ในช่วงหนึ่งถึงสองปีที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้ว่า Virtual Reality เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ถูกพูดถึงและกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากที่สุดเทคโนโลยีหนึ่ง ซึ่งผู้เล่นในตลาดนี้ก็มีมากตามไปด้วย
หนึ่งในผู้เล่นที่เรียกได้ว่าอยู่แถวหน้าของตลาด เอาจริงเอาจังกับผลิตภัณฑ์แว่น VR และออกผลิตภัณฑ์มาแล้ว 2 รุ่นคือซัมซุง ที่จับมือกับ Oculus และเข็นเอา Gear VR ออกสู่ตลาดตัวแรกเมื่อปีที่แล้ว และล่าสุดได้ออกรุ่น 2.0 ที่เป็นการปรับปรุงรุ่นแรกให้ดีขึ้น ครบเครื่องกว่าเดิมและเพิ่มพอร์ต USB-C ที่สามารถเชื่อมต่อ Thumb Drive และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้ ซึ่งบทความนี้จะพูดถึงและเปรียบเทียบ Gear VR 2.0 กับแว่น VR ในตลาดหลักๆ อย่าง VR Box
Gear VR 2.0 ได้รับการออกแบบใหม่เล็กน้อย ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือฝาครอบด้านหน้า และแถบ touchpad ด้านขวามือที่เปลี่ยนมาเป็นแบบเรียบ รวมถึงเพิ่มปุ่ม home เพิ่มเข้ามาคู่กับปุ่ม back ไม่นับรวมสีที่เปลี่ยนจากสีขาว เป็นสีกรมท่า
ขณะที่รูปทรงของ cushion (จุดที่เป็นฟองน้ำกันกระแทก) ก็ยาวและโค้งรับรับรูปหน้ามากขึ้นเล็กน้อย ฟองน้ำกันกระแทกหนาขึ้น รวมถึงมี dongle ที่เป็นพอร์ต USB-C มาให้เพื่อรองรับ Galaxy Note 7 ด้วย และแน่นอนว่ารองรับสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นมากกว่าเดิมแล้ว ไล่ไปตั้งแต่ Note 5, S6, S6 Edge, S7, S7 Edge และ Note 7
นอกจาก Gear VR ของซัมซุง แว่น VR Box ถือเป็นแว่น VR อีกเจ้าที่หาซื้อได้ค่อนข้างง่ายและมีราคาที่ถูกกว่า แต่ข้อเสียของ VR Box คือประสบการณ์การใช้งานที่ค่อนข้างจำกัดและไม่แตกต่างจากการใช้ Cardboard อย่างความกว้างของมุมมอง (Field of View) คุณภาพภาพและความคมชัดของภาพ
การใช้งาน VR Box เป็นเพียงการเสียบสมาร์ทโฟนเข้าไปในถาด และรับชมประสบการณ์ VR ผ่านเลนส์ที่มีการปรับโค้งให้ได้ภาพที่เหมาะสมกับสายตา ทำให้ความกว้างของมุมมองจะค่อนข้างแคบ และจำกัดอยู่แค่ขนาดของหน้าจอสมาร์ทโฟนเท่านั้น เช่นเดียวกับคุณภาพและความคมชัดของภาพ ยังไม่นับช่องว่างที่เหลืออยู่ระหว่างแว่น VR Box และสมาร์ทโฟน ที่ทำให้การรับชมมีช่องโหว่และไม่เต็มตาเท่าไหร่นัก ขณะที่คอนเทนต์ ผู้ใช้ต้องหาเอง อาทิวิดีโอที่รองรับ VR จาก YouTube
