Tags:
Node Thumbnail

เป็นที่ทราบกันดีว่ากูเกิล เปรียบเสมือนผู้มาก่อนกาลในการพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เนื่องจากเป็นเจ้าแรกๆ ที่พัฒนาและประกาศต่อสาธารณะ และย่อมมีส่วนให้เกิดกระแสให้ผู้ผลิตรถยนต์และเทคโนโลยีเจ้าอื่นๆ หันมาพัฒนารถยนต์ไร้คนขับกันไม่มากก็น้อย แต่ถึงแม้จะมาก่อนใครเพื่อน ดูเหมือนคู่แข่งของกูเกิลหลายๆ เจ้ามีพัฒนาการที่แซงหน้ากูเกิลไปแล้ว ขณะที่กูเกิลเองดูเหมือนยังไม่รู้ว่าจะหันหัวเรือไปทางไหน เพื่อทำให้รถไร้คนขับนำรายได้มาสู่บริษัทได้อย่างจริงจัง

กูเกิลเริ่มพัฒนารถไร้คนขับในปี 2009 ก่อนจะประกาศต่อสาธารณะในปี 2012 ขณะที่กระแสของการพัฒนารถไร้คนขับเริ่มมาช่วงปี 2013 แต่ทว่าบริษัทที่นำรถไร้คนขับมาวิ่งให้บริการกับสาธารณะเป็นเจ้าแรก กลับกลายเป็นบริษัท nuTonomy ในสิงคโปร์ และ Uber ในย่าน Pittsburgh หรือแม้แต่ Tesla ที่เปิดตัวระบบ Autopilot ของ Tesla ที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2014 กับรุ่น Tesla S D Series

ถึงกระนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบไร้คนขับที่ถูกนำออกสู่สาธารณะจากทั้งสามบริษัทนั้นยังไม่สมบูรณ์และขับเคลื่อนด้วยตัวเองได้ 100% ซึ่งตรงนี้เองดูเหมือนเป็นแผนในการพัฒนาของกูเกิล ที่ต้องการให้รถและซอฟต์แวร์ของตัวเองสมบูรณ์แบบและพร้อมรับในทุกสถานการณ์ ก่อนจะออกสู่สาธารณชน ซึ่งต้องใช้เวลาและการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดังวลี ช้าช้าได้พร้าเล่มงาม

และด้วยพัฒนาการที่ค่อนข้างช้า รวมถึงความเห็นที่แย้งกับบริษัท ทำให้หัวเรือในการพัฒนารถไร้คนขับหลายคนอาทิ Sebastian Thrun, Anthony Levandowski สองวิศวกรผู้ริเริ่มโครงการและ Chris Urmson อดีตหัวหน้าโครงการประกาศลาออกกันหมด ไม่นับวิศวกรในโครงการอีกหลายคน ซึ่งหนึ่งในอดีตทีมงานของโปรเจ็คนี้เผยว่า ทีมงานต้องการความท้าทายใหม่ๆ ขณะที่กูเกิลต้องการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและสมบูรณ์แบบที่สุด ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญก็มองว่ากูเกิลจำเป็นต้องมีพาร์ทเนอร์ เพื่อทำให้รถไร้คนขับสร้างรายได้ให้กับบริษัท และกูเกิลเองก็ยังหาพาร์ทเนอร์ไม่ได้เสียที ถึงแม้จะพยายามพูดคุยกับหลายบริษัทมาแล้วก็ตาม

ที่มา - Bloomberg

alt="prius"
ภาพจาก Google Self-Driving Car Project

Get latest news from Blognone

Comments

By: ตะโร่งโต้ง
WriterAndroidWindows
on 26 September 2016 - 14:02 #942711
ตะโร่งโต้ง's picture

ถ้าจะบอกว่า Google อ่อนด้อยเรื่องแผนธุรกิจของรถไร้คนขับนี่ใช่แน่ แต่สำหรับเรื่องตัวเทคโนโลยีจริงๆ อาจจะนำคนอื่นอยู่นะ

