ไม่กี่วันก่อน Elon Musk โพสต์บทความลงบนบล็อกของ Tesla เขาเรียกมันว่า “แผนการขั้นสุดยอด ตอนที่ 2” หรือ “Master Plan, Part Deux” (Deux แปลว่า 2 ในภาษาฝรั่งเศส) เป็นแนวทางที่ Tesla ต้องการมุ่งหน้าไป อีกทั้งยังมีการเปิดเผยข้อมูลผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย ผมอ่านแล้วคิดว่าทำให้เห็นภาพรวมระยะยาวของ Tesla ได้ดีมาก เลยแปลมาลงอีกทีครับ
ก่อนจะมาถึงแผนการขั้นที่ 2 ก็ต้องมีขั้นที่ 1 ก่อน ซึ่ง Elon เคยเขียนไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว สรุปออกมาได้ 4 ข้อ ดังนี้ โดยในวงเล็บเป็นข้อความของผมเอง
เส้นทางความเป็นมาของข้อ 1 ถึง 3 ผมเคยเขียนไว้ครั้งนึงแล้วตอนที่ Tesla Model 3 เปิดตัว ลองกดเข้าไปอ่านกันได้
Elon Musk บอกว่าการที่เขาต้องเริ่มจากข้อ 1 (ผลิตจำนวนน้อย) เพราะมันเป็นทุกสิ่งที่เขาทำได้จากการขาย PayPal ให้ eBay ไปในราคา 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนั้นเขาคิดว่าโอกาสที่ Tesla จะไปรอดนั้นต่ำมาก เลยไม่อยากไปขอเงินทุนจากคนอื่นมา ทำให้ต้องใช้เงินตัวเอง โดยบริษัทรถยนต์หน้าใหม่ก็แทบจะไม่มีใครไปรอด และในปี 2016 มีบริษัทรถยนต์ในสหรัฐฯ เพียง 2 เจ้าที่ไม่ล้มละลาย คือ Ford และ Tesla นั่นเอง Elon บอกว่าการตั้งบริษัทรถยนต์ก็โง่พออยู่แล้ว และการตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้ายิ่งโง่ยกกำลัง 2 เลย
การผลิตรถยนต์ในจำนวนน้อย แปลว่าโรงงานก็ไม่ต้องใหญ่มาก ซับซ้อนน้อยลง ถึงแม้ว่าการผลิตเกือบทั้งหมดต้องทำด้วยมือก็ตาม และแน่นอนว่าพอผลิตจำนวนน้อยก็ต้องขายแพง ไม่เกี่ยงว่าสิ่งที่ผลิตจะเป็นรถยนต์ซีดานหรือรถสปอร์ต (แล้วทำไมต้องผลิตรถยนต์ธรรมดาขายล่ะ?) เขาบอกว่ามีคนที่พร้อมจะจ่ายหนักสำหรับรถสปอร์ต แต่ไม่มีใครอยากจ่ายเงิน 1 แสนดอลลาร์เพื่อ Honda Civic พลังงานไฟฟ้าหรอก ต่อให้มันจะดูเท่แค่ไหนก็เถอะ
เหตุผลหนึ่งที่ Elon เขียนแผนการขั้นที่ 1 ไว้ก็เพื่อป้องกันข้อครหาว่า Tesla ผลิตรถยนต์สำหรับคนรวยเท่านั้น เช่นตั้งบริษัทอินดี้มาเพราะรู้สึกว่ายังมีแบรนด์รถสปอร์ตไม่เพียงพอ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่ายังมีบทความโจมตี Tesla ออกมามากมายนับไม่ถ้วนอยู่ดี
เหตุผลหลักของแผนการขั้นที่ 1 คืออธิบายการกระทำต่างๆ ของ Tesla ในภาพรวม หลักๆ แล้วก็คือการเร่งให้คนหันมาใช้พลังงานที่ยั่งยืน ทำให้มนุษย์สามารถจินตนาการถึงอนาคตได้ไกล และยังดำรงชีวิตได้อยู่ (ไม่ใช่คิดว่าอีก 10 ปี 100 ปี น้ำมันหมดโลก อยู่กันไม่ได้) เขาย้ำว่า “ความยั่งยืน” ไม่ใช่ของงี่เง่า หรืออินดี้แต่อย่างใด แต่มันสำคัญกับทุกคน
