ปัญหากลิ่นอุจจาระในพื้นที่ชนบทและด้อยพัฒนาหลายแห่งในหลายประเทศ กำลังเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสุขภาวะที่คุกคามคนในพื้นที่ ด้วยเหตุนี้มูลนิธิ Bill & Melinda Gates ได้ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ของ Firmenich บริษัทผลิตน้ำหอม (ที่ทำน้ำหอม Romance by Ralph Lauren) ทำน้ำหอมดับกลิ่นอุจจาระ สำหรับผู้คนในพื้นที่ห่างไกลเหล่านั้น
กลไกการดับกลิ่นที่ Firmenich ใช้จะอาศัยการหลอกประสาทสัมผัสรับกลิ่นในจมูก ที่ส่งสัญญาณตรงไปยังสมอง ไม่ให้สมองรับรู้ว่ากลิ่นได้ที่รับนั้นเป็นกลิ่นเหม็น ซึ่ง Bill Gates เล่าไว้บนเว็บไซต์ของเขาว่า หลังจากที่ดมน้ำหอมดับกลิ่นอุจจาระเข้าไป ตัวเขาไม่ได้กลิ่นอุจจาระ (ซึ่งเป็นกลิ่นสังเคราะห์ เพื่อใช้ในการทดลอง) เลย แต่ได้กลิ่นเป็นดอกไม้แทน
Bill Gates เล่าด้วยว่าปัจจุบันมีเด็กราว 8 แสนคนในแต่ละปี เสียชีวิตจากการขาดสุขลักษณะ ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มทดลองในอินเดียและแอฟริกาก่อน และทีมงานจะพยายามหาทางให้น้ำหอมดับกลิ่น มีราคาที่จับต้องได้และใช้ง่าย ซึ่งอดีตซีอีโอไมโครซอฟท์ระบุว่ากลิ่นเดียวที่เขารู้สึกได้จากโครงการนี้ คือ "กลิ่นของความสำเร็จ"
Comments
แบบนี้ก็ไม่ต้องไปกลบฝัง ปล่อยให้สลายตัวไปเองตามธรรมชาติ ทั้งๆ ที่ยังกองอยู่ข้างโต๊ะ
เจตนาดีน่าชื่นชม แต่ส่วนตัวไม่ชอบเทคโนโลยีหลอกตัวเองเลย
+1 ยังไงขี้ก็ยังเป็นขี้ ยังสกปรกมีเชื้อโรคอยู่ดี
ดูในคลิปแล้วเหมือนจะมองปัญหากันคนละเรื่องนะ
เมื่อห้องน้ำสกปรกเหม็นเน่ามากจนทำให้คนไม่ยอมใช้ แล้วออกมาปล่อยกันในที่สาธารณะแทน
ซึ่งเทียบกันระหว่าง "ใช้ห้องน้ำสกปรก" กับ "ปล่อยให้ทุกคนอุจจาระกันตามข้างถนนหรือแม่น้ำ"
ใช้ห้องน้ำสกปรกน่าจะเป็นตัวเลือกดีกว่า โปรเจคนี้ก็มองปัญหาในลักษณะนี้
ส่วนประเด็นการแก้ปัญหาตรงๆอย่าง "ทำความสะอาดห้องน้ำ"
คิดว่าอาจจะมีปัจจัยอะไรมากกว่านี้ที่ทำให้ทำไม่ได้ ไม่งั้นก็จบเรื่องไปนานแล้ว ไม่ต้องมีโปรเจคนี้
น่าสนใจดีเหมือนกันครับในประเด็นนี้ ตรงที่ว่าคนที่ทำโปรเจ็คนี้เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของชาวบ้านจริงหรือเปล่า
ปกติร่างกายถูกสร้างมาให้รับรู้กลิ่นเบื้องต้นว่ากลิ่นแบบไหนดีหรือไม่ดีกับร่างกาย ผมไม่แน่ใจว่าการทำแบบนี้มันจะส่งผลดีหรือผลเสียกันแน่
ไม่ดีอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือเมื่อไม่มีใครคิดที่จะจัดการไม่ให้กลิ่นมันออกมาก็ต้องทำแบบนี้ไปก่อนครับ
บางกลิ่นไม่น่าดึงดูด แต่ก็มีประโยชน์ ปลาร้า สะตอ หัวหอม 555
กระเทียมว่าเหม็นแล้วบางคนยังชอบกิน ทุเรียนบางคนบอกเหม็นเราไม่เห็นเหม็นเลย
ความเหม็นคงมีผลต่อสุขภาพจิตอย่างมาก อย่างน้อยก็ทำให้สภาพจิตใจดีขึ้นบ้างก็ยังดี
ผมว่าปีหน้าได้ Ignoble Price แน่ๆ
หลอกปราสาท ?
