All Thai Taxi บริการรถแท็กซี่ของนครชัยแอร์ ประกาศเตรียมเพิ่มจำนวนรถในสังกัดเป็น 2,500 คันภายในปี 2561 โดยวางแผนจะเพิ่มพื้นที่ให้บริการในเมืองใหญ่ต่างจังหวัด เช่น เชียงใหม่, ภูเก็ต และเกาะสมุย
สำหรับจำนวนรถของ All Thai Taxi ในปัจจุบันนี้มีจำนวน 549 คัน ทางบริษัทวางแผนจะเพิ่มจำนวนรถอย่างต่อเนื่องโดยปีหน้าตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 คัน และจะเพิ่มเป็น 2,500 ในปีถัดไป
นายศิริพงศ์ อินทวดี กรรมการผู้จัดการของ All Thai Taxi ระบุว่าในปัจจุบันนี้มีคนขับราว 600 คน หมุนเวียนกันทำงาน 6 กะ ตลอด 24 ชั่วโมง โดยในนั้นเป็นคนขับผู้หญิงประมาณ 10% รายได้เฉลี่ยของแต่ละคนตกเดือนละ 30,000 บาท (ซึ่งเป็นยอดเงินรวมของเงินเดือนและค่าพิเศษ) โดยในรถแต่ละคันสามารถทำรายได้ให้บริษัทตกปีละ 1 ล้านบาท การเพิ่มจำนวนรถในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ไปถึง 1 พันล้านบาทต่อปีได้สำเร็จ
สำหรับในปัจจุบันนี้ All Thai Taxi ให้บริการรถแท็กซี่ซึ่งผู้ใช้สามารถเรียกใช้งานได้ 3 ช่องทาง คือการโบกรถตามปกติซึ่งคิดค่าโดยสารตามอัตรารถแท็กซี่ทั่วไป และการเรียกผ่านแอพหรือโทรเรียกผ่านคอลเซ็นเตอร์ 02-0189799 ซึ่งคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มอีก 20 บาท นอกจากนี้ All Thai Taxi ยังมีบริการจองรถล่วงหน้าผ่านคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะคิดค่าบริการเพิ่ม 100 บาทจากค่าโดยสารปกติ โดยสามารถจองรถไว้ล่วงหน้าได้ 30 วัน (ทาง All Thai Taxi ระบุว่าผู้ขับจะไปยังจุดรับผู้โดยสารก่อนเวลานัดหมายตามการจอง 1 ชั่วโมง)
นอกจากนี้ All Thai Taxi ยังมีแผนที่เพิ่มบริการพิเศษ All Thai Care, All Thai Limousine และ All Thai Charter แม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดของบริการเหล่านี้เปิดเผยออกมา แต่ทาง All Thai Taxi ระบุว่าจะเริ่มเปิดตัวให้บริการได้ในปลายปีนี้
ที่มา - มติชน, ฐานเศรษฐกิจ, บ้านเมือง, เพจ All Thai Taxi
Comments
คือถ้าพรีอุสเลิกผลิตไปนี่จะทำธุรกิจต่อยังไงล่ะเนี่ย
รถมีเยอะ เพราะขายไม่ออก ผมมะโนนะ
คือโตโยต้าไทย ไม่ขายพรีอุสแล้ว เนื่องจากปัญหาภาษี แล้วนี่เขาเอารถที่ไหนมาอ่ะครับ
เคยคุยกับคนขับ เขาว่าจะออกเป็นคัมรีไฮบริดครับ.
ถ้าเป็นอย่างงั้นก็คงขอรอโบกเรียกเลยครับบบบ
สงสัยมาตลอดว่าธุรกิจแท๊กซี่ที่มีเป็นรูปแบบบริษัทแล้วจ้างคนขับเอาเนี่ย คนขับจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ และบริษัทจะได้กำไรซักเท่าไหร่เชียว เพราะขนาดแท๊กซี่ธรรมดายังบ่นว่าค่ามิเตอร์ต่ำไป วิ่งไม่ค่อยคุ้มเลยต้องเลือกผู้โดยสาร
ซึ่งตามข่าวนี้ คนขับได้เงินเดือนเฉลี่ย 30,000 (คุณพระ!!) แถมบริษัทยังได้กำไรเฉลี่ยจากรถ "ต่อคัน" คันละ 1,000,000 บาท ปีแรกก็ถอนทุนรถได้แล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ ครับ
แล้วที่แท๊กซี่ทั่วๆ ไป บ่นว่าไม่คุ้มๆ มันคืออะไร???
