนั้นแทบจะหมดค่าก็มีมาแล้วน่ะครับ
ส่วน bitcoin แนวทางก็ชัดเจนว่าจะมีจำนวนเท่าใด แต่ละระยะเวลาจะเพิ่มขึ้นเท่าใด จะอยู่ได้ก็ตราบเท่าที่คนยังเห็นค่านั้นแหละครับ ประมาณพวกพระเครื่อง ของสะสมต่าง ๆ ถ้าไม่มีใครอยากได้แล้วราคาก็ตก แต่ที่ผ่านมามันก็ไม่ค่อยตกกัน
ถ้าจะพูดกันจริงๆ ทุกอย่างในเอกภพล้วนไม่มีมูลค่า แต่มันจะมีมูลค่าก็ต่อเมื่อมีอะไรซักอย่างมารับรองมูลค่าหรือมันมีประโยชน์กับใครซักคนครับ ส่วน bitcoin นั้นคนที่รองรับคือกลุ่มคนที่ใช้งานนี่แหละ และกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดก็ไม่ได้มีอำนาจควบคุมครับ แถมเรารู้ว่ามันมีจำนวนจำกัดตั้งแต่แรก และวิธีการได้มาไม่ใช่เสกหรือเอาเงินซื้ออย่างเดียว แต่ต้องมีซักคนเข้าไปขุดและคนที่ว่านี่ใครก็ได้ครับที่มีเครื่องมือขุด ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์ เลยทำให้มันดูไม่อุปโลกเหมือนพวก "ค่าเงิน" ต่างๆ ที่คนบางกลุ่มพยายามตั้งขึ้นมาครับ
ปล. "ค่าเงิน" ที่ว่าไม่ได้หมายถึงค่าเงินที่รัฐหรือประเทศต่างๆ รับรองครับ
มันก็ไม่ต่างจากแบงค์นั่นแหละครับ สกุลเงินต่างๆจริงๆเป็นเพียงเศษกระดาษเหมือนกัน เป็นเศษกระดาษแต่กลับมีคนเชื่อครับ เชื่อว่ามันใช้แลกข้าวกินได้ แต่บังเอิญเงินตรามันมีเยอะชนิดคู่แข่งก็เยอะคนเลยเชื่อต่างๆนาๆครับไม่ค่อยร่วมกันเชื่อมั่น บิทคอยก็เป็นเหมือนกันเป็นดิจิตอลแม้แต่ลมยังไม่มีเลย แต่กลับมีความเชื่อมั่นจากคนจำนวนมากว่ามันจะเจ๋งจะเทพจะใช้ได้คู่แข่งก็แทบไม่มี คนจำนวนมากมีความเชื่อในตัวมัน มันจึงมีค่าขึ้นมาครับ
แม้เงินจะเป็นแค่กระดาษแต่เบื้องหลังมันก็ยังมีทองที่เป็นของที่จับต้องได้ครับ(ยกเว้นบางประเทศที่สามารถพิมพ์เงินออกมาได้ตามอำเภอใจน่ะนะ) ส่วน Bitcoin อันนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะไปจับต้องอะไรดี เครื่องคอม?
เงินดอลล่าและหลายๆสกุลไม่ได้มีทองแบกอัพแล้วนะครับ ใช้ดอลล่าแบกอัพแทน
ตามที่พิมพ์ไว้ในวงเล็บเลยครับ
มันไม่เชิงนะครับว่าดอลลาร์จะพิมพ์ออกมาเองได้ตามอำเภอใจ
ในทางทฤษฎี ทุกธนาคารกลางในโลกนั่นแหละครับสามารถพิมพ์เงินออกมาตามอำเภอใจได้หมด
เพราะมันแค่เอากระดาษใส่เครื่องพิมพ์แล้วจะพิมพ์ออกมาเท่าไหร่ก็ได้
แต่ในความเป็นจริงทำแบบนั้นไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องของเสถียรภาพของค่าเงิน
คือนับตั้งแต่ bretton woods เป็นต้นมามันคือสาระของการเปลี่ยนระบบจาก gold currency
ที่มีมาอย่างช้านาน มาเป็นระบบ reserve currency คือการหนุนด้วยทุนสำรอง
ให้ตายยังไงระบบเดิมที่เป็น gold system มันไม่มีทางจะทำได้เพราะทองคำมันไม่เพียงพอหรอกครับ
นับตั้งแต่แรกที่อังกฤษเป็นชาติแรกที่พิมพ์ธนบัตรออกมาใช้โดยใช้ gold system
และเงินปอนด์เป็นเงินตราที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกเนื่องจากใช้วิธีการ convert ปอนด์ ต่อปอนด์ทอง
ดังนั้นคือเงินเหล่านี้แค่พิมพ์ออกมาโดยที่ใช้น้ำหนักตามทองคำ
และรัฐบาลจะจ่ายทองคำคืนให้แก่ผู้ที่นำตั๋ว (ธนบัตร) ทองคำนี้มาแลก ผลคือคนก็นิยมมาก กระดาษเก็บง่ายดี
นั่นคือจุดเริ่มต้นของธนบัตร และรัฐบาลอื่นๆในยุโรปก็เอาบ้าง ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ก็เอาอย่างกันมา
จนมันก็มาเรื่อยจนถึงดอลลาร์ และไปจนสู่การเปลี่ยนแปลงระบบการเงินโดย Bretton Woods
โดยเป็นระบบของตระกร้าขึ้นมาเพื่อแต่ละประเทศที่มีทุนสำรองก็เอาไปแลกเปลี่ยนหมุนเวียน
มีสินทรัพย์หนุนหลังก็พิมพ์เงินออกมาใช้จ่าย และควบคุมโดยเชิงปริมาณของตัวเงิน (งงมะ?)