Elon บอกว่าเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็ต้องเปลี่ยนไปใช้พลังงานที่ยั่งยืน หรือไม่อย่างนั้นแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลก็จะหมดลง และมนุษยชาติก็จะล่มสลาย ยังไงเราก็ต้องเลิกใช้น้ำมัน และนักวิทยาศาสตร์ทั้งหมดก็เห็นด้วยว่าปริมาณคาร์บอนในชั้นบรรยากาศและในมหาสมุทรเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ ยิ่งเราหันมาใช้พลังงานที่ยั่งยืนได้เร็วแค่ไหน ก็ยิ่งดีเท่านั้น
เพื่อให้พวกเราเข้าถึงพลังงานที่ยั่งยืนได้เร็วขึ้น Elon เปิดเผยแผนการขั้นที่ 2 ดังนี้
สร้างโซลาร์เซลล์ที่รวมระบบเข้ากับแบตเตอรี่แบบไร้รอยต่อสำหรับบ้านแต่ละหลัง จากนั้นก็ขยายสเกลไปทั่วโลก สั่งครั้งเดียว, ติดตั้งครั้งเดียว, ติดต่อบริการที่เดียว, ใช้แอพแอพเดียว
โซลูชันแบบนี้ไม่สามารถทำได้ถ้า Tesla และ SolarCity เป็นคนละบริษัทกัน (Tesla เพิ่งเสนอเข้าซื้อ SolarCity ไปเดือนก่อน) ขณะนี้ Tesla พร้อมแล้วที่จะขยายการผลิต Powerwall และ SolarCity ก็พร้อมที่จะผลิตแผงโซลาร์เซลล์ที่แตกต่างจากคนอื่นเช่นกัน ตอนนี้ถึงเวลาที่จะนำทั้งสองมารวมกันแล้ว
Tesla Powerwall ชาร์จไฟเก็บไว้ตอนกลางวัน เอามาใช้ตอนกลางคืน
ขณะนี้ Tesla มีคำตอบสำหรับรถเก๋งแบบพรีเมี่ยมและรถ SUV แล้ว (Model S และ X) แต่สองอย่างนี้ยังเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น ซึ่งการมาของ Model 3 จะช่วยให้ทำตลาดได้กว้างขึ้น โดย Elon บอกว่ารถยนต์ที่ราคาถูกกว่า Model 3 จะไม่จำเป็นแล้ว เหตุผลอยู่ในย่อหน้าถัดๆ ไป (ใครหวังว่าจะมี Tesla ราคาถูกมากๆ ก็อดไปนะครับ)
สิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับการเร่งการมาถึงของอนาคตที่ยั่งยืนคือต้องขยายความสามารถในการผลิตให้เร็วที่สุด เขาบอกว่า Tesla โฟกัสอย่างหนักไปที่การสร้างเครื่องจักรที่ผลิตเครื่องจักร พวกเขาต้องการเปลี่ยนตัวโรงงานเองให้เป็นสินค้า ทฤษฎีฟิสิกส์พื้นฐานด้านการผลิตยานพาหนะบอกไว้ว่าการพัฒนาไปอีก 5-10 เท่า (จากของเดิม) จะเกิดขึ้นที่เวอร์ชันที่ 3 หรือภายในรอบ 2 ปี ซึ่งขณะนี้โรงงานผลิต Model 3 อยู่ที่เวอร์ชัน 0.5 ซึ่งต้องรอถึงปี 2018 กว่าจะถึงเวอร์ชัน 1.0