ผมอ้างจากที่มาอีกทีนะครับ เขาว่า "รายได้" คันละ 1,000,000 ต่อปีโดยเฉลี่ย ซึ่งมันควรจะเป็นตัวเลขที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายนะครับ
ช่างไฟสมัครเล่น (- -")
อ่อ จริงด้วยครับ "รายได้" ไม่ใช่ "กำไร" แบบว่าตาลาย 555
ถ้างั้นอยากจะรู้จริงๆ ว่าหักลบค่าใช้จ่าย (โดยเฉพาะค่าน้ำมัน) แล้วจะเหลือเป็นกำไรเท่าไหร่กัน แต่เรื่องค่าซ่อมบำรุงไม่น่าห่วงเพราะเหมายกล็อตขนาดนั้นและได้ยินว่าโตโยต้าจะดูแลให้
แต่ถ้าไม่นับกำไรบริษัท เงินเดือนของคนขับก็ถือว่าสูงนะครับ
แท๊กซี่ที่บ่นๆ ว่าเงินไม่พอใช้ จากที่ผมขับรถอยู่ทำให้รู้ว่า เดือนๆ หนึ่งทำรายได้ราวๆ 45000-50000 บาท ช่วงพีค และช่วงไม่พีตราวๆ 30000-40000 บาท แต่ค่าเช่ารถวันละ 1000 นั้นหมายความว่าต้นทุนค่าเช่าอยู่ที่ 27000 ต่อเดือน(หักวันฟรี) ค่าเชื้อเพลิงอีก 9300 ต่อเดือน รวมแล้วต้นทุนงานอยู่ที่ 36000-37000 ต่อเดือน
นั้นหมายความว่าช่วงพีคจะเหลือเงิน 8000-15000 ต่อเดือน ช่วงโลว 5000-12000 ต่อเดือน ถ้าได้ค่าเช่าถูกก็ทำให้กำไรมากขึ้น ซึ่งค่าเช่ารถจะแบ่งเป็น
altis 03 หมดอายุ ค่าเช่า 300-450 บาทต่อวัน
altis 03 ยังไม่หมดอายุ ค่าเช่า 450-650 บาทต่อวัน
altis 07 ค่าเช่า 650-900 บาทต่อวัน
altis 15 ค่าเช่า 900-1200 บาทต่อวัน
แต่สำหรับรถเช่าซื้อตัวเอง altis 07 จะอยู่ที่เดือนละ 15000-18000 ต่อเดือน อันนี้ต้องซ่อมเอง
อันนี้สำหรับพวงไม่เลือกไปหมด(ไปหมดจริงๆ นะไม่ใช่เลือกบ้างไม่เลือกบ้าง) เพราะปัญหาของไปหมดคือบางวันซวยจัดได้ไปในย่านที่รถต่อ แท็กซี่เยอะ คนขึ้นน้อย ก็ต้องตีรถเปล่ามาเรื่อยๆ กลับมายังย่านเดิม แต่ถ้าเลือกบ้างไม่เลือกบ้างค่าใช้จ่ายเรื่องเชื้อเพลิงตีเปล่ามันก็น้อยลง แต่มันก็มีพวกเลือกหนักๆ พวกนี้แหละที่จะไม่พอกิน คือไม่ไปไหนเลยนอกจากโซนที่จะกลับ...
