กระแสตีกลับเมื่อธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งกำลังรุ่งเรืองและขยายกิจการครอบคลุมทุกพื้นที่ จนทำให้รู้สึกว่าธุรกิจนั้นๆ มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคส่วนใหญ่จนดูเหมือนเป็นการผูกขาดจนเกิดกระแสตีกลับขึ้นมา ปรากฏการณ์แบบนี้กำลังเกิดขึ้นกับบริษัทเทคโนโลยี หรือที่ตามหน้าสื่อต่างประเทศเรียกว่า Tech Backlash บริษัทที่อยู่อันดับบนของปรากฏการณ์นี้ก็หนีไม่พ้น Facebook, Google, Twitter ที่รายล้อมด้วยปัญหาข่าวปลอม Hate Speech คอนเทนต์รุนแรง รวมถึงเป็นแหล่งแพร่กระจายความเชื่อและชักชวนให้เข้าร่วมกลุ่มก่อการร้าย
เว็บไซต์ Bloomberg ได้สัมภาษณ์ Sundar Pichai ถึงปัญหาที่ปะทะ Google ในระยะนี้ ตั้งแต่ โฆษณาแฝงจากรัสเซีย ข่าวปลอม ไปจนถึงเรื่องบันทึกข้อความจากพนักงาน Google แสดงความเห็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ และบรรดาแบรนด์สินค้าบอยคอต YouTube เพราะแบนเนอร์โฆษณาไปปรากฏคู่กับคอนเทนต์รุนแรง
ภาพจาก Google Blog
1 พ.ย. ที่จะถึงนี้ Google Facebook Twitter ต้องเข้าพบสภาคองเกรสให้การเรื่องโฆษณาบัญชีปลอมรัสเซียช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 Sundar Pichai ระบุว่า มีหลายสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้ว และเราต้องแก้ไขมัน เพราะทุกครั้งที่เราทำพลาด สังคมรับรู้
ประเด็นบทบบาทบริษัทไอทีกับข่าวปลอมและข้อมูลจากแหล่งข่าวไม่น่าเชื่อถือที่เพิ่งเกิดขึ้นบน Google สดๆ ร้อนๆ คือวันเกิดเหตุกราดยิงที่ลาสเวกัส แล้วปรากฏข่าวปลอมเรื่องมือปืนบน Google นั้น Pichai พูดเชิงขอโทษ แต่ใช้คำศัพท์หลากหลาย รวมทั้งพูดว่าจะปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง
อย่างไรก็ตามบทบาท Google ในการยืนเคียงข้างประชาชน ปรากฏเด่นชัดในช่วงโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศแบนผู้อพยพ Google โดยเฉพาะตัวซีอีโอมีความเคลื่อนไหวต่อประเด็นนี้มาก ด้วยตัวเขาเองก็มีสัญชาติเป็นผู้อพยพด้วย เขาประกาศว่าจะปกป้องพนักงานทุกวิถีทาง ด้วยบุคลิกที่ไม่ใช่เป็นคนขาว ทำให้ Pichai ควบคุมอารมณ์เกรีี้ยวกราดของพนักงานได้
แต่เรื่องตลกร้ายก็เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่เดือน เมื่อมีคนพบแบนเนอร์โฆษณาปรากฏควบคู่กับคลิปก่อการร้ายที่แพร่กระจายบน YouTube เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดของ AI ในการคัดกรองวิดีโอ ไม่สามารถระบุความรุนแรงของเนื้อหาได้ Pichai เองก็เห็นด้วยว่าปัญหานี้ยากกว่าที่เป็น และบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับว่าโลกมองคุณแบบไหนในตอนนั้น และคุณก็ต้องวางขอบเขตใหม่อีกครั้ง
ภาพจาก Pexels
Google ยังต้องเผชิญกับความท้าทายในเวทียุโรป เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา EU เรียกเก็บ 2.7 หมื่นล้านดอลลาร์จาก Google ในกรณีการต่อต้านการผูกขาด Google โดนโจมตีว่าสร้างผลการค้นหาใหม่ขึ้นมาเองเพื่อที่ผู้ใช้จะได้ไม่ค้องคลิกไปเว็บไซต์อื่นบ่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังอยู่ในขั้นตอนอุทธรณ์ แต่นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่า Google บริษัทไอทีทรงอิทธิพลต่อชีวิตคน เริ่มถูกจำกัดอำนาจจากทั้งรัฐบาล แบรนด์โฆษณามากขึ้นเรื่อยๆ
ความเคลื่อนไหวของ Google ในการพยายามฝ่าทางตันมีทางเดียว แก้ไขสิ่งที่เคยผิดพลาด Google เพิ่มบุคลากรมอนิเตอร์ข่าวปลอม (เช่นเดียวกับ Facebook) ร่วมมือกับหน่วยงานข่าวสารที่เชื่อถือได้เพื่อให้ผลการค้นหามีคุณภาพยิ่งขึ้น
Pichai ระบุว่าการทำให้แพลตฟอร์มมีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญมาก และเราไม่สามารถทำผิดพลาดได้อีกแล้ว
ที่มา - Bloomberg
Comments
เห็นด้วยเลยว่าเป็นปัญหาที่แก้ได้ยากจริงๆ
ผมถึงบอกไงว่าใครเรียนสาย AI มายิ่งกว่าถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง รับเงินเดือนหลักแสน เพราะปัญหานี้ทรัพยากรมนุษย์แก้ไม่พอ ต้องใช้ AI แก้เท่านั้น ถ้าแก้ไม่ได้ก็ตายหมู่ทุกบริษัท เสียดายผมไม่ได้มาทางสายไอทีเลยเพราะเพลย์เซฟเกินไป
เรื่องโฆษณาแบนคอนเทนต์ใน youtube พาเอา creator ที่ไม่ได้จับ safe content กระอักกันหมด
AI ตอนนี้อ่อนไหว"กว่าเมื่อก่อน"มาก(คือน่าจะมีการเพิ่ม keyword เข้าไป) รายได้เลยร่วงกระจุย ถ้าไม่เปิด patreon ก็ต้องย้าย platform
โครงการที่จะใช้คนด้วยกันปัก flag ก็มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสอีก
พวก creator บางคนที่ทำคลิปวิจารณ์ youtube บ่อยๆก็กังวลว่า youtube เองจะให้สิทธิ trusted flag กับแค่ creator กลุ่มที่ใกล้ชิดกับ youtube เองรึเปล่า