เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Blognone ได้รับเชิญจากฟอร์ดประเทศไทยให้ไปทดลองขับ Ford Everest ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV รุ่นใหม่ล่าสุดจากฟอร์ด โดยผมและคุณ SainTKK รับอาสาไปร่วมงาน และกลับมาเขียนเล่าประสบการณ์กันครับ
ในส่วนแรกของข่าวนี้ผมจะเป็นคนเขียน และส่วนที่สองคุณ SainTKK จะเป็นคนเขียนครับ
Ford Everest วางตัวเป็น premium SUV 7 ที่นั่ง จัดเต็มในด้านออปชั่นต่างๆ ซึ่งในประเทศไทยวางจำหน่ายด้วยกัน 3 รุ่นย่อย ดังนี้
*เป็นราคาที่ปรับขึ้นตามอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ปี 2559 แล้ว
ผมขอไม่กล่าวถึงสเปก และรายละเอียดทางเทคนิคต่างๆ เนื่องจากสามารถหาดูได้จากเว็บไซต์ของฟอร์ดประเทศไทยได้อยู่แล้วนะครับ (ดาวน์โหลดโบรชัวร์)
งานทดลองขับครั้งนี้ ฟอร์ดนัดเจอสื่อที่โรงแรม W Bangkok ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรี มีการพูดบรีฟรายละเอียดตัวรถนิดหน่อย จากนั้นก็พามาดูตัวรถและอธิบายรายละเอียดเบื้องต้น และจัดคิวว่าใครได้ไปคันไหน ทีม Blognone ได้รถคันแรกเลย เป็นรุ่น 3.2L Titanium+ ตัวท็อป ซึ่งเราจะเดินทางไปที่ร้านอาหาร Villa De Bear ถนนราชพฤกษ์ โดยคุณ SainTKK เป็นคนขับก่อน ผมนั่งข้างๆ
ความรู้สึกภายในห้องโดยสารคือหรูหราทีเดียว วัสดุต่างๆ ทำออกมาดี แต่ยังมีบางจุดที่การประกอบยังไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ผมได้ทดลองโทรศัพท์ผ่านระบบบลูทูธ พูดด้วยเสียงปกติ คู่สายบอกว่าเสียงชัดเจนดี หลังจากนั้นก็ลองเล่นเพลงจากแอพ Joox เสียงที่ได้อยู่ในเกณฑ์ดี มีมิติครับ ใช้เวลาไม่นานขบวนของเราก็เดินทางมาถึงร้าน Villa De Bear และรับประทานอาหารร่วมกัน ร้านน่ารักทีเดียว รสชาติอาหารก็ใช้ได้ครับ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เจ้าหน้าที่ของฟอร์ดได้แบ่งกลุ่มของเราออกเป็นสองกลุ่ม เพื่อแยกไปทดสอบระบบต่างๆ ของรถยนต์ และสลับกันภายหลัง ซึ่ง Blognone ได้ไปด่านทดสอบระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist) และระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ก่อน จากนั้นค่อยสลับมาทดลองระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2 ครับ
ในส่วนของผมจะกล่าวถึงระบบช่วยจอดอัจฉริยะ โดยรถสามารถจอดเทียบขนานกับฟุตบาทริมทางได้อัตโนมัติ ผู้ขับควบคุมแค่เบรกอย่างเดียว ขั้นตอนการใช้งานคือให้ผู้ขับกดปุ่มเริ่มการทำงานของระบบที่บริเวณใกล้ๆ เกียร์ จากนั้นให้ปล่อยรถไหลไปเรื่อยๆ รถจะทำการสแกนพื้นที่ด้านข้าง ซ้ายหรือขวา เพื่อหาที่ว่างและเข้าจอด หากต้องการจอดชิดซ้ายให้เปิดไฟเลี้ยวซ้าย และหากต้องการจอดชิดขวาให้เปิดไฟเลี้ยวขวา ดูวิดีโอด้านล่างได้ครับ