แต่สำหรับผม ผมอยู่กลุ่มประจำจุดในห้าง รับจากห้างออกมา แล้วปิดไฟวิ่งกลับวิน ค่าใช้จ่ายหักทุกอย่างแล้วก็เหลือ 10000-15000 พอๆ กันมนุษย์เงินเดือนทั่วๆไป แค่พออยู่ได้
ส่วนรถของ all thai เท่าที่เคยคุยๆ กับคนขับดู เค้าก็บอกว่าข้อดีของการขับให้ all thai คือไม่ต้องมาเครียดเรื่องยอดรายได้ เพราะไงๆ ก็มีเงินเดือน เจ็บป่วยก็ไม่ต้องเครียด เพราะมีประกันสังคมให้ รถก็ไม่ต้องซ่อม แต่ห้ามไปชนหรือทำเป็นรอยละไม่งั้นโดนหักเงิน ทำงานมีชั่วโมงพักให้ แต่เงินเบี้ยขยันไม่ใช่จะได้เยอะๆ ทุกคน จากเงินเดือนๆ ละ 15000 +เบี้ย ก็ไม่เกิน 5000 ใครที่ทำยอดได้เกินนั้น คือพวกที่วิ่งโซนกลางเมือง(เค้าจะมีโซนเค้าอยู่ เพราะไงๆ รถมันต้องวิ่งกลับโซนมาเปลี่ยนกะ) ข้อได้เปรียบของ all thai คือเป็นบริษัทใหญ่ ทุนเยอะ ช่างซ่อมก็เยอะ และมีรายได้จากหลายแหล่ง ทำให้ธุรกิจมันเคลื่อนที่ไม่ติดขัด เหมือนๆ กับอู่แท็กซี่ทั่วไป แม้ทุนจะน้อยแต่รายได้ต่อรถ 1 คันค่าเช่าวันละ 900 รายได้เดือนละ 25000 ส่งรถเดือนละ 18000 กำไรต่อคันเดือนละ 7000 ค่าซ่อมยังไม่ถึงครึ่งเลย ถ้าบริหารดีๆ ไม่ให้รถจอดค้างเยอะๆ ไงๆ ก็กำไรเยอะมากอยู่ดีๆ อู่เล็กๆ มีรถก็ไม่ต่ำกว่า 40 คันแล้ว ของที่ซ่อมส่วนใหญ่ๆ ก็เป็นของที่บิ้วจากคันอื่นที่เอามาซ่อมทั้งนั้น แถบไม่เสียค่าซ่อมอะไรเลย ถ้าเจ้าของเป็นช่างเองนะ แถมไม่ใช่รถทุกคันที่จะเสีย
เพราะงั้นการทำอู่แท็กซี่มันจะมีจุดคุมทุนอยู่ ในมุมของ all thai น่าจะคุ้มที่ล็อตละ 500 คัน การเป็นบริษัทใหญ่ย่อมได้ดิวซื้อรถเป็นล็อตๆ ได้ถูกกว่าสหกรณ์ที่ซื้อทีละ 10 คัน 20 คันอยู่แล้ว
ส่วนใครที่คิดจะมาขับแท็กซี่ แนะนำว่าไปทำอย่างอื่นดีกว่าถ้ามีช่องทาง เพราะทุกวันนี้แท็กซี่แถบจะต่อแถวยาวกว่าถนนอยู่แล้ว...
