สิ่งหนึ่งที่รถยนต์ไฟฟ้า Tesla แตกต่างจากรถยนต์ทั่วไป คือมันมีการอัพเดตซอฟต์แวร์ของตัวรถอยู่สม่ำเสมอ เมื่อผู้ใช้จอดรถในบริเวณบ้านก็จะเชื่อมต่อ Wi-Fi อัตโนมัติ ซึ่งอัพเดตใหญ่ครั้งสุดท้ายคือเวอร์ชัน 7.0 เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว มาพร้อมกับฟีเจอร์ Autopilot หลังจากนั้นก็ออกเวอร์ชัน 7.1 ที่ทำให้รถสามารถเข้าออกโรงจอดรถเองได้ ล่าสุด Tesla ประกาศเปิดตัวซอฟต์แวร์เวอร์ชัน 8.0 มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการปรับปรุงระบบเรดาร์สำหรับ Autopilot ครั้งใหญ่
บนเว็บไซต์ Tesla เล่าเกี่ยวกับอัพเดตใหม่นี้ว่าจะใช้การประมวลผลสัญญาณจากเรดาร์ (signal processing) ที่ล้ำยิ่งขึ้นเพื่อสร้างแบบจำลองของพื้นที่รอบรถ โดยใช้ฮาร์ดแวร์เดิมได้เลย ซึ่งก่อนหน้านี้ระบบเรดาร์ดังกล่าวเป็นเพียงตัวเสริมให้กล้องหลักและระบบประมวลผลภาพ (image processing) เท่านั้น
วิศวกรของ Tesla ได้ตัดสินใจให้ข้อมูลจากระบบเรดาร์มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยก่อนหน้านี้ยึดการประมวลผลจากกล้องเป็นหลัก เหตุผลหนึ่งที่ Tesla ให้น้ำหนักกับข้อมูลจากกล้องมากกว่าเพราะเรดาร์มองเห็นวัตถุบางชนิดผิดไปจากความเป็นจริง เช่นเรดาร์จะมองเห็นโลหะเป็นกระจกเงา, มองเห็นบางส่วนของร่างกายมนุษย์เป็นวัตถุโปร่งแสง หรือมองเห็นวัสดุที่เป็นไม้หรือพลาสติกเป็นวัตถุที่เกือบจะโปร่งใสเหมือนกระจกเลยทีเดียว แต่ข้อดีคือมันสามารถมองทะลุหมอก, ฝุ่น, ฝน และหิมะได้สบายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น เรดาร์มองเห็นโลหะที่มีลักษณะเป็นจานนูนผิดไปจากความเป็นจริงมาก ไม่เพียงแต่สะท้อนกลับเหมือนกระจกเงา แต่ยังขยายสัญญาณที่สะท้อนไปมาเนื่องจากความนูนอีกด้วย Tesla ยกตัวอย่าง "กระป๋องน้ำอัดลมบนถนน" ที่หันก้นกระป๋องเข้าหารถ ว่าเรดาร์จะเห็นกระป๋องเล็กๆ เป็นสิ่งกีดขวางขนาดใหญ่และอันตราย ซึ่งถ้ายึดข้อมูลจากเรดาร์เป็นหลัก รถก็จะเบรกอัตโนมัติเพื่อป้องกันการชน
ปัญหาใหญ่ของการใช้ข้อมูลจากเรดาร์คือต้องทำอย่างไรที่จะหลีกเลี่ยงสัญญาณเตือนที่ผิดพลาด (false alarm) คงไม่มีมนุษย์คนไหนอยากเบรกเพื่อหลบกระป๋องน้ำอัดลมแน่นอน อีกทั้งการเบรกเมื่อไม่มีเหตุจำเป็นยังก่อให้เกิดความรำคาญและอาจเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุได้ด้วย
การแก้ปัญหาข้างต้นในขั้นแรกคือเพิ่มรายละเอียดข้อมูลจากเรดาร์ให้ได้มากที่สุด โดยซอฟต์แวร์เวอร์ชัน 8.0 จะเปิดรับข้อมูลรอบตัวมากขึ้นอีก 6 เท่าด้วยฮาร์ดแวร์เดิม (ฮาร์ดแวร์ชุดนี้ใช้งานมาตั้งแต่ปี 2014 แปลว่า Tesla เลือกใช้อุปกรณ์ระดับดีมาก รองรับอนาคต)