คือนั่นแปลว่าถ้าเราทำการค้ากับชาตินู้นนี่นั่น มีทุนสำรองที่มากขึ้น ตระกร้าเงินก็ใหญ่ขึ้น เมื่อมีทุนสำรองมากขึ้น
ก็นำมาผลิตธนบัตร หรือเป็นตัวหนุนหลังเสถียรภาพของค่าเงินได้ เช่นกันหากทุนสำรองหมด รัฐบาลถังแตก
เงินที่มีอยู่ในสกุลนั้นก็ไร้ค่า เช่นปี 2540 ของไทย สู้ค่าเงินบาทจนทุนสำรองหมดเกลี้ยง
ทุนสำรองไม่มี คนไม่มีความเชื่อมั่น เค้าก็ขายค่าเงินบาทออก เราก็ต้องลอยตัวค่าเงิน ผลคือค่าเงินบาทพังในระยะเวลา 6 เดือน
(น่าจะเห็นภาพแล้ว) และหลังจากนั้นการใช้หนี้ครั้งใหญ่สุดของประเทศคือการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ
(ไม่ใช่การบริจาคทองอะไรนั่นตามที่คนเขาพูดกัน ถึงอภิมหาบุญคุณอะไรทั้งหลาย)
ทุกวันนี้ผ้าป่านั่นก็เป็นภาระแบงค์ชาติซะด้วยซ้ำ เพราะการเก็บรักษาทองคำมีค่าใช้จ่ายสูงมาก
สูงตั้งแต่การตรวจสอบ การเก็บรักษา การดูแล การเคลื่อนย้าย ฯลฯ เอาไปทำอะไรก็ไม่ได้ เป็นภาระมาก (แต่คนไม่อยากพูดกัน กลัวโดนด่า)
อ่ะนอกเรื่องไปนานละ ต่อๆ
หลังจากนั้นในระบบข้อนี้คือไม่ต้องไป Fix ว่าเราจะเอาทองคำไปแลกเท่าไหร่แบบของเดิม
แต่เป็นการเอาเงินไปแลกกับเงิน และระบบที่เป็น Interconnection ในโลกของ Globalization นี่เอง
ที่ทำให้เงินตราทั้งหมดมันถูกเชื่อมโยงต่อกัน ถามว่าถ้าวันนี้ดอลลาร์ล่มสลายเป็นยังไง? โลกก็พัง
ถ้ายูโรล่มสลายเป็นยังไง? โลกก็พัง ... ถ้าปอนด์ล่มสลายเป็นยังไง? โลกก็พัง คือทุกอย่างมันเชื่อมโยงกันไปหมด
ต่อให้เงินบาทจะล่มสลาย ถึงอาจจะไม่ทำให้โลกพังได้ แต่ก็ทำให้เกิด Domino Effect มหาศาล
อย่างปี 40 เริ่มจากไทยลอยตัวค่าเงิน ก็ลามไปยังอินโด มาเล เกาหลีใต้ และลุกลามไปจนถึงรัสเซียที่เจอผลกระทบ และบราซิล
นี่แค่ไทยในช่วงปี 40 ก็สร้างผลกระทบแล้วเช่นกัน
ส่วนค่าเงินต่างๆนั้นเมื่อมันเชื่อมโยงต่อกันแล้ว ทองคำก็ซื้อขายกันไปตามราคาตลาดซื้อขาย
หรือสินค้าอื่นๆ ที่มีค่า มันไม่ใช่แค่ทองคำที่มีค่า เราอาจจะซื้อแร่เงิน ซื้อแพลทินัม ก็ได้ ระบบนี้ทำให้ระบบตลาดมันสมดุลขึ้น
เพราะเดิมทุกอย่างเราต้องไปอ้างอิงกับทองคำ โดยเอาทองคำเป็นศูนย์กลาง เดี๋ยวนี้คือแทบไม่มีอะไรเป็นศูนย์กลาง
ทุกอย่างอยู่ที่ตลาด ความเชื่อมั่น หรือนโยบายต่างๆ มันเลยเป็นระบบตลาดเสรีที่ชาติตะวันตกพยายามทำให้เกิด
แม้แต่เมื่อก่อนแทบจะไม่มีทางได้เห็นราคาแพลทินัมลดลงต่ำกว่าทองคำเลย เพราะในแง่ของ Demand สูงและ Supply ต่ำ
แต่ตอนนี้ลองไปดูตลาด spot ราคาแพลทินัมลดลงต่ำกว่าทองคำเมื่อเทียบในน้ำหนักต่อออนซ์ เหตุเพราะคนไม่ได้ต้องการมันขนาดนั้น