กดปุ่มที่มีสัญลักษณ์ P ข้างๆ รูปพวงมาลัย เพื่อเริ่มการทำงาน
เมื่อรถพบที่ว่างที่ยาวพอจะเข้าจอดได้ หน้าจอจะเตือนให้เบรก และเข้าเกียร์ถอยหลัง จากนั้นให้ปล่อยมือจากพวงมาลัย และปล่อยรถไหล รถจะหักพวงมาลัยถอยเลี้ยวเข้าเทียบฟุตบาทให้อัตโนมัติ เมื่อถอยไปใกล้คันด้านหลัง ระบบก็เตือนให้เบรกและเข้าเกียร์เดินหน้าเพื่อขยับให้รถอยู่กลางช่อง เมื่อพอดีแล้วก็เบรกอีกครั้งและเข้าเกียร์ P เป็นอันเสร็จสิ้น ระหว่างนี้หากผู้ขับจับพวงมาลัยและขืนแม้เพียงนิดเดียว ระบบจะหยุดทันที และไม่สามารถทำงานต่อได้ ต้องออกไปเริ่มใหม่
ความยาวของช่องจอดที่เจ้าหน้าที่จัดไว้
ความรู้สึกโดยรวมคือสะดวก และลื่นไหลดีมาก รถไม่มีอาการกระตุกหรือหยุดคิดแต่อย่างใด ใช้เวลาประมาณ 1 นาทีนิดๆ ก็เข้าจอดได้เรียบร้อย
หลังจากนี้เป็นการทดสอบระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 2 ซึ่งอยู่ด้านล่าง ในส่วนของผมขอข้ามไปตอนเดินทางกลับเลยนะครับ
ก่อนเดินทางกลับ เจ้าหน้าที่ฟอร์ดแจ้งว่ารถที่ได้มาทดสอบทั้งหมดมีทั้งรุ่น 2.2 ลิตร และ 3.2 ลิตร ปนๆ กันมา ใครได้ขับรุ่นท็อปตอนขามาแล้วก็ให้คนที่ขับรุ่นรองได้มาขับบ้าง แต่จัดคิวไปมากลายเป็นว่าเหลือรุ่นท็อปอยู่คันสุดท้าย ซึ่งพวกผมก็ได้ไป แต่เป็นคนละคันกับที่ขับมา ผมจะกล่าวถึงความรู้สึกขณะขับขี่บ้าง ว่าเป็นอย่างไร
เมื่อออกรถได้เพียงไม่กี่นาที ผมพบความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับรถคันนี้ที่ไม่เหมือนคันที่นั่งมาตอนแรก นั่นคือเมื่อผมขับเข้าไปใกล้รถคันข้างหน้าเมื่อไหร่ จะมีไฟจากหลอด LED สีแดงเรียงเป็นแถวฉายขึ้นมาที่กระจกหน้า และดับไปเมื่อทิ้งระยะห่าง … ใช่แล้วครับ รถคันนี้เป็นรุ่นใหม่ที่ฟอร์ดประเทศไทยจะขายหลังจากปรับอัตราภาษีสรรพสามิตนั่นเอง โดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้บอกพวกเราแต่อย่างใดว่าได้นำมาให้ทดลองกันในงานนี้
ในรุ่นใหม่นี้ได้มีการเพิ่มฟีเจอร์ที่น่าตื่นเต้นเข้ามาหลายอย่าง ดังนี้
การขับขี่โดยรวมของ Ford Everest เครื่อง 3.2 ลิตร ต้องบอกว่าไม่ได้แรงอย่างที่คิด เนื่องมาจากการปรับจูนที่อยากให้ประหยัดน้ำมันหรืออะไรก็แล้วแต่ ลองเหยียบเต็มๆ ก็ไม่ได้พุ่งมากอย่างที่คาดไว้ แต่สามารถทำความเร็วไต่ขึ้นไปได้เรื่อยๆ อย่างไม่ยากเย็นนัก มุมมองโดยรวมถือว่าดีตามประสารถยกสูงทั่วไป