นอกจากรถยนต์ที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว เรายังต้องการรถยนต์ไฟฟ้าอีก 2 ประเภท คือรถบรรทุกสำหรับงานหนัก (heavy-duty) และรถประเภทรถเมล์ที่จุคนได้มาก โดยทั้งสองอย่างยังอยู่ในขั้นแรกของการวิจัย และน่าจะพร้อมสำหรับการเปิดตัวภายในปีหน้า ซึ่ง Elon Musk เรียกรถบรรทุกไฟฟ้าว่า Tesla Semi เขาเชื่อว่ามันจะลดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งลงได้ ในขณะที่มีความปลอดภัยสูงขึ้น รวมถึงการควบคุมก็สนุกอีกด้วย
ส่วนเรื่องรถเมล์แบบใหม่ เขาบอกว่ามันเข้าท่าที่จะลดขนาดรถบัสในปัจจุบันลง แล้วเอาคนขับออกไปทำงานเป็นผู้ควบคุมกลุ่มยานพาหานะแทน (fleet manager) ปัญหารถติดน่าจะลดลง เนื่องจากรถจะเร่งและเบรคตามจังหวะการไหลของรถคันอื่นๆ (รถคันข้างหน้าขยับแล้วก็เคลื่อนตามทันที ไม่เว้นห่างหรือออกตัวช้า) อีกทั้งรถเมล์แบบใหม่นี้จะส่งผู้โดยสารทุกคนถึงจุดหมาย ไม่มีเส้นทางเดินรถตายตัว ใช้การเรียกรถผ่านแอพแทน (ระบบน่าจะคำนวณให้ว่าคนที่จะไปบริเวณนี้ควรส่งรถคันไหนมารับ) ส่วนคนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถกดปุ่มเรียกรถได้จากป้ายรถเมล์เช่นกัน อีกทั้งยังออกแบบให้รองรับวีลแชร์, รถเข็นเด็ก และจักรยานอีกด้วย
เมื่อเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้า รถยนต์ Tesla ทุกคันจะติดตั้งฮาร์ดแวร์สำหรับการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบ (fully self-driving) พร้อมความสามารถรองรับความล้มเหลวในระบบได้ (fail-operational capability) กล่าวคือถึงแม้จะมีระบบใดๆ ก็ตามในรถเกิดเสีย แต่รถจะยังสามารถขับต่อไปได้เองอย่างปลอดภัย Elon Musk ย้ำว่าการปรับแต่งซอฟต์แวร์จะใช้เวลานานกว่าการแค่เอากล้อง, เรดาร์, โซนาร์ และอุปกรณ์คิดคำนวณมาติดตั้งเข้ากับรถ
ถึงแม้ซอฟต์แวร์จะถูกปรับแต่งมาให้ทำงานได้ดีกว่ามนุษย์มากแล้ว เราก็ยังต้องรอให้รัฐรับรองการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบอีกนานอยู่ดี ทาง Tesla คาดว่าหน่วยงานรัฐทั่วโลกต้องการเห็นผลงานการขับอัตโนมัติเป็นระยะทางถึง 6 พันล้านไมล์ หรือ 1 หมื่นล้านกิโลเมตรเลยทีเดียว โดยขณะนี้มีการเรียนรู้ของรถอยู่ที่ 5 ล้านกิโลเมตรต่อวัน
Elon ระบุว่าที่ Tesla เปิดระบบ Autopilot ให้ใช้กันตอนนี้เพราะเมื่อใช้งานอย่างถูกต้อง ก็ปลอดภัยมากกว่าการขับด้วยมือแล้ว รวมถึง Tesla จะไม่หยุดการใช้งาน Autopilot เพราะกลัวสื่อมวลชนแย่ๆ อีกด้วย