ตรงกันข้ามกับ Gear VR 2.0 ที่ผู้ใช้สามารถรับประสบการณ์ VR ได้อย่างเต็มตาจาก ecosystem ของซัมซุงที่จับมือกับ Oculus และรุ่นใหม่นี้ยังปรับปรุงความกว้างเพิ่มขึ้นเป็น 101 องศา จากเดิมที่ 96 องศา ขณะที่คุณภาพและความคมชัดของภาพ ยังคงเหนือกว่าเช่นกัน จากเลนส์ที่กว้างชึ้น และจากคุณภาพของหน้าจอสมาร์ทโฟนซัมซุงรุ่นใหม่ๆ ที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นทุกปี
อีกหนึ่งความแตกต่างที่สำคัญคือ Gear VR 2.0 มีเซ็นเซอร์ภายในเป็นของตัวเองทั้ง Gyrometer และ Accelerator ที่ทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์ในสมาร์ทโฟน ช่วยเรื่องการปรับมุมมองตามการเคลื่อนไหวของผู้ใช้ให้ลื่นและไม่สะดุดมากขึ้น ช่วยลดอาการมึนหัวลงได้ รวมถึง Proximity Censor ที่จะตรวจจับว่าหากผู้ใช้ถอดแว่นออก ก็จะหยุดการทำงาน และเล่นต่อเมื่อกลับมาสวมแว่น ที่สำคัญคือ Gear VR 2.0 ยังมีพอร์ต USB-C เอาไว้รองรับอุปกรณ์เสริมต่างๆ สำหรับเล่นเกม หรือจะต่อกับ USB Memory สำหรับเก็บหนังที่อยากดูก็ได้
Comments
ผมอ่านทีแรกก็ตกใจ เฮ้ย ในตารางดีกว่าทุกอย่าง แถมถูกกว่าด้วย...อ้าวนี่มันดอลล่าร์นี่หว่า ๕๕๕
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!
15 องศานี่ มันจะเยอะก็ไม่เยอะ จะน้อยก็ไม่น้อยนะครับ เอาเป็นว่า ถ้ายืนกำปั้นไปข้างหน้าแล้ว กางนิ้วชีกับนิ้วก้อยออกมา มุมมองที่เราเห็นจากสายตา นั่นแหล่ะครับ 15 องศา
ในรูปท้ายสุด ราคาVRBOXน่าจะผิดหน้อ ขายตามpantip ,lazada แถมremoteด้วย 350-500หน้อ
(โดยส่วนตัว VRBOX ปวดตา มันไม่นุ่มสบายตาแบบ GearVR หน้อ OvO)/
ปัจจุบันมี content อะไรให้เล่นบ้างหว่า ถ้าต่อคอมได้คงดีประหยัดๆ
มันมีแอปสำหรับเชื่อมต่อกับคอมอยู่นะ
เหมือน เขียนยังไม่เสร็จเลยอ่ะครับ
อืม VR Box นี่ได้มาถูกๆ ลองเล่นแค่ครั้งสองครั้งแล้วเก็บใส่กล่องวางจมฝุ่นอยู่มุมห้อง คือ มันก็ดีกว่า Cardboard พอสมควรแต่มันก็เทียบ Gear VR ไม่ได้เลยจริงๆ Gear VR วางตำแหน่งเลนส์มาดีใส่แล้วไม่ปวดตา
แว่น VR BOX นั่น
ราคา 268 บาท (แถม remote joystick ด้วยครับ)
ซื้อได้ในไทย (ที่เวบขายของยอดนิยม เวบหนึ่ง)
ผมว่า Advertorial ไม่น่าจะเอายี่ห้ออื่นมาโจมตีนะครับ แล้วบอกว่าเป็นรีวิวอีก
oxygen2.me, panithi's blog
Device: ThinkPad T480s, iPad Pro, iPhone 11 Pro Max, Pixel 6
การเปรียบเทียบกับคู่แข่งผมมองว่าเป็นเรื่องปกตินะครับ คนเข้ามาอ่านก็คงอยากรู้ว่า Gear VR มันมีอะไรที่ดีกว่า VR Box อันละไม่กี่ร้อย
เท่าที่รู้มาคือผิดกฏหมายไทยนะครับ ในโฆษณาทีวีเลยไม่เคยเห็นยี่ห้อไหนเอามาเปรียบเทียบกัน มีแต่เปรียบเทียบของตัวเองแต่คนละรุ่น
เทคโนโลยีไม่ผิด คนใช้มันในทางที่ผิดนั่นแหละที่ผิด!?!