ระบบช่วงล่างค่อนข้างกระเทือนตามระเบียบ แต่อาจเป็นเพราะล้อขนาด 20 นิ้วด้วย ทำให้รู้สึกแข็งกระด้างเมื่อขับผ่านหลุมหรือทางขรุขระ และมีอาการเต้นเล็กน้อย (รุ่นรองและรุ่นล่างเป็นล้อ 18 นิ้ว) ผมได้สอบถามว่าได้เติมลมยางมากี่ปอนด์ เจ้าหน้าที่บอกว่าเติมตามมาตรฐาน ซึ่งผมก็ไม่ได้ไปเช็คว่ามาตรฐานของรถรุ่นนี้อยู่ที่กี่ปอนด์ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ฟอร์ดเคลมว่า Everest นั้นนุ่มนวลที่สุดในรถคลาสเดียวกันแล้ว
ส่วนเสียงรบกวนภายในห้องโดยสารแทบไม่ได้ยิน เพราะรถรุ่นนี้มีระบบตัดเสียงรบกวนแบบที่หูฟังแพงๆ ใช้กัน ในรถมีไมโครโฟนติดตั้งไว้ที่เพดานอย่างน้อย 2 ตัว และลำโพงจะปล่อยคลื่นเสียงออกมาหักล้างเสียงเครื่องยนต์และเสียงรบกวนอื่นๆ ทำให้ภายในรถเงียบทีเดียว แต่ยังไม่เงียบจนอึดอัด
ผมไม่มีโอกาสได้ลองการขับด้วยความเร็วสูงเป็นเวลานาน เนื่องจากขาเข้าเมืองตอนบ่ายรถค่อนข้างเยอะ ขับได้ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเท่านั้น
ต่อไปเป็นการทดสอบระบบ Adaptive Cruise Control ที่เป็นของใหม่ในรุ่นนี้ โดยระบบรักษาความเร็วอัตโนมัติหรือ Cruise Control มีกันมานานแล้ว และพัฒนาต่อมาให้ปรับเปลี่ยนอัตโนมัติได้ภายหลังโดยการตรวจจับระยะห่างจากรถยนต์คันข้างหน้า และปรับความเร็วคันเราให้เท่ากัน
วิธีใช้คือเปิดการทำงานจากปุ่มควบคุมบริเวณพวงมาลัย สัญลักษณ์บนจอจะติดขึ้นมา ให้ผู้ขับเลือกความเร็วที่ต้องการ เช่น 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วรถจะเร่งขึ้นไปและรักษาความเร็วไว้ตามนั้น จากนั้นให้เลือกว่าอยากให้รถเราห่างจากคันข้างหน้าแค่ไหน บนหน้าจอเป็นรูปตัวรถ และมีขีดแนวนอนอยู่ 4 ขีด ถ้าผู้ขับเลือกขีดเดียว รถจะเข้าไปใกล้ประมาณ 1-2 ช่วงรถ ไม่ได้จี้มาก และถ้าเลือก 4 ขีดคือห่างประมาณ 4-5 ช่วงรถเลยทีเดียว อารมณ์ประมาณขับทางไกลเร็วๆ แล้วเรารักษาระยะห่างจากคันข้างหน้าไว้พอสมควร
เมื่อคันข้างหน้าเบรก รถจะลดความเร็วลงตาม โดยใช้ engine brake กล่าวคือเป็นการใช้เครื่องยนต์หน่วงเพื่อลดความเร็ว ผมไม่แน่ใจว่าไฟเบรกติดหรือไม่ และเมื่อเบรกมากขึ้นรถจะใช้เบรกตามปกติ เมื่อใกล้หยุดนิ่งรถจะส่งเสียงเตือนดัง “ติ๊ง” ให้ผู้ขับเหยียบเบรกเพื่อหยุดนิ่ง ผมลองไม่เบรกหลังมีเสียงเตือน พบว่ารถไหลเข้าไปใกล้คันข้างหน้ามาก สรุปได้ว่าถ้าไม่เบรกเองก็ชนแน่นอน
ระหว่างทางกลับผมพบปัญหานึงที่น่ารำคาญ อาจจะเนื่องด้วยรถที่ได้ทดลองยังไม่ใช่เวอร์ชั่นขายจริงก็เป็นได้ คือจู่ๆ เซ็นเซอร์ด้านหน้าก็ร้องเตือนว่ามีวัตถุเข้ามาใกล้รถ ทั้งๆ ที่ขับอยู่ตามปกติ ไม่ได้เข้าใกล้อะไรเลย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อยมาก แต่ผมไม่ได้สอบถามทางฟอร์ดว่ามันคืออะไร ดูภาพนี้นะครับ จะเห็นว่ารถไม่ได้จี้ท้ายค้นข้างหน้า และมุมซ้ายขวาก็โล่ง แต่หน้าจอกลับเตือนว่ามีวัตถุอยู่ใกล้มาก (สีแดง) ร้องเตือนอยู่ครู่เดียวก็หายไปเอง