กลิ่นอุจจา ?
กำตังรอแล้ว
เมื่อก่อนดื่มโชว์ ตอนนี้ดมโชว์ ต่อไปทำอะไรดีครับ
ต่อไปก็จะมีคนเสียชีวิตเพราะรับแก๊สมีเทนเกินขนาด
พอได้กลิ่นดอกไม้ ก็จะรู้ว่าดมอึอยู่สินะ
Pitawat's Blog :: บล็อกผมเองครับ
ตามไปอ่านข่าวต้นฉบับในที่มา สาเหตุที่ต้องทำน้ำหอมตัวนี้ออกมา เพราะว่าห้องน้ำมีกลิ่น คนเลยไปปลดทุกข์ข้างนอกที่มีอากาศปลอดโปร่งมากกว่า แต่การทำแบบนี้ทำให้เกิดการแพร่เชื้อโรคได้ง่ายขึ้น เลยต้องทำน้ำหอมตัวนี้ออกมาไว้ดับกลิ่นห้องน้ำ จะได้จูงใจให้คนกลับมาใช้ห้องน้ำ
My life and hobbies blog!
Technology and Gadget blog!
+1000
ติดเชื้อกันเป็นแถว เพราะไม่ทันระวังว่า มันสกปรก
เห็นสีห้องน้ำก็รู้แล้วครับ ลองดูในคลิป
อ่าาาาาา ประเทศไทยมีขายอยู่แล้วป่าวครับ
ถึงจะคนละวิธีการ (ของเราเอากลิ่นหอมแรงเข้าสู้ ของเค้าหลอกจมูกซะเลย)
แต่ก็น่าจะสำฤทธิ์ผลคล้ายกัน
(อ่านแล้ว ผมนึกถึง เรื่องเล่ากรณีที่ usa วิจัยสร้างปากกาที่เขียนได้ในอวกาศ
แต่รัสเซียใช้ดินสอ แทน)
ดินสอใช้ในอวกาศไม่ได้อยู่แล้วครับ หักง่าย ติดไฟได้
การใช้ดินสอบนอวกาศมันอันตรายครับถ้าดินสอหักใส่จะกระจ่ายไปทั่วเลย อีกอย่างหลังๆมารัสเซียก็ใช้ปากากอันนี้เหมือนกันครับ
เรื่องปากกาไม่จริงครับ มีคนควักกระเป๋าตัวเองคิดค้นขึ้นมาแล้วเอาไปให้ NASA ดู หลังจากทดสอบดูแล้วว่าใช้ได้ดีเลยตกลงซื้อมาใช้
http://www.snopes.com/business/genius/spacepen.asp
เรื่องโกหกครับ การเดินทางไปอวกาศเลี่ยงของที่ติดไฟได้อยุ่แล้ว
The Last Wizard Of Century.