ขอบคุณครับ ตอบข้อสงสัยผมได้เกือบหมดเลย สำหรับ Taxi และ All Thai Taxi
ขอบคุณที่ให้ข้อมูลครับ
ขอบคุณมากครับ ครบถ้วนจริงๆ
บล็อกส่วนตัวที่อัพเดตตามอารมณ์และความขยัน :P
ดูจากการวิเคราะห์ เล่าเรื่อง การใช้ภาษา ผมว่าพี่ไม่ใช่ Taxi ธรรมดาแล้วครับ
อาจจะเป็นโปรแกรมเมอร์ที่เบื่อจากการเป็นมนุษย์เงินเดือนหาอะไรทำฆ่าเวลาใช่ไหมครับ
ขอบคุณ
ขอบคุณครับโพสเดียวกระจ่างแจ้งเรื่องรายได้พี่แท็กซี่เลย
และอยากถามว่าทำไมแท็กซี่หลายๆถึงมีกลิ่นเหม็นครับ
ผมว่าการมีระบบเรียกรถผ่านแอพเข้ามาก็ช่วยให้บริหารการวิ่งรถได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเยอะเลยนะครับ รายได้ต่อระยะทางที่วิ่งน่าจะดีกว่ารถแท็กซี่ทั่วไปที่วิ่งตะลอนๆหาลูกค้าไปเรื่อยๆแล้วก็มาบ่นว่าไม่ค่อยคุ้ม
รวมกับช่วงนี้ราคาน้ำมันค่อนข้างถูก พวกรถไฮบริดน่าจะจ่ายค่าน้ำมันน้อยพอๆกันกับรถใช้แก๊สเลยด้วย แถมไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวเติมแก๊สอีกต่างหาก
น้าข้างบ้านผมเขากู้เงินออกรถ toyota altis พร้อมทะเบียนแท็กซี่ รวมๆแล้วหนึ่งล้านบาท
เขาผ่อนหมดภายในสองปี
ลองคิดดูว่าคนธรรมดาถ้ากู้เงินหนึ่งล้านต้องใช้กินอยู่ด้วยจะผ่อนหมดในกี่ปี
พวกแท็กซี่ที่บ่นๆว่าไม่คุ้ม รายได้ไม่พอ เป็นเพราะสร้างรายจ่ายเกินตัวเอง
จริงๆแล้วรายรับแท็กซี่เยอะกว่าคนทำงานกินเงินเดือนทั่วไปเสียอีก
เค้าก็บ่นไปงั้น ๆ แหละว่าไม่คุ้ม แต่ลองดูจากปริมาณ taxi ที่เห็น มันไม่น่าจะใช่
บางคนขับ uber หลังเลิกงานเพื่อเป็นรายได้เสริมแค่ไม่กี่ชั่วโมง เดือนนึงได้เป็นหมื่นก็มี
ผมเคยคุยกับแท็กซี่บางท่านที่ไม่เลือกผู้โดยสาร เขาบอกว่าเงินดีอยู่นะครับ พวกที่เลือกผู้โดยสารนั่นแหละที่มีปัญหาเพราะต้องวิ่งรถเปล่านานๆ
ยิ่งแท็กซี่ที่ใช้ Grab นี่เขาบอกว่ารายได้ที่ได้จาก Grab นี่เยอะกว่าวิ่งรถตามปกติอีกครับ เพราะมันคอนโทรลได้ว่าจะไปทางไหนอะไรยังไง
เป็นแท็กซี่ที่ดีที่สุดตอนนี้จริงๆ ครับ ไม่ผิดกฎหมาย คนขับมารยาทดีมาก ไม่ปฏิเสธผู้โดยสาร กดตามมิเตอร์ตามรัฐกำหนด
น่ากลัวแต่ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปจะผูกขาดเอา
ผูกขาด แต่ราคาตามกฏหมาย ไม่มาเรียกร้องอะไร ผมว่าก็น่าจะ ok อยู่นะครับ
จริงๆตอนนี้ก็อยากให้ taxi ทั่วๆไป ปิดตัวให้หมด แล้วก็เกิดธุรกิจบริการแบบ all thai taxi ขึ้นมาแทนเยอะๆ
ราคาตามกฏหมาย ไม่มาเรียกร้องอะไรมันมักจะไม่มาพร้อมกับคำว่าผูกขาดน่ะครับ(เช่นเจ๊... รถบขส ) แต่ถ้าเอาอย่างคุณว่าก็จะไม่ผูกขาดครับ All Thai จะมีคู่แข่ง ซึ่งน่าจะดี
ผมเคยใช้คนขับบริการดีครับรถไม่เหม็นชอบตรงนี้แหละ
ช่วยทำให้แอพดีขึ้นจะใช้ครับที่ใช้ไม่ได้สักทีเพราะแอพเรียกไม่ได้นี้แหละ
เคยนั่งรถแบบนี้ละ สะดวกสะบายดี แต่เคยถามพนักงานขับรถ เห็นบ่นว่าระบบยืนยันตัวคนขับรถเข้ากับระบบที่เชื่อมต่อแบบไวไฟยังไม่ค่อยดี ผมก็แอบสงสารคนขับนิดๆ
