Bloomberg รายงานตัวเลขจากแหล่งข่าวภายในว่า ผลประกอบการของ Uber ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2016 ขาดทุนถึง 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3 ขาดทุนถึง 800 ล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขนี้ยังไม่รวมผลขาดทุนของ Uber ในจีน ที่ขายกิจการและถอนตลาดไป
อย่างไรก็ตามในส่วนรายได้นั้น Uber ยังเติบโตได้ดี มีรายได้เฉพาะส่วนบริษัทในงวด 9 เดือนถึง 3.76 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ยอดรายได้รวม (รวมทั้งหมดที่ผู้โดยสารจ่าย ก่อนหักให้คนขับและค่าธรรมเนียม) เติบโตทุกไตรมาส โดยไตรมาส 1-3 มีรายได้ 3.8 พันล้านดอลลาร์, 5.0 พันล้านดอลลาร์ และ 5.4 พันล้านดอลลาร์ ตามลำดับ
แหล่งข่าวยังบอกว่านอกจากจีนที่ทำให้ Uber ขาดทุนหนัก แม้แต่ในอเมริกาที่ Uber เคยบอกว่ามีกำไรแล้ว แต่ในไตรมาสที่ 2 และ 3 บริษัทก็กลับมาขาดทุนอีกครั้งราว 100 ล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส
ที่มา: Bloomberg
Comments
มันหมดเงินไปกับอะไรน่ะ
ผมคิดว่า คิดค่าบริการถูกเกิน ทำลักษณะทุ่มตลาด
ขายทุน ก็ เงินผู้ถือหุ้น ผู้บริหารคงไม่แคร์ มั้ง
สิ่งที่ Startup ทำคือ Scale แล้วก็ทุ่มตลาด เพื่อให้ยึดครองตลาดส่วนใหญ่ให้ได้ ดังนั้นช่วงนี้ผู้ถือหุ้นจะคอยดูอัตราการเดิบโตเป็นหลัก เพราะเงินทุนที่ลงไปในแต่ละรอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่าเท่าไหร่ แต่ถ้าจะเพิ่มทุนรอบต่อไปอัตราการเจริญเติบโตเริ่มขึ้นช้า เขาถึงจะมาดูที่กำไรขาดทุน ว่ายังน่าสนใจที่จะลงทุนเพิ่มไหม ถ้าไม่สนใจก็ขายหุ้นเอาส่วนต่างในรอบลงทุนนั้นเลย แต่ถ้าทุกอย่างยัง OK เขาก็จะจะลงทุนเพิ่ม หรือรอจนกว่าจะเข้าตลาดหุ้น เพราะสิ่งที่นักลงทุนสนใจคือราคาหุ้นที่เขาได้ใน ณ วันที่เขาลงทุน และเมื่อเข้าตลาดเขาจะได้กำไรเท่าไหร่มากกว่า เหมือนที่เขาชอบพูดกำไรกันว่าหุ้น 100 เด้ง อะไรประมาณนั้น เดี๋ยวนี้วิธีที่จะทำให้ได้อย่างนี้ไปรอในตลาดคงยากที่จะได้แบบนี้ มันก็เหมือนแทนที่คุณจะซื้อหุ้นในตลาด ก็มาลงทุนกับบริษัทที่มีอนาคต แล้วพาเข้าตลาด ดังนั้นคุณก็จะมีหุ้นที่ต่ำกว่าราคา IPO แล้วก็รอให้หุ้นขึ้นจนถึงจุดที่คุณพอใจก็ปล่อยขาย คุณก็จะได้กำไรจาก Gap 2 ส่วน คือ ราคาที่ต่ำกว่า IPO + ราคาหุ้นเมื่อเข้าตลาดครั้งแรก มันเป็นธรรมชาติของ Startup
ผมคิดว่า
มันไม่ใช ธรรมชาติของ startup