ตามรายงานของ National Highway Traffic Safety Administration (NHTSA) เมื่อปี 2015 ระบุว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ร้ายแรงถึงชีวิตเพิ่มขึ้น 8% คือเสียชีวิต 1 คนทุกๆ ระยะทาง 89 ล้านไมล์ ซึ่งสถิติของ Autopilot กำลังจะดีขึ้นเป็น 2 เท่าของตัวเลขนั้นและจะดีขึ้นทุกๆ วัน โดยเขาบอกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะปิดระบบ Autopilot ดังที่มีคนพยายามเรียกร้อง เหมือนกับการที่เราไม่ควรเลิกใช้ระบบ Autopilot ในเครื่องบินนั่นเอง
นอกจากนี้ Elon ยังบอกว่าที่ Tesla ใส่คำว่า beta ให้กับระบบ Autopilot เพราะต้องการลด “ความคาดหวัง” ของลูกค้า และทำให้พวกเขาคิดว่าระบบยังพัฒนาต่อได้อีก ซึ่งจริงๆ แล้วระบบนี้ไม่ได้เป็นซอฟต์แวร์ขั้น beta อยู่แล้ว ก่อนการปล่อยอัพเดตจะมีการทดสอบภายในอย่างเข้มข้น และ Tesla จะปลดคำว่า beta ออกก็ต่อเมื่อสถิติทั้งหมดชี้ว่ามันปลอดภัยกว่ายานพาหนะในสหรัฐอเมริกา 10 เท่า
เมื่อการขับอัตโนมัติเต็มรูปแบบถูกรับรองโดยหน่วยงานรัฐ แปลว่าเจ้าของรถจะสามารถเรียกรถให้ขับมาหาจากที่ไหนก็ได้ พอเราก้าวขึ้นรถ เราสามารถนอนหลับ, อ่านหนังสือ หรือทำอะไรก็ได้จนถึงจุดหมายปลายทาง
ในอนาคต Tesla จะจัดให้มีกลุ่มรถยนต์เพื่อการแบ่งปัน เจ้าของรถ Tesla ทุกคนสามารถเอารถตัวเองเข้าร่วมโครงการได้ผ่านแอพ และปล่อยให้รถสร้างรายได้โดยการวิ่งรับส่งคนขณะที่เราทำงาน, ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือเวลาใดๆ ที่ไม่ได้ใช้รถ เขาระบุว่าน่าจะสร้างรายได้ได้มากกว่าค่าผ่อนรถรายเดือนเสียอีก การทำแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของรถลงได้มาก จนถึงจุดที่เกือบทุกคนสามารถซื้อ Tesla มาใช้ได้ (ช่วงที่ไม่ใช้รถก็เอาไปวิ่งหาเงิน แล้วใช้เงินที่ได้มาไปช่วยผ่อนรถ) ซึ่ง Elon บอกว่าโดยปกติคนทั่วไปใช้รถเพียง 5-10% ของเวลาใน 1 วันเท่านั้น เอาเวลาที่ไม่ใช้ไปวิ่งหาเงินดีกว่า
สำหรับเมืองที่มีความต้องการสูงกว่าปริมาณรถที่มีคนเอารถเข้ามาร่วม ทาง Tesla จะจัดรถมาเสริมให้ด้วย
สรุป แผนการขั้นสุดยอด ตอนที่ 2 แยกได้เป็น 4 หัวข้อหลัก คือ
ผมอ่านแล้วคิดว่าหลังจากนี้เราคงไม่อาจเรียก Tesla ว่าเป็นบริษัทรถยนต์ได้อีกแล้วนะครับ
ที่มา - Tesla
บทความแนะนำอ่านเพิ่มเติม: แชร์ประสบการณ์ทดลองนั่ง Tesla Model S P90D ณ เมือง Stuttgart ประเทศเยอรมนี
Comments
Autopilot + Uber
ซื้อรถมาให้มันขับเองหาเงิน !!