ส่วนนี้เป็นส่วนของคุณ SainTKK นะครับ
ระบบตรวจจับรถขณะถอยออกจากซองจอด (Cross Traffic Alert) ระบบนี้ทำงานโดยอาศัยเซ็นเซอร์ (จากที่สอบถามมาใช้หลักการโซนาร์) ด้านท้ายรถจำนวน 4 จุด ในการตรวจจับรถที่แล่นผ่านทางด้านหลังในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง R เมื่อมีวัตถุ เช่น รถยนต์แล่นผ่านระบบจะเตือนผู้ขับขี่ด้วยเสียง และมีไฟสีเหลืองในตำแหน่งเดียวกับระบบตรวจจับรถในจุดบอด (Blind Spot Information System) ในกระจกมองข้างด้านที่มีรถยนต์แล่นมาสว่างขึ้น และข้อความเตือนแสดงขึ้นบนหน้าจอข้อมูลของคนขับอีกจุดหนึ่ง
ระบบสั่งการด้วยคำสั่งเสียง SYNC 2 ในรถยนต์คันนี้มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าระบบสั่งการด้วยเสียงในฟอร์ดเฟียสต้า และการสนทนาโทรศัพท์ผ่านเครื่องเสียงรถยนต์คู่สนทนาของเราได้ยินเสียงที่คมชัดกว่าในฟอร์ดเฟียสต้าอีกเช่นกัน ในส่วนของการทำงานของ SYNC 2 นั้น ทางฟอร์ดมีความพยายามที่จะออกแบบการใช้งาน และคำสั่งให้เป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่ผู้ใช้ยังคงจำเป็นต้องศึกษาแนวทางการใช้งานคำสั่งอยู่บ้าง ซึ่งสามารถเปิดดูวิธีการใช้งานจากหน้าจอระบบอินโฟเทนเมนต์ของรถได้เลยไม่จำเป็นต้องขุดคู่มือรถยนต์มาเปิดดูกันอีกต่อไปแล้ว
คำสั่งต่างๆ ยังคงต้องใช้ภาษาอังกฤษ แต่ไม่ต้องออกเสียงสำเนียงดีๆ เหมือนระบบเก่า และการสั่งงานสามารถรวบรัดได้มากขึ้น เช่น ในระบบเดิมจะเป็น “Radio” > “FM” > “107.5” เท่ากับว่าต้องรอจังหวะเพื่อสั่งการด้วยเสียงถึง 3 ครั้ง ส่วนระบบ SYNC 2 ผู้ใช้สามารถสั่ง “FM 107.5” เพียงครั้งเดียวก็สามารถรับฟังวิทยุเอฟเอ็มคลื่น 107.5 เมกะเฮิร์ตซ์ได้ทันที การเล่นเพลงจากโทรศัพท์มือถือ USB Storage สามารถเรียกชื่อเพลงที่ต้องการได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องบอกชื่อศิลปินก่อน (ถ้ากรณีที่ชื่อเพลงซ้ำระบบน่าจะใส่หมายเลขให้เราเรียก เช่นเดียวกับเบอร์โทรศัพท์ในกรณีที่หนึ่งรายชื่อผู้ติดต่อ มีมากกว่า 1 เบอร์ระบบจะนำทุกหมายเลขมาใส่ลำดับ 1,2,3…) นอกจากสั่งงานความบันเทิงต่างๆ ได้แล้วยังสามารถสั่งควบคุมเครื่องปรับอากาศ สั่งจับคู่กับมือถือ ฯลฯ จุดเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ คือ ระบบใหม่ได้ลดความเยิ่นเย้อโดยการตัดส่วนของหัวข้อคำสั่งออกไป อาจกล่าวได้ว่าระบบประมวลผลคำสั่งเสียงมีความฉลาดมากขึ้น