มันเป็น ธรรมชาติของ ทุนนิยมสามานย์
ลบ
ไม่เข้าใจความหมายเลย
ไว้เจอกับตัว แล้ว จะเข้าใจ
โควต้า สุดท้ายละ สวัสดี
ขอเหตุผล หรือการคาดการณ์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนด้วยครับ
ไม่ใช่แค่วาทกรรมลอยๆ ลอกซ้ำถ้อยคำที่เค้าพูดๆกัน
ไม่ใช่ วาทกรรมลอยลอย ครับ
ผม ทำธุรกิจส่วนตัว มา 20ปี
ผ่าน ความทุกข์ยาก ในการต่อสู้กับ
ความสามานย์ของทุนนิยม มาแล้ว
ส่วนใหญ่ ใช้ทุนจากการกู้ แล้ว มาซื้อแพง แล้ว ขายถูก
คนในวงการก็รู้กันว่า ทำแบบนี้ กินทุน
คนไม่ได้โง่ ดูกันออก
แต่ ธนาคารยังสนับสนุน ปล่อยเงินเพิ่มเข้าไปอีก
สเกล ขนาดของธุรกิจใหญ่ขึ้น ผลกระทบเยอะขึ้น ไปอีก
ธนาคาร ก็ พอใจกับ ผลงาน กับ บัญชีกำไร ที่แต่งขึ้นมา
ผ่านมา 20ปี ความสามานย์พวกนี้ ไม่เคยลดลง
การกู้มาทำ ถ้าไม่โกง ไม่ล้มบนฟูก คุณต้องใช้คืนเขาทุกบาท ครับ
แต่ การ ระดมทุนมาทำ uber รับประกัน คืนทุกดอลลาร์ รึเปล่า
หรือ ผู้ลงทุน ต้องรับความเจ๊ง เอง
มันไม่เกี่ยวกับทุนนิยม(กึ่งผสม)สามานย์แล้วครับแบบนี้ มันเกี่ยวกับกฎหมายการทุ่มตลาด และการป้องกันการผูกขาดที่ไม่ดีพอมากกว่า รวมถึงการไม่รอบคอบต่อการลงทุนของนักลงทุนเอง(ถ้า Uber มันไปไม่รอด)
อย่าง Amazon ผมก็ไม่ได้คิดว่ามันทุ่มตลาดหรือผูกขาด'สินค้า'อย่างไรนะครับ เพราะ Amazon เองทำกิจการในรูปแบบตลาดหรือ 3rd party ใครจะเอามาขายก็ได้
ถ้าไม่ใช่ทุนนิยม(หรือกึ่งผสม) ก็จะกลายเป็นสังคมนิยมแทน คุณก็น่าจะรู้ว่าเป็นยังไงนะครับ ลองศึกษาเศรษฐกิจจีนก่อนปี 1978 หรือเกาหลีเหนือในปัจจุบันก็ได้
ปล. สามานย์ = เลว/evil ครับ ไม่ใช่ทำลาย
Russia is just nazi who accuse the others for being nazi.
someone once said : ผมก็ด่าของผมอยู่นะ :)
บนโลกนี้ยังมีอะไรที่ไม่ใช่ทุนนิยมบ้าง แล้วมันสามานย์ยังไง
สามานย์ คือ ทำลาย
ถ้าคุณทำธุรกิจ เดียวกับเขา และ คุณทำอย่างสุจริต ไม่ใช่เอาทุนที่ระดมมาฆ่าทำลายใคร
คุณจะ เข้าใจ คำว่า สามานย์
เรื่องแค่นี้ ผมว่า เข้าใจไม่ยากหรอก
ถ้าโดนกับตัวคุณจะรู้สึก
amazon.com ที่มีชื่อเสียง
ก็เริ่มต้นจากการทำลาย เช่นกัน
สำหรับ uber ซึ่งทำกิจการ ใหญ่ระดับโลก
ถ้ายังบอกว่า ที่ scaleนี้ ทำ กินทุนอยู่
ผมคิดว่า ผู้บริหาร ห่วย
ทุ่มตลาดเรื่อยๆ แบบนี้ ถ้าไม่ทำให้รุ่ง วันหนึ่งก็ร่วงไปเลย
ทุ่มตลาด
ตอนแรก บริการดีราคาถูก
เอาให้แท็กซี่ตายหมดแล้วค่อยปรับราคาเอากำไรเท่าไหร่ก็ได้
ทำไมช่วงนี้ เรียกทีไรก็เจอ 1.7x
จนต้องเรียก taxi ปกติละ