อาจจะเป็นได้มากกว่า UBer ก็ได้นะ เช่น ส่งของ(ผูกกับ Amazon DHL ) ให้เช่ารายวัน
55 Amazon มีระบบแพ็คของจัดเรียง+ส่งอัตโนมัติ เอามาผูกเข้ากับ Tesla ต่อไปสิ่งที่มัสค์กับเบซอสต้องทำก็คือนั่งคิดนอนคิดอย่างเดียว เงินก็ไม่ต้องนับ ระบบออโต้นับให้
ปล่อยบ๊อทนั้งเอง !!!
อ่านแล้วฟินมากฮะ เป็นภาพอนาคตในฝันที่ผมเคยคิดตอนเด็กเลย
รอ Apple ลงมาเล่นด้วย ฮาๆ
ขอบคุณสำหรับบทความครับ :D
เอารถดีๆมาวิ่งหาเงิน จะคุ้มค่าเสื่อมมั้ยครับ
นั่งดูกระทู้นี้มีแต่คนบอกว่าเอารถส่วนตัวไปให้เค้าใช่มีแต่ไม่คุ้ม
http://pantip.com/topic/35412266
แต่สำหรับรถอัตโนมัตินี่ผมไม่รู้นา
ต้องลองมองในอีกมุม คนที่ไม่มีรถ ในอนาคต อาจจะไม่ต้องกระเสือกกระสนหารถ
เพราะเรามีแอบที่หารถว่างๆ ไว้ ขับไปเที่ยวเสาร์อาทิตย์
รถบนถนน อาจจะลดลง แต่ทุกคันพร้อมวิ่งเต็มเวลา
แบบนี้ก็น่าจะเวิร์คนะ
Uber ไง ใช้ได้เลยตอนนี้เลย แก้ขัดไปก่อน
elon เป็นมนุษย์ที่คิดจะครองโลก.....
ชอบหมอนี่จัง ถ้ามีเงิน15bm น้อยคนนักจะคิดถึงคนอื่น เพราะชีวิตนี้สบายไปทั้งชีวิตแล้วแท้ๆ
The Last Wizard Of Century.
สานต่อวิญญาณ สตีป จ็อปส์ พลิกโลกแบบยุคเริ่มต้นสมาร์ทโฟน
เป้าหมายต่อไอ ถล่ม Exxon
มองว่าระบบการแชร์รถเวลาว่างนี่เป็นระบบคั่นเวลา ในแง่หนึ่งถ้าในอนาคตรถไร้คนขับ (ไม่ใช่ autopilot ที่ยังต้องการคนขับ) จริงๆ ถึงจุดนั้นไม่มีประโยชน์ที่คนทั่วไปจะเป็นเจ้าของรถอีกต่อไป รถทั้งหมดจะอยู่ในระบบ time-sharing หมด
บ้านไม่ต้องมีที่จอด เช้ามากดแอพเรียกมารับหน้าบ้าน เย็นกดไปส่ง ใครเข้าออกจากบ้านช่วง rush-hour โดนตัวคูณไป เช้าต้องรีบออกหน่อยเดี๋ยวค่าแท็กซี่แพง เย็นไม่ต้องรีบกลับมาก นั่งเล่นไปก่อน
lewcpe.com, @wasonliw
ผมมองว่าขึ้นกับไลฟ์สไตล์ของเจ้าของรถด้วยครับ อย่างผมไม่มีรถ สัมภาระทุกอย่างที่จำเป็นจะอยู่ในเป้ ก่อนเดินทางแค่คว้าเป้ก็พร้อมไป จะเดินทางด้วยอะไรก็ได้
แต่กับอีกกลุ่มจะมีรถเป็น "บ้านเคลื่อนที่" มีของใช้สารพัดอย่างพร้อมใช้ตลอด รองเท้า เสื้อผ้า เครื่องสำอางเพียบ อาจจะใช้โมเดลนี้ไม่ได้ครับ
กระบวนการเปลี่ยนแปลงคงไม่ใช่ทันทีครับ แต่การมีรถเป็นของตัวเองจะแพงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับการเรียกรถมาที่บ้าน อารมณ์เดียวกับคนมีรถแต่ถ้าบ้านใกล้รถไฟฟ้าพอก็ยอมไปรถไฟฟ้าทั้งๆ ที่ขนของไปด้วยไม่ได้
การเดินทางของคนทั่วไปโดยส่วนใหญ่ ไม่น่าจะอยากได้สัมภาระจำนวนมากๆ ติดตัวไปด้วยนัก แต่ทุกวันนี้คนจำนวนมากโยนๆ ของไว้ในรถ เพราะอย่างไรเสียเราก็ต้องเอารถไปอยู่แล้ว การไม่โยนของไว้ในรถ ไม่ได้ลดภาระอะไรเรานัก ขณะที่อนาคตถ้าเราสามารถเรียกรถได้ตลอดเวลาเสมือนรถส่วนตัว (ซึ่งกว่าจะถึงจุดนั้นผมว่าอีกหลายสิบปี) จะมีสักกี่คนที่ยอมจ่ายเงินเพิ่มซื้อคอนโดนแล้วซื้อที่จอดรถส่วนตัวเพื่อเอามาจอดรถเพิ่ม เพื่อให้ได้ขนของไปมากับตัว
ก็คงมีบ้าง แต่ก็น่าจะน้อยจนเราไม่ได้เห็นทั่วๆ ไป
lewcpe.com, @wasonliw
ดูจากสภาพการจากตอนนี้ ในอนาคต Tesla ก็น่าจะเป็นผู้นำในวงการรถโดยสารกลุ่ม time-sharing ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ..วิสัยทัศน์ยิ่งใหญ่มากๆ
แจ่มแมว เป็นบุคลไอดอลผมเลย
อีกหน่อย ธุรกิจนำมันรถเจ๊ง โรงเรียนสอนขับรถก็เจ๊ง สีแยกก็ไม่ต้องมีไฟแดง คนก็จะขับรถกันไม่เป็นอีกต่อไป
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่ยั้งยืน มีเกิดก็มีดับ
โลกก็มีเครื่องคิดเลขมานานแล้วนะครับ ผมก็เห็นคนยังคิดเลขเป็นอยู่เลย
ถ้ามันไม่มีประโยชน์ที่จะมีต่อไปมันก็จำเป็นต้องจากไปครับ อาชีพคนเผาถ่านก็เหลือน้อยลงไปตามสภาพ อาชีพนายพรานก็น้อยลงมาก คนก็ล่าสัตว์กันแทบไม่เป็นก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
ที่คุณว่ามาเป็นโลกในฝันของผมเลยครับ
ผมเองก็หุงข้าวเอง(ด้วยเตาไฟ)ไม่เป็นเหมือนกัน ได้แค่เทข้าวลงหม้อ เทน้ำตาม กดปุ่ม.... ก็ออกมาอร่อยดี ไม่เห็นมีปัญหาตรงไหน
เรียกว่า Disruptive Technology น่ะครับ
ฟังแล้วรู้สึกมีความหวังว่ามันจะเป็นจริงได้ในอนาคตอันไม่ไกลมากนัก
สู้ๆครับ เป็นกำลังใจให้
..: เรื่อยไป
เลิกคิดสอยเบนซ์ หาเทสลาดีกว่า เบนซ์มีแต่ซ่อมเอา ซ่อมเอา เทสลามีได้กับได้ ขอให้ลงไทยเยอะๆเถอะ อยากเห็นปตทล่มสักที ภาษีโปรดไปเก็บรถน้ำมันเยอะๆเลย เอาไฟฟ้าน้อยๆ ให้พัฒนาด้านการผลิตไฟฟ้าด้วยแสงและลม จะได้ลดปัญหาทำโรงไฟฟ้า ประชาชนจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนประท้วง
ลองอ่านความเห็นนี้ของผมดูนะครับ รีรันให้
ใช้รุ่นไหนอยู่ครับ Bluetec Hybrid?