กล่องจำลองระบบ SYNC 2
นอกจากนี้ตัวรถยังมาพร้อมกับเราเตอร์ไวไฟ แต่ต้องมีการนำ USB Modem หรืออุปกรณ์โมเด็มไปเชื่อมต่อก่อนจึงจะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้
สุดท้าย Ford Everest มีเต้ารับสามตาแบบขาแบนติดตั้งมาให้ด้วย จ่ายไฟฟ้า 230 โวลต์ กำลังไฟ 150 วัตต์ ติดตั้งอยู่บริเวณที่ปรับแอร์ของผู้โดยสารตอนสอง ช่วยอำนวยความสะดวกระหว่างการเดินทางในยุคนี้ได้เป็นอย่างดี แต่ต้องระวังอย่าต่อพ่วงมากเกินไป อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าของรถได้นะครับ
Comments
สำหรับผม ราคาเกือบ 1.8 ล้าน ผมยอมเพิ่มเงินไปซื้อ Harrier ดีกว่า ราคามันสูงเกินไปจริงๆ
oxygen2.me, panithi's blog
Device: HP Zbook, iPad Pro, iPhone 15PM, iPhone 16+, Nothing Phone 1
ปีหน้า harrier ก็แพงขึ้น ด้วยนะ
แฮริเออร์เดิมทีก็ 2.4 แล้วหรือเปล่าครับ ? มันก็ห่างกันเยอะอยู่นะ ผมว่า
เร่งขึ้นไปป => เร่งขึ้นไป
กันมาเปิดดู => มาเปิดดูกัน
เมกะเฮิตร์ซ => เมกะเฮิรตซ์
สั่งว่าบอกชื่อนักร้อง ?
ชื่อซ้ำเพลง => ชื่อเพลงซ้ำ
ขอบคุณครับ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ใช้กับรถติดๆ จอดๆ แบบในกรุงเทพฯ ได้มั้ยครับ
ไม่ได้ครับ อันนั้นต้องเบรกเองเหมือนเดิม ลองแล้วครับ อยากให้มีเหมือนกัน คงสบายไม่น้อย ฮา
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
Stop & Go Pilot มีใน S Class ครับ (C Class ก็มีแล้วนะ)
มีระบบเทอเรนเรสปอน
เหมือนแลนโรเวอด้วย!
ฟอร์ดเคยซื้อแบรนด์นี้มาก่อนครับ (รับเทคโนโลยีมาซะเยอะ) แล้วถูกขายออกช่วงที่ Alan Mulally เป็น CEO ซึ่งตอนนั้นเกิดวิกฤติ Big-Three ที่กำลังจะล้มลาลายด้วย (GM, Chrysler เหลือ Ford รอดอยู่รายเดียว)
เมื่อเช้า ผมลืมไปว่า land rover evoque
ใช้เครื่อง block เดียวกับ ford ecoboost
เพราะงั้น ford จะเอา ชุดคุม traction ของ
land rover มาใส่ลงไปก็ไม่แปลกฮะ
สงสัยถ้ามีมอไชค์ขับข้างๆ รถนี่ ระบบมันจะร้องเตือนไหมครับ (เพราะสหรัฐคงไม่มีมอไชค์ขับชอกแชกเหมือนบ้านเรา แหะๆ)
เคยเห็นคนทดสอบระบบจอดอัตโนมัติ มันแม่นยำได้ราวๆ 80% และค่อนข้างช้า
ผมก็ว่ายังช้าเกินไป แถมถ้าช้ามากๆนี่ รถคันข้างหลังที่ต้องจอดรอจะมีเคืองเอาได้
ผมใช้จอดประจำครับ ... พบว่าเร็วกว่าผมถอยจอดเองครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ
โกรธที่ทาง Ford วางขายตัว 2015 มาไม่ถึง 3 เดือนก็ปล่อยตัว 2016 มาให้จองทันทีครับ เรียกว่าหักหลังแฟนๆฟอร์ดที่จองกันมายาวนานมากๆเป็นจำนวนมากครับ