นอกจากนี้นโยบายเสรีทางการเงิน นโยบายทางการเงินก็เปิดโอกาสมากขึ้นกับการเพิ่ม supply ของเงินเข้ามา
นั่นแปลว่าคำพูดที่เราทุกคนเคยพูดว่าอเมริกาพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้นั้น "ผิด" และดูโง่มากที่เรายังเชื่อเช่นนี้อยู่
เพราะจากนโยบายทางการเงิน (นับตั้งแต่ทศวรรษ 90 เป็นต้นมา) หลายชาติดำเนินนโยบายตั้งแต่การลดค่าเงิน
อ่อนค่าเงิน ลอยตัวค่าเงิน และนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน จนล่าสุดในยุคของ Modern Capitalism (ปัจจุบัน)
ธนาคารกลางแต่ละชาติก็พิมพ์เงินออกมาได้มากขึ้น โดยไม่มีหลักประกัน หรือที่เราเรียกว่า
นโยบายการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (Quantitative Easing) สหรัฐก็ทำ QE ออกมานับตั้งแต่ปี 2009 จนถึงเมื่อ 1-2 ปีก่อน
ญี่ปุ่นก็ทำ QE ออกมาจำนวนมาก มากที่สุดในโลกด้วยซ้ำหากเราเทียบเป็น QE/GDP ซึ่งอาจจะมากกว่า 70%
ในขณะที่ชาติที่เรากล่าวหามากๆอย่างสหรัฐ ทำแค่ราวๆ 30% ของ GDP เท่านั้นเอง
อย่างที่มนุษย์ชนชั้นกลางในเมืองไทยกำลังขนเงินไปเที่ยวญี่ปุ่นกันโครมๆ เพราะค่าเงินเยนมันลดลงมาก
ลงมาเหลือแค่ 27-29 บาทต่อ 100 เยน ในขณะที่ช่วงก่อนหน้านั้นเมื่อ 3-4 ปีก่อนอยู่แถวๆ 39-40 บาทต่อ 100 เยน
Bank of England ของอังกฤษก็ทำ QE เช่นเดียวกัน แม้แต่เกาหลีใต้ สิงคโปร์ นอร์เวย์ สวีเดน ก็ทำ QE ออกมา
(บางชาติเช่นสิงคโปร์ไม่ได้ใช้ QE แบบประเทศอื่นแต่เป็นการขยับ Band ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถือเป็นนโยบายผ่อนคลายเช่นกัน)
ส่วนไทยหากถามว่าทำได้มั้ย เราทำได้ เพราะ พ.ร.บ.ในเรื่องของทุนสำรอง เราได้กำหนดไว้ว่าธนบัตรที่ใช้
ต้องมีสินทรัพย์หนุนหลังไม่ต่ำกว่าร้อยละ 60 แต่ตอนนี้ แบงค์ชาติมีทุนสำรองร้อยละ 100 ของเงินที่เราใช้
นั่นแปลว่าเงินที่เราใช้นั้นก็มีค่าเต็มร้อย แต่ในทางกฎหมายมีการเปิดทางเรื่องนี้มานานแล้ว (หลายสิบปี)
ที่เราสามารถที่จะทำ QE ได้เช่นกัน คือในทางปฏิบัติอย่างที่ว่าไป ประเทศไหนก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ
แต่เมื่อทำแล้วเราต้องมั่นใจว่ามันจะไม่กระทบเสถียรภาพค่าเงินที่มากเกินไป และต้องมีความจำเป็นที่จะต้องทำ
หลายชาติที่กล่าวมาที่เขาทำเพราะเศรษฐกิจมันไม่เดิน ก็จำเป็นต้องผ่อนคลายทางการเงินเพื่อช่วยเศรษฐกิจ
+1 BTC ความรู้เน้นๆ ขอบคุณครับ
สอบถามครับ ตอนนี้ผ้าป่าทองคำใครถือสิทธิครอบครอง และทำไมถึงเอาไปทำอะไรไม่ได้ครับ ตอนนั้นเรื่องใหย่โตมาก แล้วก้หายเงียบ