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
แค่เคยเป็นอดีตสาวกเฉยๆ Blutec Hybrid เกิดมาเพื่อลดภาษีในไทย เครื่องก็ซีซีน้อย ไฟฟ้าทั้งชุด 9G Tronic ก็มา เสียก็จับสตาร์อย่างเดียว ดีน่ะยังไม่เอา Active Body Control มาในไทยใช้นี้คนใช้น้ำตาเล็ดล่ะครับ
อยากรู้ว่าตอนนี้ Toyota, Honda, Nissan กำลังคิดอะไรอยู่ครับ หลังจากเห็นแผนการนี้ของ Tesla เข้าไป
แผนการของ Tesla มันยิ่งใหญ่กว่าที่ผมคิดมาก และถ้าทำสำเร็จจริง ทีนี้พฤติกรรมการซื้อรถของคนมันเปลี่ยนไปแน่ๆ และมันจะทำให้อนาคตของบริษัทรถยักษ์ใหญ่สั่นคลอนได้ง่ายๆ เลย ถ้าทำสำเร็จก็ไม่มีความจำเป็นต้องซื้อรถบ้านธรรมดาแบบทุกวันนี้อีก (ถ้าไม่ซื้อ Tesla เป็นของตัวเองและหารายได้ ก็ไม่ต้องซื้อรถแล้วไปใช้แบบ time sharing ซะเลย) ซึ่งทุกวันนี้รถบ้านครองตลาดโดย Toyota Honda แม้แต่ในอเมริกาก็ตาม ลองดูว่าถ้า Model 3 มาจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น
บริษัท Toyota ยิ่งใหญ่กว่า Tesla เยอะ แต่ตอนนี้เหมือนจะก้าวช้าไปก้าวใหญ่ๆ แล้ว รถที่มีขายทุกวันนี้ยังเป็นรถแนวคิดเดิมๆ อยู่เลย และถึงแม้ Toyota, Honda จะมีรถแบบ EV ออกขายมาพักนึงแล้ว แต่มันไม่ได้ดูล้ำดูเด่นเท่ากับ Tesla (แค่การรับรู้ของคนก็กินขาดแล้ว Tesla=รถพลังงานไฟฟ้า อันนี้ชัดเจนมาก) แถมเทคโนโลยีอย่าง Autopilot ของบริษัทพวกนี้ก็ยังตั้งไข่ ยังอยู่ในช่วงทดลองอยู่ ...แต่ Tesla กลับมีขายให้ใช้งานได้จริงไปพักใหญ่ๆ แล้ว แถมพยายามจะก้าวไปให้ถึงรถไร้คนขับ 100% ด้วยการพัฒนาไปเรื่อยๆ ให้มันเชื่อถือได้ นี่เรียกว่าล้ำหน้าไปก้าวใหญ่ๆ แล้วล่ะครับ
บริษัทญี่ปุ่นยังคงอนุรักษ์นิยมได้เสมอต้นเสมอปลาย เคลื่อนไหวตัวช้ามาก แบบนี้แหละผมว่าจะแพัทางบริษัท startup ของอเมริกาที่กล้าได้กล้าเสียมากกว่า อย่างเรื่อง Autopilot ถ้าเป็น Toyota ต่อให้ทดลองแทบตายยังไงผู้บริหารก็คงไม่กล้าเอามาใช้ในผลิตภัณฑ์จริงเด็ดขาด คงต้องรอไปอีกซัก 10-20 ปีหากไม่มีการแข่งขัน แต่อย่าง Tesla กล้าเอามาเปิดให้ใช้เลย และมันก็สำเร็จดีด้วย ก็ถ้าบริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นยังก้าวด้วยความเร็วเท่านี้ อีก 20 ปีโฉมหน้าผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง และรถยนต์ยี่ห้อใหญ่ตอนนี้อาจจะกลายเป็นแค่ตำนาน