บางทีก็คิดว่า หรือที่จริงแล้ว Google ไม่ได้กะจะทำรถยนต์ไร้คนขับ แต่กะจะทำระบบปฏิบัติการรถยนต์ไร้คนขับเพื่อขายไลเซนส์???? เหมือนที่ Google ไม่ได้ตั้งใจขายโทรศัพท์แบบเป็นน้ำเป็นเนื้อ แต่จะเน้นมาที่ Android


ช่างไฟสมัครเล่น (- -")

By: Hadakung
iPhoneWindows PhoneAndroidWindows
on 26 September 2016 - 14:16 #942712 Reply to:942711

ยังไม่มีใครวัดกันตรงๆตอบอยากครับว่านำคู่แข่งหรือยังไง เพราะพัฒนาก่อนก็อาจใช้ความรู้ก่อนเก่าพัฒนาขึ้นซึ่งอาจโดนคู่แข่งทับด้วยของที่ดีกว่าได้

By: nrml
ContributorIn Love
on 26 September 2016 - 14:45 #942719 Reply to:942711
nrml's picture

ตรงนี้ผมไม่แน่ใจนะครับว่าเทคโนโลยีของ Google อยู่ระดับไหน เพราะขณะที่คนอื่นนั้นสามารถเอารถออกถนนด้วยความเร็วที่ใช้ในการสัญจรปกติ แต่จากที่เคยอ่านข่าวมาเหมือนฝั่ง Google ยังใช้ความเร็วแบบกระดึ๊บๆ อยู่เลย ความเร็วปัจจุบันผมไม่แน่ใจนะว่าอยู่ที่เท่าไหร่หากข้อมูลผมผิดพลาดไปก็แย้งได้นะครับ

By: devilblaze
iPhoneAndroidWindows
on 26 September 2016 - 14:47 #942721 Reply to:942711
devilblaze's picture

อาจจะขายที่ชุดระบบ แบบที่ nvidia ขาย self driving

By: จักรนันท์ on 27 September 2016 - 20:39 #943049 Reply to:942711

"จะทำระบบปฏิบัติการรถยนต์ไร้คนขับเพื่อขายไลเซนส์" ไม่ใช่แน่ๆ นั่นมัน Business model ของ M$ ครับ

By: HMage
AndroidWindows
on 26 September 2016 - 15:54 #942730

คง​ต้อง​วัด​ความ​สำเร็จ​ที่​ ใคร​จะมี​ข่าว​ว่า​เจออุบัติเหตุ​มี​คน​ตาย​เป็นบริษัท​สุดท้าย​

By: winit_a on 26 September 2016 - 17:36 #942744

ก็ช้าๆเรื่อยๆ แต่ส่วนตัวก็ดีน่ะ
รอเวลา เทคโนโลยีพร้อมๆ ทำการบ้านไปก่อน
ส่วนตัวมองไปที่รถพลังงานไฟฟ้า หรือทางเลือกมากกว่า
พอสซิล รอแหล่งพลังงานที่ดีพอขับเครื่องโลกตอนนี้
ทำ ai ไปพลางๆ

By: nrml
ContributorIn Love
on 26 September 2016 - 17:40 #942745 Reply to:942744
nrml's picture

จนถึงเวลานั้นก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้ครับ ดูอย่าง Microsoft เป็นตัวอย่าง

By: Polwath
ContributoriPhoneWindows PhoneAndroid
on 26 September 2016 - 18:15 #942751 Reply to:942745
Polwath's picture

หมายถึง Windows Phone / Windows 10 Mobile สินะ


Get ready to work from now on.

