R3CEV สตาร์ตอัพที่ใช้เทคโนโลยี blockchain จาก Bitcoin มาใช้แทนสำนักหักบัญชี (clearing house) ทำให้ธนาคารในเครือข่ายสามารถโอนเงินไปมาหากันได้โดยตรงประกาศผลทดสอบระบบกับธนาคารขนาดใหญ่ 11 แห่ง เช่น HSBC, Royal Bank of Scotland, UBS, Well Fargo สามารถทำธุรกรรมได้สำเร็จ
การทดสอบครั้งนี้ใช้เทคโนโลยีสมุดบัญชีแยกประเภทแบบกระจายตัว (distributed ledger) โดยเครือข่ายทำงานอยู่บน Microsoft Azure ตัวซอฟต์แวร์พัฒนาจาก Ethereum
UBS ธนาคารหนึ่งที่ร่วมกับการทดลองครั้งนี้รายงานถึงการใช้เทคโนโลยี blockchain ในงาน World Economic Forum ระบุว่าเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพอีกมากเพราะจะทำให้ต้นทุนของสถาบันการเงินต่ำลงอย่างมากจากการใช้ blockchain มาแทนการทำบัญชีกระทบยอด (ledger reconciliation) เพื่อยืนยันจำนวนเงินที่ทำธุรกรรมในแต่ละวัน เฉพาะธนาคารในสหรัฐฯ ก็คาดว่ามีต้นทุนในส่วนนี้ถึงสองหมื่นล้านดอลลาร์ในแต่ละปี ธุรกรรมเช่นการโอนเงินข้ามประเทศ กระบวนการยืนยันว่าชำระสำเร็จแล้ว (settlement) ที่ใช้เวลา 3-4 วัน ก็จะลดลงเหลือเพียง 15 วินาที
R3CEV มีสมาชิกแล้ว 42 สถาบัน อย่างไรก็ดีกระบวนการใช้ blockchain เพื่อการทำธุรกรรมจริงจังอาจจะไม่ง่ายนัก เพราะการเปลี่ยนแปลงต้องเปลี่ยนจากระดับกระบวนการกำกับดูแลลงมา
ที่มา - The Stack
Comments
ถ้าสมมัติใช้ blockchain กันหมด ถ้าสมมุติผมโอนผิด หรือโดนแฮคให้โอนเข้าบัญชีอื่น ทางธนาคารก็ไม่สามารถโอนกลับให้เราได้แล้วรึเปล่าครับ
ไปแต่ยอด เงินสดยังไม่ตามไปหรือเปล่า
อาจจะ "ติดตาม transection " ได้ครับเพรา ยังไงเสียก็ต้อง "ลงทะเบียน" เพื่อผูกบัญชี
แต่ Bitcion นี่สร้างบัญชีได้เอง แบบไม่จำกัด และไม่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวใดใด
สมมติว่าโอนผิด ด้วย เวลา 15 วินาทีไป อาจจะเอาเงินคืนง่ายกว่าเดิม ก็ได้...
คือผมไม่ได้สนใจเรื่องตามได้ไม่ได้ครับ เพราะคิดว่ามันน่าจะได้อยู่แล้ว(มั้ง)
แต่ผมสงสัยว่าธนาคารมีอำนาจในการบังคับการโอนเงินกลับมาได้รึเปล่านะครับ
เพราะมันไม่ใช่ระบบแบบศูนย์กลางแล้ว
กลายเป็นอีกเทคโนโลยีที่เปลั่ยนแปลงโลก
เงินจะยิ่งไหลเร็วมากขึ้น โยกได้ง่ายขี้น
ค่าธรรมเนียมการโอนจะลดลง
หรือจะ charge เพิ่มขึ้นเพราะต้องจ่ายค่าเทคโนโลยี
ถ้าทำได้ "ต้นทุน" น่าจะลดลงครับ ส่วนว่า "ค่าธรรมเนียม" จะลดลงไหมคงขึ้นกับการแข่งขัน
lewcpe.com, @wasonliw