Toyota Mirai ว่าไงครับ
ถ้าติดตามข่าวสารฝั่งวงการรถจริงๆ ผมว่าฝั่งยักษ์ใหญ่ที่คุณว่าก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรเลยนะ
Tesla ได้เปรียบตรงไม่มีอะไรจะเสียนี่สิ รอให้อายุบริษัทขึ้นหลัก 40 - 50 ปีก่อน ถึงตอนนั้นอาจจะกลายเป็นเต่าเหมือนเต่ารุ่นพี่ก็ได้
ส่วนบริษัทรถเก่าๆทั้งหลายเขาลงทุนค่าวิจัยเครื่องยนต์เดิมๆไปเยอะเขาก็คงอยากได้ทุนคืนนะ อย่างเครื่องดีเซล่าสุดของเบนซ์ก็ใช้งบเกือบแสนล้าน แล้วจะให้รีบทำเครื่องไฟฟ้ามาฆ่าตัวเองก็ออกจะใจกล้าไปหน่อยมั๊ย
ส่วน Autopilot นี่ Benz มีมาก่อน Tesla อีกอะ คือ steer ได้เบรคได้เร่งได้
แต่ Tesla ทำตัวเองให้เป็นข่าวได้เก่งกว่าละมั้ง เดี๋ยวรอดูของ Audi ครับ เห็นคุยนักหนาว่าดี
+1 นี่ล่ะครับที่อยากจะสื่อ คือบริษัทที่ลงแรงไปเยอะจะเปลี่ยนอะไรคงจะไม่ทุบหม้อข้าวตัวเองเปลี่ยนกระทันหัน แต่ก็ไม่ใช่เขาไม่คิดทำ เพียงแต่เขาซุ่มทำ GM Volt มีมอเตอร์ปั่นไฟในตัว กรอกน้ำมันลงไปก็กลายเป็นไฟฟ้าเลยไม่ต้องมาเก็บพลังงานชาร์จอะไรวุ่นวายคิดเสร็จปี 2004 กว่าจะได้ฤกษ์ขายปี 2010กว่าๆ เหตุผลง่ายๆเขาบอกรถน้ำมันยังมีอยู่เต็มสต๊อก (อีกอย่างฝั่งผู้บริโภคก็ไม่ได้เรียกร้องอีกตะหาก เขาอยากได้รถอะไรก็ได้ที่มันประหยัดไม่จำเป็นต้องไฟฟ้า) ขณะที่เทสล่ามาใหม่ ลองไม่ทำก็คงเหมือน Fisker Spyker และอีกหลายๆค่ายที่คนไม่ทันจะจำได้
รวมๆผมว่าตา Elon Musk นี่คือแกหาเสียงเก่งน่ะครับ
ผมว่าน่าจะคล้ายๆวงการมือถือนะ คือ Tesla จะผลิตรถยนต์ที่คุม ecosystem ทั้งหมดคล้ายๆกับที่ Apple ทำ iPhone ส่วน Google จะเน้นขายระบบปฏิบัติการและบริการ (Android + Driverless AI) ให้กับบริษัทรถยี่ห้อต่างๆ
+1
จริงๆ time sharingที่ทำได้ตอนนี้เลยคือพัฒนาระบบขนส่งมวลชนครับเช่นรถไฟฟ้า เหมือนญี่ปุ่น
ดัดแปลงtaxi ให้ใช้พลังงานไฟฟ้า+แหล่งจ่ายพลังงาน
The Last Wizard Of Century.
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ
น่าสนใจมาก คนที่คิดแผนการใหญ่ได้เป็นขั้นตอนขนาดนี้ เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าหากันได้ในระดับนี้ สุดยอดจริง
ผมกลับมองว่าเค้ามองภาพรวมเอาไว้แล้วล่ะ จากนั้นก็กลับมาตีโจทย์ว่าจะเริ่มต้นสานฝันจากจุดไหนให้มันดูสามารถเข้าใกล้ความเป็นจริงได้มากที่สุดก่อน
ตบทความดีมากครับ ขอบคุณครับ
[S]