สิ่งที่แทนความเชื่อมั่นของสกุลเงินคือความน่าเชื่อถือเชื่อมั่นของประเทศเจ้าของเงินครับ และทองไม่ใช่ตัววัดความมั่งคั่งของประเทศนะครับ อันนั้นเป็นความเชื่อที่ค่อนข้างเก่าแล้วสมัยก่อนประเทศต่างๆจะสะสมทองเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและแสดงความมั่งคั่งของตัวเองแต่จะเห็นได้ว่าราคาทองร่วงลงเรื่อยๆเลยหลังอเมริกาเริ่มฟื้นจากแฮมเบอเกอร์นั่นเพราะไม่ใช่แค่นักลงทุนครับประเทศก็เช่นกัน เริ่มขาดความเชื่อมั่นในทองคำลงแล้ว ดังนั้นทองก็ไม่ต่างจากเงินตราในตลาดเงินครับ เพียงแต่ทองมีหลักประกันความเชื่อมั่นส่วนนึงจากดีมานในการใช้อุปโภคบริโภคอยู่ด้วยจึงเป็นตราสารที่มีคุณสมบัติพิเศษต่างจากสกุลเงินต่างๆครับ
ที่เราเชื่อในกระดาษเหล่านั้นและมันเป็นสากลแลกเปลี่ยนได้เพราะความเชื่อมั่นครับ
ความเชื่อมั่นของธนาคารกลาง และรัฐบาลในแต่ละประเทศรับรองว่า
"มันคือกระดาษที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย" ไม่ว่าจะพิมพ์ว่าอะไรก็ตาม
โดยเป็นสถานะการรับรองทางกฎหมายและถูกต้องตามความเป็นสากล ทุกคนยอมรับเพราะมันมีคนการันตี
มันก็คล้ายว่าเรามีรัฐบาลของเรา การันตีเงินบาทของเรา ว่ามันมีค่านะครับ
bitcoin ไม่มีใครเป็นคนกำหนดในเรื่องนี้ และในอนาคตก็จะไม่มีตลอดไป
อย่าไปฝังกับว่ามันเป็นค่าเงินสิครับ คิดว่ามันเป็นอะไรสักอย่างที่มีคนต้องการ มันเลยมีมูลค่าขึ้นมาเท่านั้นเอง ไม่จำเป็นต้องเอาไปเทียบกับค่าเงินอื่นๆ ครับ
สรุปว่ามันคือพระเครื่องรุ่นหายากและมีจำนวนจำกัดใช่ไหมครับ
ประมาณนั้นแหละครับ ใกล้เคียงกัน
สกุลเงินทั่วไปมันก็คูปองแลกอาหารเหมือนกันนั่นแหละครับ หลักการเดียวกันเลย สิ่งที่ทำให้เงินมีค่าไม่ใช่ตัวเลขบนแผ่นกระดาษหรือสัญลักษณ์บนเหรียญโลหะผสมนะครับ แต่มันอยู่ที่การรับรองมูลค่าของเงินต่างหากครับ อยู่ที่การรับรองของโลตัสนั่นแหละ ถ้าจะพูดถึงเรื่องการลงทุนในบิทคอยเราน่าจะพูดถึงความมั่นคงของเงินสกุลนี้มากกว่าครับ คนที่ต้องการลงทุนเพื่อเก็งกำไรกับเงินสกุลนี้ก็ต้องมองเรื่องความมั่นคงของมันอยู่แล้วครับ แบบเดียวกับสกุลเงินในประเทศที่ขาดความมั่นคงทางการเมือง มูลค่าของเงินก็ลดลง
มูลค่าของสิ่งต่างๆ มันอยู่ที่การตกลงกันว่าจะให้มันมีมูลค่าเท่าไร ธนบัตรก็แค่กระดาษสีๆ ต่างยังไงกับ คูปองแลกอาหาร? ถ้ามันมีมูลค่าในตัว ถ้าคุณอยู่ในสถานที่ต้องแลกคูปองซื้อของ เท่ากับเงินที่คุณมีก็ไม่มีค่าอะไรเพราะมันใช้กับที่นั้นไม่ได้ถ้าไม่แลกเป็นคูปองก่อน
The Dream hacker..