ตอนเปิดตัวใหม่ๆ hype มากเลยลองกดมาใช้ ผลคือแอพลงทะเบียนไม่ได้ เห็นคนบ่นใน store พักนึงก็ยังไม่แก้
เลยไม่ได้ใช้เลย
เข้ามาบ้านผมไม่ถูกขอยกเลิกงาน เรียกแกร๊บ ดิ่งมาเลย คนขับ All thai บางคนเพิ่งมาขับแท๊กซี่อะครับ เป็นผู้หญิงด้วยน่ะ และก็ตามแต่ GPS ซอยหมู่บ้าน ถนนมันไม่ครบเธอเลยโทรมาบอกว่าตาม GPS มาแต่หาบ้านไม่เจอ ผมดูใน App เธอก็ขับวนไปวนมาในหมู่บ้าน โทรบอกทางก็ยังมาไม่ถูก เหมือนทำอารมณ์เสียแล้วก็ขอยกเลิกงาน
เห็นมีคนขอมา ผมเลยคิดแบบหยาบๆให้
คิดแบบตีเลขกลมๆนะ จากรายได้คันละ 1 ล้านบาท/ปี
ค่าเสื่อมราคารถยนต์ Prius น่าจะอยู่ที่ปีละประมาณ 120,000/ปี/คัน
ค่าจ้างพนักงาน เดือนละ 30,000 * 12 เดือน 360,000/ปี/คัน
ค่าบำรุงรักษา ประกัน เบ็ดเตล็ดตีเฉลี่ย 30,000/ปี/คัน (ของจริงน่าจะถูกกว่ามาก)
ค่าน้ำมัน สมมุติวิ่งวันละ 1 ถัง = 1,000 บาท ตกเดือนละ 30,000 บาท ก็ประมาณ 360,000/ปี/คัน
รวมแล้ว รถหนึ่งคันจะมีค่าใช้จ่าย fix ที่ประมาณ
(120000+360000+360000+30000) = 870,000/ปี/คัน
เหลือกำไร 130,000/ปี/คัน
ปัจจุบันมีรถยนต์ประมาณ 550 คัน
จะมีกำไร 71,500,000 บาท/ปี โดยยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่นๆหรือบวกรายได้ด้านอื่นๆ คำนวนจาก core business ล้วนๆ
สมมุติ All Thai มีค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงานในบริษัทนอกเหนือจากคนขับ + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตกประมาณ 2 ล้านบาท/เดือน
จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆสุทธิที่ประมาณ 24,000,000 บาท/ปี
หักลบกับกำไรที่คิดเมื่อกี้แล้ว
บริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 47.5 ล้านบาท/ปี จากรายได้ 550 ล้านบาท/ปี
คิดเป็น Profit margin ที่ 8.63%
เป็นธุรกิจที่ผลตอบแทนไม่เลวเลยนะ ต่อให้กู้เงินซัก 500 ล้านมาลงทุน ก็ยังมีปัญญาจ่ายดอกสบายๆ
ยังไม่รวมพนักงาน callcenter + พนักงานทำความสะอาดรถอีกนะ :o
แต่เห็นจากรายได้แล้ว ผมรู้สึกแปลกใจ
สมมุติ All Thai มีค่าใช้จ่ายเงินเดือนพนักงานในบริษัทนอกเหนือจากคนขับ + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตกประมาณ 2 ล้านบาท/เดือน
รอรถ แบตเสื่อมก่อน อาจจะมีปัญหาระยะยาว
ตัวแอพหลังเรียกชอบมีปัญหาด้วย พิกัดรถไม่อัพเดต อัพช้าบ้าง พอขึ้นนั่งก็ช้าอีก ตัวไปถึงไหนละรถยังไม่ตามมา
เสื่อมก่อนหมดประกัน toyota ก็รับไปครับ ขึ้นอยู่กับว่าตกลงเรื่องประกันสำหรับรถ business ยังไง ระยะไม่เท่ารถบ้านแน่ๆ
และคิดว่าไม่น่าใช้จนหมดประกันก็ปลดประจำการไปหมดแล้ว
แบต Prius ตอนนี้ราคาถือว่าถูกมากครับ แล้วยิ่งซื้อปริมาณมากๆ แถมเป็นดีลระดับธุรกิจแล้ว แทบจะเรียกว่าเอาราคาเกือบๆต้นทุนไปก็ได้ครับ
น่าจะประกันแบตเตอรี่ 10 ปี ครับ
มีแผนจะพัฒนาเป็นรถยนต์ไร้คนขับด้วยมั้ยครับ?