By: whitebigbird
Contributor
on 26 September 2016 - 18:19 #942752
whitebigbird's picture

ผมเข้าใจว่า mission ของ Alphabet และ Google X คือ "พัฒนาวิทยาการเพื่อมนุษย์ชาติ" นะครับ แล้วเทคโนโลยีไร้คนขับเองก็ยังไม่สมบูรณ์ มันยังต้องใช้เวลาเก็บประสบการณ์บนถนนจริงเพื่อปรับปรุงให้ปลอดภัยได้อีกเยอะ

ในมุมของบริษัทที่แสวงหากำไรจากรถไร้คนขับแบบบริษัทที่กล่าวมา ถ้าเปิดตัวช้ากว่านี้ก็มีแต่จะจมทุน ก็คงต้องหารายได้ไป แล้วก็ take risk ไปด้วย

ซึ่งคงไม่ใช่กับรถไร้คนขับของกูเกิลอ่ะครับ

ปล. ผมนึกถึง Ethan ในซีรีย์ Extant

By: Fourpoint
Windows PhoneAndroidSymbian
on 27 September 2016 - 07:53 #942835 Reply to:942752

คือเป้าหมายเขียนไว้สวยหรู แต่ข่าวที่เกิดขึ้น ก็คือบริการไหนทำเงินทำรายได้ไม่ได้ หรือไม่รู้จะมีโอกาสทำเงินอย่างไร ก็ขายออกไป เช่นข่าวเรื่องการขาย Boston dynamic(ที่ทำหุ่นยนต์เลียนแบบการเดินของมนุษย์และสัตว์ต่างๆ)

By: whitebigbird
Contributor
on 27 September 2016 - 17:34 #943005 Reply to:942835
whitebigbird's picture

พูดให้ดูดีคือ ไม่รู้ว่าจะพัฒนามันให้ดีขึ้นได้ยังไงอ่ะครับ

By: mr_tawan
ContributoriPhoneAndroidWindows
on 26 September 2016 - 18:40 #942757
mr_tawan's picture

เข้าใจว่า มันมีความเสี่ยงสูง ทุกอย่างควรจะพร้อมจริง ๆ เลยต้องใช้เวลาพอสมควร


  • 9tawan.net บล็อกส่วนตัวฮับ
By: stan
ContributoriPhoneAndroidUbuntu
on 26 September 2016 - 20:17 #942772
stan's picture

เป้าหมายของ google คือไร้คนควบคุม 100% เอาพวงมาลัยคันเร่งออกไปเลย แต่ของ tesla มันยังมีพวงมาลัยให้คนคอยจับไว้ตลอดการขับขี่

By: nrml
ContributorIn Love
on 27 September 2016 - 00:02 #942815 Reply to:942772
nrml's picture

ผมว่าเป้าหมายจริงๆ ของ Tesla ก็คงเหมือนกันครับ แต่วิธีการไม่เหมือนกันเพราะ Tesla บอกว่าต้องการเอาออกมาวิ่งจริงให้ได้เร็วที่สุดไม่งั้นมันก็ไม่เกิดเสียที

By: Matibul
UbuntuWindows
on 27 September 2016 - 10:30 #942876 Reply to:942772

เป้าหมายสูงสุดน่าจะรูปแบบนั้นเหมือนกัน แต่กูเกิลเน้นทดสอบใน Lab ส่วน Tesla ดันออกมาให้ลูก้าช่วยทดสอบค่อยๆปรับปรุงไปจนถึง Auto 100%

By: breambeem
UbuntuWindows
on 27 September 2016 - 10:34 #942880 Reply to:942876

ซึ่งวิธีการแบบ Tesla ก็มีคนซื้อรถไปใช้งานและตายไปแล้ว ส่วนของกูเกิลก็ไม่รู้จะคลอดเมื่อไหร่

By: nrml
ContributorIn Love
on 27 September 2016 - 13:12 #942921 Reply to:942880
nrml's picture

ถ้ามองในมุมที่ว่ามันคืออุบัติเหตุ ก็แปลว่าทุกวันนี้บริษัทรถยนต์ทุกค่ายก็กำลังใช้ลูกค้าเป็นหนูทดลองอยู่เช่นกัน มันก็มีเหตุผลในการที่ Tesla ทำออกมาแบบนี้เช่นกันนะครับ เพราะข้อมูลการใช้งานในสภาพถนนจริงๆ นั้นมีความจำเป็นอย่างมากในการพัฒนาระบบนี้ โดยตัวระบบเองก็ไม่ได้แนะนำให้ใช้งานแบบ Full auto ยังคงให้ใช้มือประคองพวงมาลัยอยู่