ส่วนตัวแล้วพบว่ามันเป็นรถที่ขับนุ่มมากครับสำหรับ SUV หรือ PPV ครับ เบรคจะนุ่มมากจนแอบน่ากลัวในบางกรณี (อาจจะด้วยความที่ตัวเองเป็นคนขับกระบะ ชอบเบรคที่มันแข็งและลึกหน่อยน่ะครับ)
ส่วนระบบจอดรถนั้นผมค้นพบว่ามันแม่นยำและเร็วดีครับ ... ผมใช้จอดรถในห้างเป็นประจำครับ
เรื่อง Sensor ที่มันดังโดยไม่ทราบสาเหตุ หากใช้วิธีเลี่ยงก็สามาถกดปุ่มปิดชั่วคราวได้ครับ (อยู่ข้างๆปุ่มจอดอัตโนมัติครับ)
ผมเองซื้อตัว 3.2+ มาใช้ครับ พบว่ามันเป็นรถที่ดีมากๆ (ก่อนหน้านี้ผมใช้ Chevrolet Corolado, Toyota Fortuner, Toyota Hilux Vigo, Chevrolet Captiva, Honda CRV, Range Rover และ Ford Ranger Wildtrack มาก่อนครับ) พอจะเห็นข้อแตกต่างของแต่ละรุ่นอยู่บ้างครับ พบว่าเป็นรถที่ดีทีเดียวครับ ติดว่าจะมีเรื่องรำคาญตรงนั้นบ้างตรงนี้หน่อยซึ่งไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงมากนักครับ
ได้ลองใช้ระบบปรับการขับเคลื่อนดูบ้างแล้วครับ ใช้งานได้ดีพอสมควร คล้ายๆของ Land Rover เลยครับ
ส่วนความค่าเฉลี่ยน้ำมันหากวิ่งในกรุงเทพจะอยู่ที่ 9.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ส่วนต่างจังหวัดจะประมาณ 9.7 ครับ อันนี้วิ่งมาแล้ว 10,000 กิโลนะครับ
ส่วนความเร็วสูงสุดที่เคยทำไว้คือ 185 กิโลเมตรต่อชั่วโมงครับ ... รถยังวิ่งนิ่งๆเลยครับ แต่ที่อันตรายคือพวงมาลัยมันนุ่มมากๆ ทำให้การขับต้องตั้งใจขับครับหากขับเร็ว
ส่วนยาง 20" ที่ให้มานั้นเวลาโดนพื้นมีน้ำขังจะไม่ค่อยดีนะครับ แนะนำว่าหากยางหมดอายุแล้วให้เปลี่ยนยี่ห้อเลยครับ
และอีกอย่างที่สำคัญมากคือต้องไปติดตัวกันสาดหน้ารถที่หลังเองครับ หากไม่ติดแล้วเวลารถวิ่งโดนน้ำแล้วน้ำจะตีขึ้นมาที่กระจกหน้าบดบังทัศนวิสัยในการขับครับ ... ตรงนี้แฟนๆฟอร์ดออกมาเรียกร้องให้ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานเพราะตอนโฆษณานั้นมีติดตั้งและโฆษณาอยู่ แต่เวลาขายจริงกลับไม่ได้ติดมา และไม่ได้มีทางเลือกให้ติดเพิ่มในโบร์ชัวร์นอกจากจะสอบถามกันเองครับ
หากอยากรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถคันนี้ก็ถามได้นะครับ พอดีว่าอยู่ในกลุ่ม Ford Everest ใน Facebook เก็บข้อมูลตลอด แล้วก็นำมาทดลองกับรถตัวเองด้วยครับ ตัวรถที่ผมมีจะไม่ต่างจาก 2016 นอกจากระบบที่กล่าวมาข้างบน (ซึ่งผมอยากได้เป็นบ้าเลย Adaptive Cruise Control เนี่ยครับ ... ศูนย์ไม่ยอมติดตั้งเพิ่มให้ 2015 กลายเป็น 2016 ด้วยครับ)
เสียใจกับฟอร์ด ... ชอบรถ แต่ไม่ชอบนโยบายบริษัทเค้าอย่างแรงครับ
ขอบคุณครับ สวัสดีครับ