All Thai Taxi ผมไม่ชอบอยู่บางอย่างคือ
- Map มีปัญหาอย่างมาก ผมไม่แน่ใจว่าถ้าเอา API ของ Google Maps มาใช้ มันจะทำให้ต้องลงทุนเพิ่มจากเดิมซักแค่ไหน เพราะทุกวันนี้ map ของตัว app เองค่อนข้างมีปัญหา โดยเฉพาะเวลาจะกำหนดจุดปลายทาง เสียเวลามาก หายากมาก ถ้าไม่รู้สถานที่รอบๆ รู้แค่ชื่อสถานที่นี่จบเลย Google Maps หาเจอ แต่พอมาใส่ใน app แล้วหาปลายทางไม่เจอ
- คนขับ ใช้เทคโนโลยีไม่เป็น ทำให้ใช้งาน feature ต่างๆที่ All Thai Taxi เพิ่มเข้ามาไม่เป็น
ราคา Maps API scale ขนาดนี้ เมื่อสามปีก่อน น่าจะอยู่ราวๆ ล้านต้นๆ ครับ ... แต่ราคาปัจจุบันไม่ทราบ
เคยถามคนขับว่ารถกินน้ำมันเยอะไหม วันนั้นผมเรียกรถราวๆบ่าย คนขับบอกเติมเต็มตอนเช้า วิ่งมาหลายเที่ยวก่อนมาเจอผม น้ำมันพึ่งลดได้นิดเดียว (เห็นว่าเต็มถังวิ่งได้เกิน 700 โล)
Camry Hybrid รุ่นแรกที่ขายในไทย ผมขับระยะ 70+ กม. ผ่านทั้งช่วงซิ่ง (สมัยนั้นยังซิ่งอยู่ :p) บนทางด่วนโล่งๆ ตอนมืดๆ แล้ว ผ่านทั้งช่วงติดขัดสลับหยุดนิ่ง (แยกแครายในตำนาน) ยังกลับถึงบ้านด้วยอัตรา ~20 กม./ลิตรเลยครับ นั่นขนาดรถใหญ่และเครื่อง 2.4l นะ
รถโล่งถ้ารู้จักเทคนิคเหยียบคันเร่ง (ให้ใช้มอเตอร์ช่วยมากที่สุดในจังหวะที่ปกติจะเป็นช่วงกินน้ำมัน) ก็ประหยัดขึ้นเยอะแล้วครับ รถติดแบบเกือบหยุดนิ่งนี่ก็ประหยัดมากอยู่แล้ว (เครื่องยนต์ติดขึ้นมาแค่ช่วงแบตหมดแล้วก็ชาร์จแบตจนพอแล้วดับไป)
รุ่นใหม่ชาร์จไฟตอนวิ่งได้ด้วย ยิ่งประหยัด
เคยโบกแท็กซี่ที่ วัดพระแก้วไปพารากอน เจอปฏิเสธรัวๆ โชคดีที่ได้ตันนึง คุยไปคุยมา ลุงเค้าทำ All Thai Taxi แล้วก็อธิบายถึงข้อดีที่เค้าเลือกทำ คือ ไม่ต้องเครียดทำยอดอะไรมาก ไม่ต้องเลือกผู้โดยสารแบบก่อน ขับแบบมีความสุข