บางประเทศประกาศยกเลิกธนบัตรกันดื้อๆ ทำให้มันกลายเป็นแค่เศษกระดาษ บางประเทศเงินเฟ้อจนกระทั่งยอดเงินในธนาคารก็ไร้ค่าสนิท ไม่ต่างกันหรอกครับ
ถึงกับล็อกอินเข้ามาอมยิ้ม
ผมก้อนักขุดนักเทรดบิตคอยน์ครับ มีกินกับมันเป็นล้านแล้วครับ คูปองโลตัสมันก้อซื้อข้าวได้นะ
พระเครื่องก็เหมือนกันเลยครับ แต่ที่แน่ๆ ผมเชื่อมั่นใน bitcoin มากกว่าเงินในมืออีก 555
ไม่มีลายเซ็น
ผมอยากถามอย่างนี้ครับ ทองมีค่าอะไรในตัวเอง? ทองที่เป็นประกันให้เงินหลายสกุลนั่นแหละ มันก็เพราะมนุษย์ไปให้ค่ามันไงครับ คนใช้ทองซื้อข้าวกินได้ เลยเชื่อถือมัน ก็แค่นั้น
May the Force Close be with you. || @nuttyi
ใช่ครับ จริง ๆ ต้องเทียบ bitcoin กับทอง ไม่ใช่ไปเทียบกับสกุลเงินต่าง ๆ ที่เป็นปลายทาง การหา bitcoin ถึงเรียกว่า Mining ไง
ทองเป็นสินแร่ที่มีความเสถียรมาก และนำมาใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิตได้จริง แบบนี้ไม่ถือว่ามีค่าในตัวเองอีกหรือครับ
จริงๆทองก้อแค่แร่เหล็กสีทอง
สมมุติถ้าคนต้นคิดเรื่องแร่ ตีค่าคาร์บอนมากกว่าทองละครับ
แล้วใครละครับที่เป็นคนทดลองเอาทองไปใช้ในกระบวนการต่างๆ
ไม่ใช่คนหรือครับ
ค่าของทองจริงๆมันไม่มีค่าอะไรตามธรรมชาติอยู่แล้วครับ มันมีค่าก็ต่อเมื่อมีคนเอามันไปใช้ประโยชน์ได้
ลองให้ไปถึงวันที่อรยธรรมล่มสลาย แบบในMAD MAX ดูสิครับ ทองยังมีค่าไม่เท่ากับน้ำ น้ำมัน หรือกระสุนปืนเลย
หรือแบบในWater Worldก็ได้ ถ้าผมจำไม่ผิด(หนังมันนานแล้ว) มันจะมีฉากค้าขาย ที่พ่อค้าไม่ยอมแลกอาหารกับทอง แต่ยอมเอาไปแลกกับดิน
หรือเอาแบบง่ายๆก็ได้
ลองเอาทองกับน่องไก่ไปยื่นให้หมาดูครับ ลองดูว่าหมามันจะเลือกอะไร
เข้าก่อนบวก แมงเม่าเตรียมแขวนคอตาย
ต่อไปอาจมี ไบต์คอย
มีนานแล้วครับ bytecoin.org
ขอแสดงความคิดเห็น กับความคิดเห็นในการเอามูลค่าบิตคอย์ทไปเปรียบเทียบกับสกุลเงินที่จับต้องได้สักนิดนึงนะครับ คือโดยตัวมันออกแบบมาเพื่อลบข้อจำกัดทางนั้นอยู่แล้ว ดังนั้นการเปรียเทียบการใช้งานหรือลักษณะต่าง ๆ มาเปรียบเทียบกันอาจจะยากหน่อย ให้ไปดูข้อดีข้อเสียของมันอะครับ แล้วเลือกการใช้งาน ส่วนเรื่องความปลอดภัยหรือคุณภาพของตัวมันเอง ถ้าไม่ดีจริงมันไม่อยู่ถึงตอนนี้หรอกครับ
เหม่อมอง dogecoin ของตัวเอง..