ขั้นที่สองคือการนำข้อมูลจากเรดาร์แต่ละช็อตที่เก็บข้อมูลใหม่ทุก 100 มิลลิวินาที (แปลว่า 1 วินาที เก็บข้อมูลรอบตัวได้ 10 ครั้ง) มารวมเข้าด้วยกันแล้วจำลองภาพสามมิติของพื้นที่รอบตัวขึ้นมา โดย Tesla บอกว่าการอิงจากข้อมูลเพียงเฟรมเดียวไม่สามารถบอกได้ว่าวัตถุชิ้นใดๆ กำลังขยับหรือหยุดนิ่ง หรือสะท้อนสัญญาณมาปลอมๆ จึงต้องเปรียบเทียบเอาจากข้อมูลหลายๆ ชุดและนำความเร็วรถรวมถึงเส้นทางที่คาดว่ารถจะวิ่งไป มารวมกันเพื่อคำนวณว่าวัตถุนั้นเป็นสิ่งกีดขวางจริงหรือไม่ และมีความเป็นไปได้ที่จะเฉี่ยวชนมากน้อยแค่ไหน
ถ้าคิดว่าขั้นที่สองยากแล้ว Tesla บอกว่าขั้นที่สามยากกว่ามาก เพราะเมื่อรถยนต์มุ่งหน้าเข้าสู่ทางลอด เช่นลอดใต้สะพาน หรือมีป้ายบอกทางขนาดใหญ่อยู่ด้านบน รถมักจะมองเห็นเป็นเส้นทางที่เสี่ยงต่อการชน แม้ระบบนำทางและข้อมูลความสูงจาก GPS จะบอกว่าเป็นเส้นทางที่ขับไปได้ แต่รถก็ยังไม่ชัวร์ว่าจะลอดผ่านไปได้หรือไม่
Tesla จึงใช้การเรียนรู้แบบกลุ่มเข้ามาช่วย (fleet learning - รถสอนรถ) โดยเริ่มแรกรถจะไม่เบรกหรือเตือนใดๆ เวลาลอดใต้สะพาน แต่จะเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ก่อน หากเป็นสถานการณ์ที่รถคิดว่าควรเบรก แต่คนขับไม่เบรกหรือแสดงอาการใดๆ มันก็จะอัพโหลดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นฐานข้อมูลของ Tesla จากนั้นหากมีรถหลายๆ คันขับผ่านจุดนั้นๆ ได้อย่างปลอดภัย พิกัดตรงนั้นก็จะถูกเก็บเข้า whitelist ว่าเป็นจุดที่ผ่านไปได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม หากกลัว false alarm มากเกินไปแล้วไม่เบรกเลยก็ยังเสี่ยงอีก โดยเมื่อข้อมูลจากเรดาร์แสดงว่ามีความเสี่ยงที่จะชน รถจะเริ่มแตะเบรกนิดๆ แม้กล้องจะมองไม่เห็นสิ่งกีดขวางใดๆ จังหวะนั้นก็จะประมวลผลพื้นที่รอบตัวไปเรื่อยๆ และเมื่อความมั่นใจว่าจะชนเพิ่มสูงขึ้น รถจะเบรกหนักขึ้น และเมื่อมีโอกาสชน 99.99% ก็จะเบรกเต็มที่ทันที Tesla บอกว่าการทำแบบนี้อาจไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชนได้ 100% แต่ก็ช่วยลดความเสียหายไปได้เยอะพอสมควร
ฟีเจอร์ใหญ่สุดท้ายคือต่อไปนี้รถยนต์ Tesla จะมองเห็นรถยนต์ถึงสองคันข้างหน้าแล้ว จากเดิมที่มองแค่คันข้างหน้าเท่านั้น วิศวกรบอกว่าใช้สัญญาณเรดาร์สะท้อนลอดไปใต้ท้องรถยนต์คันข้างหน้า และแยกแยะสัญญาณที่สะท้อนกลับมาว่าเป็นคันข้างหน้า หรือสองคันข้างหน้าจากระยะเวลาที่โฟตอนถูกยิงออกไป หากรถคันที่ 2 เกิดชน รถ Tesla ก็ยังเบรกได้ทันเวลา แม้รถคันข้างหน้าจะบังกล้องอยู่ก็ตาม
ทีมงานยังเล่นมุกในช่วงท้ายของประกาศว่ารถยนต์ Tesla จะเบรกได้อย่างถูกต้องแม้ในสภาพอากาศที่หมอกลงจัด ทัศนวิสัยเป็นศูนย์ และมี UFO บินมาลงจอดขวางกลางไฮเวย์ก็ตาม