เป็นฉะนี้นี่เอง ... ขอบคุณครับ
ดินสอนั้นก็ยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากปลายของมันจะแตกเป็นขุยและหักออก และเมื่อมันลอยคว้างไปมาอยู่ในยานอวกาศอาจจะไปทิ่มเอานักบินอวกาศหรือเครื่องไม้เครื่องมือในยานก่อให้เกิดความเสียหายได้ นอกจากนี้ดินสอยังเป็นวัสดุที่ติดไฟ (flammable) ซึ่งนาซ่าไม่ต้องการให้มีการนำเอาขึ้นไปบนยานหลังจากที่ ยาน Apollo 1 ได้เกิดเพลิงไหม้ ปากกาลูกลื่นอวกาศ ในขณะเดียวกัน นาย Paul C. Fisher เจ้าของบริษัท Fisher Pen Company ได้ลงทุนจำนวน 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการพัฒนาและผลิตปากกาอวกาศ (โดยไม่ได้รับทุนจากนาซ่าแต่อย่างใด) และได้จดลิขสิทธิ์ในปี 1965 ปากกาไม่ธรรมดานี้สามารถเขียนกลับหัว เขียนได้ในพื้นที่ไม่ว่าจะหนาวจัดหรือร้อนจัด ตั้งแต่ -50 ถึง 400 องศาฟาเรนไฮน์ หรือแม้แต่เขียนใต้น้ำหรือจุ่มในของเหลวชนิดอื่นๆ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าร้อนเกินไปแล้ว น้ำหมึกจะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียวก็เท่านั้นเอง หลังจากนั้น Paul Fisher ได้นำเสนอแนวคิดปากกาตัวใหม่นี้แก่นาซ่า แม้จะไม่ได้รับการยอมรับมากนักในระยะแรก แต่เมื่อได้ผ่านการทดสอบเป็นที่ประจักษ์แล้ว ปากกาดังกล่าวถูกเรียกว่า AG-7 ?Anti - Gravity? Space Pen หลังจากนั้นสหรัฐฯได้ตัดสินใจในปี 1967 ว่าจะใช้ปากกาอวกาศนี้ในอนาคต ปากกาอวกาศของ Fisher นั้น ทำงานโดยไม่ใช้แรงโน้มถ่วงของโลก โดยเก็บหมึกไว้ในตลับหมึกกับความกดดันของไนโตรเจนที่ 35 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว มากกว่าความกดดันอากาศที่ระดับผิวน้ำทะเลบนพื้นผิวโลกสองเท่าตัว และความกดดันนี้จะผลักหมึกให้ออกมาผ่านลูกลื่น (หรือลูกบอลทังสเตนคาร์ไบด์) ที่ปลายปากกา ส่วนน้ำหมึกก็เป็นน้ำหมึกที่ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน มันมีสภาพคล้ายเจล และเมื่อลูกลื่นขยับมันก็จะเปลี่ยนเจลเป็นของเหลว (น้ำหมึก) นอกจากนี้ไนโตรเจนที่อัดอยู่ภายในปากกายังป้องกันมิให้อากาศเข้าไปปะปนกับน้ำหมึก เพื่อป้องกันการระเหย (evaporate) และทำปฏิกิริยากับออกซิเจน (Oxidize) จากรายงานของ Associated Press เปิดเผยว่าในปี 1968 นั้นนาซ่าได้สั่งซื้อปากกาอวกาศจากบริษัทของ Fisher จำนวน 400 ด้าม สำหรับโครงการเยือนดวงจันทร์โดยยานอะพอลโล่ ในปีต่อมาสหภาพโซเวียตได้สั่งซื้อปากกาอวกาศจำนวน 100 ด้ามและตลับหมึกจำนวน 1,000 ตลับ (สำหรับเปลี่ยนเมื่อหมึกหมด) เพื่อใช้ในโครงการ Soyuz space mission ทั้งประเทศสหรัฐเมริกาและสหภาพโซเวียตได้รับส่วนลด 40% ทำให้ราคาลดจาก 3.98 เหรียญสหรัฐฯมาอยู่ที่ 2.39 เหรียญสหรัฐฯ ฉะนั้น ข้อเท็จจริงก็คือ นาซาซื้อปากกาจริงแต่ไม่ได้ใช้เงินเป็นล้านเหรียญในการซื้อหรือพัฒนาปากกาอวกาศ เพราะนาย Paul C. Fisher ได้ทุ่มทุนจำนวนดังกล่าวในการพัฒนา และจดลิขสิทธิ์เป็นเจ้าของไปแล้ว
แล้วถ้าเปลี่ยนเป็นวิจัยนวัตกรรมอะไรที่ทำให้คนอยากเข้าห้องน้ำมากกว่านี้หล่ะ จะดีกว่าไหม เช่นห้องน้ำอัจฉริยะ หรืออะไรแบบนี้ มันมีอะไรที่ดึงดูดให้คนเข้าห้องน้ำอีกไหมหว่า
ความอัจฉริยะมาพร้อมต้นทุนที่แพง แถมมีคนคิดอยู่เสมอครับ เช่น ญี่ปุ่น แต่ประเทศที่ยังอาบน้ำในคลองอย่าง "อินเดียและแอฟริกา" ห้องน้ำอัจฉริยะอาจไม่ตอบโจทย์คนที่ไม่มีตังสร้างห้องน้ำธรรมดาๆ ด้วยซ้ำ ก็เป็นได้ครับ
เรื่องต้นทุน ยอมรับเลยว่าเป็นเรื่องที่ยาก แต่ผมว่าดูจากคลิปแล้ว ต่อให้กลิ่นหอม มันก็ยังไม่น่านั่ง "อึต่อยอด คนก่อนหน้าแน่นอน"
***ว่าแต่ที่อินเดียกับจีนห้องน้ำที่ไหนแย่กว่ากันครับ
เขามีแต่กำขี้ดีกว่าตด บิล เกตต์เปลี่ยนเป็น ดมขี้ดีกว่าดมตด
กะเจาะตลาดอินเดียแอฟริกา แต่ผมว่าเจาะตลาดญี่ปุ่นจะกำไรกว่า (แม้ว่าความจำเป็นจะน้อยกว่าก็ตาม)
ที่ต้องทำแบบนี้เพราะต้นทุนในแง่การทำความสะอาดทั้งน้ำและน้ำยาขัดห้องน้ำมันสูงมากหรือปล่าวครับ หรือเป็นที่นิสัยคนที่ไม่ชอบทำความสะอาดห้องน้ำ หรือยังไง แต่จะว่าไปน้ำหอมมันก็มีต้นทุนนี่นะ
มันเหมือนเป็นการหลอกเซนเซอร์ของร่างกายตนเอง
การมีอยู่ของกลิ่นมันเป็นการเตือนอันตรายได้อย่างนึง
งานวิจัยตรงส่วนนี้ควรได้รับการต่อยอด แต่ไม่น่าใช่แบบนี้
ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างมาเพื่อป้องกันตัวเองระดับนึงอยู่แล้ว คือ เมื่อเราได้พบของเสียมีพิษ หรืออาหารบูดเน่า ร่างกายจะรู้ว่าของนั้นมีพิษ โดยการรู้สึกเหม็น หรือปิดจมูก เพื่อลดภาวะเป็นพิษ และป้องกันตนเอง แต่ถ้าเราไปหลอกสมอง ผมว่าอาจเกิดการพัฒนาการของยีนไปในทางที่ไม่ควรจะเป็น อาจยอมรับของมีพิษให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้นในอนาคตสำหรับมนุษย์รุ่นถัดไป
น้ำหอมที่ว่านี่คือ เค้าวิจัยเพื่อใช้เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดรึเปล่าครับ ผมว่าเค้าคงไม่คิดค้นอะไรแบบนี้เพียงเพื่อแก้ปัญหาแบบหลอกตัวเอง หรือแบบขอไปทีหรอก เรื่องการทำความสะอาดเพื่อสุขอนามัยยังไงๆ ก็จำเป็นอยู่แล้ว
นึกถึง Poo Pourri