สรุปฟีเจอร์สำคัญ ที่มาพร้อมอัพเดตเวอร์ชัน 8.0 มีดังนี้
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่อัพเดตนี้ออกมาไม่ทันเหตุการณ์อุบัติเหตุของนาย Joshua Brown ที่เสียชีวิตเป็นคนแรกจากการใช้ระบบ Autopilot ซึ่งถ้าเขาได้ใช้ซอฟต์แวร์ตัวนี้ อาจสามารถหลีกเลี่ยงการชนสำเร็จก็เป็นได้
อัพเดตนี้จะทยอยปล่อยให้ผู้ใช้ Tesla ภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า
ที่มา - Tesla
Comments
คุ้นๆ เหมือนกรณี Joshua Brown ภายหลังออกมาบอกว่าไม่ได้เปิด Autopilot นะครับ
หรือผมจำผิดหว่า
เวลาดูสาวชอบดูสาวขาวๆ Sex Sex เวลาดู Notebook ชอบแบบ"ถึกๆดำๆ"
Twitter : @Zerntrino
G+ : Zerntrino Plus
กรณีที่ไม่ได้เปิด Autopilot เป็นอีกกรณีนึงครับ Tesla Model X ชนกับที่กั้นริมทาง
อ่อขอบคุณครับ ผมจำผิดเอง
เวลาดูสาวชอบดูสาวขาวๆ Sex Sex เวลาดู Notebook ชอบแบบ"ถึกๆดำๆ"
Twitter : @Zerntrino
G+ : Zerntrino Plus
อนาคตมาเร็วกว่าที่คิด มันเป็นรถที่ค่ายรถใหญ่ๆ ไม่เคยคิดจะทำ
อาจจะลงเอยด้วยเหตุการณ์แบบ nokia motorolla และ kodak ของวงการรถยนต์
กรณีของอุบัติเหตุทุกแบบ ผมมองว่าเป็นตัวเร่งการพัฒนานะ และจะทำให้ทุกคัน ไม่เกิดเหตุกรณีแบบนั้นอีกต่อไป
กว่าเครื่องบินจะปลอดภัยแบบทุกวันนี้ ก็ต้องผ่านอะไรแบบนี้มามากมาย
ถ้าตัวรถมีใส่ระบบมากมายเผื่ออนาคตแบบนี้ น่าสงสัยว่าถ้าถอดระบบพวกนี้กับต้นทุนซัปพอร์ตภาคซอฟต์แวร์ออกเหลือแต่ระบบขับเคลื่อนกับออปชั่นที่จำเป็นจะลดราคาขายได้เท่าไหร่กันนะ.
มีออฟชั่นไม่ติดเลยอยู่ครับ แต่ไหนๆจะซื้อแล้วเิาให้ครบเลยก็ดีครีบต่อให้ไม่ใช้ auto มันก็ยังช่วยเราสิเคราะห์เส้นทางเลยช่วยเราเบรดหรือประครองรถได้ครับ
อ้อ เข้าไปดูแล้วเป็นออปชั่นจ่ายเพิ่มจริงด้วย ขอบคุณครับ.
ซ้ำ
มันขายได้ก็เพราะตรงนี้ด้วยแหละ
อีกหน่อยก็จะมีเสียงบ่นเรื่องรุ่นเก่าๆ โดนลอยแพไม่ได้ update ใหม่ๆ เพราะ hardware ไม่ support
ทั้งๆ ที่ในอดีตสินค้าประเภทนี้ไม่มีการ update อะไรให้เลยด้วยซ้ำ การได้ update ถือเป็นของแถมแท้ๆ
ล้ำขนาดนี้ บริษัทรถค่ายใหญ่บางค่ายยังนิ่งอยู่เลย ระวังตามไม่ทันนะ
เงื่อนไขมีมาไม่สิ้นสุด
ฝันของระบบขับเอง ของรถคง ไม่สำเร็จโดยง่าย
คนเราใช้ประสบการณ์ชีวิต ตัดสินใจ ทันบ้างไม่ทันบ้าง รอดบ้างไม่รอดบ้าง
ระบบของรถซึ่งประสาทสัมผัสจำกัด พอเพิ่มความซับซ้อนเข้าไปเรื่อยเรื่อย
ก็คง ต้องใช้ พวก ควอนตัมคอมพิวเตอร์แล้วล่ะ มาเป็น สมองกลของรถ
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต้องทำมาอย่างดีเลย อดเป็นห่วงไม่ได้ เพราะมันอยู่ในรถ สั่นสะเทือนตลอดเวลาที่ขับ
ถ้าเกิดมี C พังไป จะซ่อมง่ายไหมน้อ